สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 64 บุคคลที่หายไป
บทที่ 64 บุคคลที่หายไป
บทที่ 64 บุคคลที่หายไป
“ท่านแม่ จับคนเลวผู้นั้นได้หรือไม่?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถาม
มู่ซืออวี่พยักหน้า “จับได้แล้ว เราจะไปหาทางการ แจ้งให้พวกเขามาจับโจร”
ลู่ฉาวอวี่จ้องมองไปยังเท้าของมู่ซืออวี่
ไม่ว่ามู่ซืออวี่จะแสร้งทำราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่เห็นได้ชัดว่าขาของนางได้รับบาดเจ็บ ท่าเดินก็แตกต่างไปจากเดิม
“ข้าจะแบกเอง” มู่ซืออวี่หันกลับมาเพื่อคว้าเอากระจาดที่ด้านหลังลู่ฉาวอวี่
ลู่ฉาวอวี่ขยับไปด้านข้างทันที “ไม่”
เมื่อครั้งที่มู่ซืออวี่ไล่ล่าโจร ลู่ฉาวอวี่ก็รับหน้าที่แบกกระจาดเหล่านี้ไว้แทน และเมื่อนางกลับมา นางก็จะเอากระจาดนั้นคืน ทว่าเด็กชายผู้นี้กลับไม่ยอมมอบให้ ทำเอานางหนักใจไม่น้อย
“หือ ชายผู้นั้นเล่า?” มู่ซืออวี่กลับมายังบริเวณกองขยะที่นางทิ้งโจรผู้นั้นไว้ แต่กลับไม่พบผู้ใดเลย “หรือนายน้อยอันรายงานเรื่องนี้กับทางการแล้ว?”
“มีสิ่งใดผิดปกติหรือ?” ลู่ฉาวอวี่ก้าวเข้ามาพลางเอ่ยถาม
“ข้ามัดชายผู้นั้นไว้ที่นี่ ทว่าตอนนี้เขากลับหายไป” มู่ซืออวี่ไม่ได้ปิดบังสิ่งใดแม้เพียงนิด “ทางการอาจนำตัวเขาไปแล้ว”
“เช่นนั้นแล้วเราก็ไปกันเถิด!” ลู่จื่ออวิ๋นