สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 639 ประกาศผลสอบอีกครั้ง
บทที่ 639 ประกาศผลสอบอีกครั้ง
บทที่ 639 ประกาศผลสอบอีกครั้ง
การสอบขุนนางสิ้นสุดลงอีกครั้ง เหล่าบัณฑิตล้วนได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวงจากการสอบขุนนางครั้งใหม่นี้
รูปแบบในครั้งนี้แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ราวกับเป็นการเปิดประตูสู่โลกใหม่ แม้จะทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง แต่ท้ายที่สุดผลที่ได้กลับทำให้ทุกคนเข้าใจข้อบกพร่องของตนเอง
ผู้ใดที่ผ่านมาถึงวันนี้ นั่นไม่เท่ากับเป็นการฝ่าห้าด่าน สังหารหกขุนพลหรือ*[1] นอกจากขยันหมั่นเพียรแล้วยังมีสติปัญญาล้ำเลิศ พวกเขาได้ศึกษาหัวข้อในการสอบครั้งก่อน เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ทว่าพวกเขาเพิ่งได้ทราบว่าสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้มายังคงขาดไปอีกมาก พวกเขาไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรราวกับเด็กแรกเกิด
หากเอ่ยถึงบัณฑิตที่ทำได้ดี แน่นอนว่าเป็นบัณฑิตจากสำนักบัณฑิตเซิ่งซื่อ
เหวินอวี่เซวียนไม่เคยสอนบัณฑิตแค่เพียงสิ่งที่อยู่ในตำรา พวกเขามักจะเขียนบทความเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันในสำนักบัณฑิตอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งยังถกเถียงแสดงความคิดของตนเองเสียจนหน้าดำหน้าแดง
หลายวันถัดมา อย่างที่ทุกคนคาดไว้ ลำดับเปลี่ยนไปอีกครั้ง ครานี้ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง
แน่นอนว่าลำดับที่หนึ่งยังคงเป็นลู่ฉาวอวี่
บางทีอาจเป็นเพราะต้องการปิดปากคนที่พล่ามไปเรื่อย เหล่าผู้ตรวจข้อสอบจึงติดกระดาษคำตอบในรายชื่อผู้สอบผ่านเพื่อให้ทุกคนเห็นอย่างชัดเจน นอกจากนี้แล้ว หากมีผู้ใดโกง พวกเขาก็จะหาหลักฐานออกมาได้
“ข้าผ่านแล้ว ข้าผ่านแล้ว…”
“เหตุใดต้องสอบใหม่ด้วยเล่า? ครั้งที่แล้วข้าผ่าน คราวนี้กลับ…”
“ก็มันไม่ยุติธรรมตั้งแต่แรก แน่นอนว่าต้องสอบใหม่ ฮ่า ๆๆ… ข้าผ่านแล้ว…”
ลู่ฉาวอวี่นั่งอยู่ในรถม้า รอให้ผู้ติดตามเข้ามาหลังจากอ่านลำดับชื่อแล้ว
“นายน้อย ท่านน้าของท่านก็ผ่านแล้วเช่นกัน ทั้งยังอยู่ในลำดับที่ยี่สิบ”
“อืม กลับกันเถอะ!”
แน่นอนว่าลู่ฉาวอวี่มาเฝ้าอยู่ที่นี่นั้นไม่ได้มาเพื่อดูลำดับของตนเอง แต่มาเพื่อดูลำดับของมู่เจิ้งหาน
ไม่ใช่เพราะเขาทะนงตน แต่เขามีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากประกาศผลสอบก็ไม่มีผู้ใดสร้างความวุ่นวายอีกต่อไป ผู้ที่สอบไม่ผ่านแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือคนพร้อมยอมแพ้ อีกฝ่ายคือผู้ที่ยังคงเตรียมตัวสอบต่อไป ผู้ที่ยอมแพ้มีสองประเภท ประเภทแรกกลับไปหางานทำที่บ้านเกิด อีกประเภทคืออยากลองไปเสี่ยงโชคที่จวนลู่ดู หากได้เป็นที่ปรึกษาของจวนลู่ อาหารการกินที่อยู่อาศัยย่อมไม่ด้อยไปกว่าผู้ที่สอบผ่านและได้เป็นขุนนาง
ต่อไปคือการสอบเตี้ยนซื่อ*[2] แล้ว
การสอบเตี้ยนซื่อจำต้องให้ฮ่องเต้ชราเป็นผู้จัดอันดับด้วยตนเอง
ลู่ฉาวอวี่สามารถสอบได้ลำดับที่หนึ่งทุกครั้ง ดังนั้นจึงเป็นไปตามที่คาดไว้ ท้ายที่สุดเขาก็ได้รับเลือกให้เป็นจ้วงหยวน*[3]
ฮ่องเต้เหล่านี้เป็นเช่นนี้มาแต่สมัยโบราณกาล แม้ว่าความคิดของฮ่องเต้ชราจะไม่ได้จดจ่ออยู่ที่กิจในราชสำนัก ทว่าเขายังคงอยากได้ประโยชน์จากการนี้ ย่อมต้องการอัจฉริยะที่สอบได้ลำดับหนึ่งติดต่อกันมาอยู่ภายใต้การปกครองของตนเอง
ปั๋งเหยี่ยน*[4] คือชายหนุ่มวัยสามสิบ ขณะที่ทั่นฮวา*[5] เยาว์วัยกว่าเล็กน้อย หน้าตาก็นับว่าหมดจด แน่นอนว่าย่อมไม่อาจเทียบกับลู่ฉาวอวี่ได้
ทั่นฮวาเมื่อปีก่อนรูปงามที่สุด แต่จ้วงหยวนปีนี้กลับรูปงามที่สุด ให้ความรู้สึกกลับตาลปัตรเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ด้วยความสามารถของลู่ฉาวอวี่ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะอยู่ในอันดับที่สาม
ส่วนมู่เจิ้งหาน…
อันดับของเขารั้งท้าย ไม่โดดเด่น ทว่ามั่นคง หากไม่ผิดพลาด ควรได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางท้องถิ่น
มู่เจิ้งหานก็ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น
เหล่าบัณฑิตแห่ขบวนไปตามท้องถนน ถนนชุกชุมไปด้วยผู้คน ผู้คนต่างพากันยื่นศีรษะเข้าไปชื่นชมใบหน้าของผู้มีความสามารถเหล่านี้
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์! พี่ชายของเจ้าคือจ้วงหยวน…” บนระเบียงหอซือเป่า หยางเจิงชี้ไปที่ม้าด้านหน้าแล้วตะโกนออกมา
หญิงเย็บปักที่อยู่ข้าง ๆ นางมองตาม
สายตาอิจฉาริษยาเหล่านั้นพร้อมที่จะลุกเป็นไฟได้ทุกเมื่อ
เหตุใดคนบางคนถึงกลายเป็นผู้ชนะทันทีที่เกิดมาเล่า?
“ลู่จื่ออวิ๋น…” ผู้ดูแลเมิ่งเอ่ยเรียก
ลู่จื่ออวิ๋นเดินไปหา “ผู้ดูแล ท่านเรียกหาข้าหรือ?”
“ท่านเจ้าหอบอกแล้ว วันนี้ที่บ้านพวกเจ้ามีข่าวดี เจ้าสามารถมอบหมายงานให้หญิงเย็บปักในความรับผิดชอบได้ จะได้กลับไปฉลองให้เร็วหน่อย”
“ขอบคุณอาจารย์ ขอบคุณผู้ดูแล” ลู่จื่ออวิ๋นยกยิ้มขึ้นมา
ผู้ดูแลเมิ่งตกตะลึงไปเล็กน้อย
สาวน้อยผู้นี้งามขึ้นอีกแล้วใช่หรือไม่?
สวรรค์เอ็นดูคนสกุลลู่เป็นพิเศษหรืออย่างไร?
ผู้หนึ่งเป็นอัจฉริยะ ผู้หนึ่งงามล่มเมือง บิดามารดาของพวกเขาต้องการความมั่งคั่งก็มีความมั่งคั่ง ต้องการอำนาจก็มีอำนาจ อีกทั้งในมือยังกุมอำนาจและความมั่งคั่งเช่นนั้นเอาไว้แน่น
พวกเขาสามารถเอนตัวลงนอนดื่มด่ำกับชีวิตได้โดยไม่ต้องทำอะไรเพื่อเลี้ยงชีพด้วยซ้ำ
“หยางเจิง เจ้าไปกับข้า!” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “วางใจเถิด วันนี้ที่บ้านมีเพียงคนกันเอง เจ้าในฐานะสหายของข้า ไปร่วมสนุกกับข้าได้”
“ไม่ดีกระมัง?” หยางเจิงลังเลใจ
นางชอบเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์มาก เพราะในสายตาของนาง เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ไม่มีท่าทีอย่างคุณหนูสกุลใหญ่เหล่านั้นแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม นางไม่รู้ว่าคนอื่น ๆ ในสกุลลู่จะคบหาได้ง่ายเหมือนอย่างนางหรือไม่
“เจ้ากลัวอะไร? คนที่บ้านข้าจะกินเจ้าได้หรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ท่านพ่อของข้าอาจไม่ได้ดูแลเจ้า แต่ท่านแม่ข้าน่ะ นางพูดคุยด้วยได้ง่าย ทั้งยังเข้ากับคนง่ายยิ่งกว่าข้าเสียอีก”
“คนบางคนพื้นเพไม่ดี ทว่ามีสมองที่ดี เริ่มแรกก็กอดขาได้ถูก ตอนนี้ชีวิตจึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ช่างน่าอิจฉาจริง ๆ!”
ลู่จื่ออวิ๋นหันไปมองหญิงเย็บปักคนนั้น “คนบางคนเป็นผู้ใดนั้น เจ้าสามารถเอ่ยออกมาตามตรงได้ หากไม่มีความกล้าแม้แต่จะเอ่ยชื่อผู้อื่นเขา เช่นนั้นก็หุบปากเสีย ไม่เช่นนั้นปากของเจ้าอาจจะถูกเย็บปิดขึ้นมาก็เป็นได้”
สีหน้าของหญิงเย็บปักนางนั้นแปรเปลี่ยนฉับพลัน
สายตาของลู่จื่ออวิ๋นตอนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว
หญิงเย็บปักคนอื่น ๆ เมื่อครู่นี้ยังเฝ้าชมละคร ตอนนี้กลับได้รับความหวาดกลัว
แต่ไหนแต่ไรมาพวกนางไม่เคยเจอลู่จื่ออวิ๋นในรูปแบบคมกริบประหนึ่งดาบสังหารเช่นนี้มาก่อน
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ ไม่ต้องสนใจพวกนาง พวกนางเพียงแค่อิจฉาข้า” หยางเจิงจับแขนของลู่จื่ออวิ๋นไว้ “ข้าเพียงแค่กอดต้นขาได้ถูกข้างแล้วอย่างไร? พวกนางไม่ได้กอดจึงอิจฉาน่ะสิ”
“ต่อให้พวกนางอยากจะกอด ตอนนี้ก็กอดไม่ได้แล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นตบหลังมือหยางเจิงเบา ๆ “พวกเราไปกันเถอะ”
เมื่อลู่จื่ออวิ๋นพาหยางเจิงกลับมาสกุลลู่ ซูจือหลิ่วและอันอวี้ก็มาถึงแล้ว ลู่จื่ออวิ๋นแนะนำหยางเจิงให้พวกเขารู้จัก ทุนคนล้วนต้อนรับด้วยความยินดี
ตอนแรกหยางเจิงประหม่าเล็กน้อย ทว่าหลายคนที่อยู่ตรงหน้านางแตกต่างจากฮูหยินขุนนางที่นางเคยจินตนาการไว้จริง ๆ ฮูหยินขุนนางเหล่านั้นที่นางพบล้วนสง่างามแต่งกายหรูหรา ราวกับเข้าหาได้ยากยิ่งและเห็นชีวิตมนุษย์เป็นผักเป็นปลา ทว่าสีหน้าของคนที่นี่กลับดูสบาย ๆ เหมือนผู้อาวุโสทั่วไป
“หยางเจิง เจ้ามาดูเร็ว นี่คือน้องชายของข้า” ลู่จื่ออวิ๋นเรียกหยางเจิงให้มาดูลู่ฉาวจิ่ง
มู่ซืออวี่และซูจือหลิ่วกำลังปรึกษากันเรื่องงานเลี้ยงที่จะจัดขึ้นในครั้งนี้
หนึ่งคืองานเลี้ยงที่สอบผ่านของลู่ฉาวอวี่ อีกหนึ่งคืองานเลี้ยงครบเดือนของลู่ฉาวจิ่ง…
“ยุ่งยากยิ่งนัก จัดพร้อมกันเถอะ”
“นี่เป็นการไม่เคารพต่อฉาวอวี่ อีกทั้งยังเป็นการละเลยฉาวจิ่ง” ซูจือหลิ่วเอ่ย “ฉาวอวี่ได้อันดับที่หนึ่งติดต่อกันสามครั้ง ท่านรู้หรือไม่ว่ามันมีค่าเพียงใด? นับจากคนล่าสุดที่ได้อันดับหนึ่งสามครั้งติดต่อกันนั้น นี่ก็ผ่านมาสี่ร้อยปีแล้ว กล่าวได้ว่าผ่านมาหลายทศวรรษ แม้จะเป็นร้อยปีข้างหน้าก็ไม่แน่ว่าจะมีผู้ที่ได้อันดับหนึ่งติดต่อกันสามครั้งอีกหรือไม่ หากท่านจัดการเรื่องนี้อย่างเร่งรีบ ผู้อื่นย่อมไม่ยินยอม นี่ต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่”
“ยุ่งยากจริง ๆ” มู่ซืออวี่เอนตัวอยู่ตรงนั้น “เช่นนั้นเจ้าก็ช่วยข้าจัดการเถิด! เจ้าก็เห็นว่าข้าเพิ่งคลอดลูก ร่างกายข้าไม่ไหวจริง ๆ”
“ข้าจะเป็นผู้ช่วยท่าน แต่ยังต้องให้ท่านเป็นผู้ตัดสินใจ แต่ไรมาท่านก็มีความคิดสร้างสรรค์มากมาย ทุกคนในเมืองหลวงล้วนถกกันว่าท่านจะคิดอะไรใหม่ ๆ ออกมาบ้าง” ซูจือหลิ่วเอ่ยพลางหยอกล้อลู่ฉาวจิ่งที่อยู่ในเปล
[1] ฝ่าห้าด่าน สังหารหกขุนพล หมายถึง เอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ มาได้
[2] การสอบเตี้ยนซื่อ คือการสอบหน้าพระที่นั่ง เป็นการสอบขุนนางระดับสูงสุด
[3] จ้วงหยวน อันดับที่หนึ่งในการสอบรอบจิ้นซื่อ
[4] ปั๋งเหยี่ยน อันดับที่สองในการสอบรอบจิ้นซื่อ
[5] ทั่นฮวา อันดับที่สามในการสอบรอบจิ้นซื่อ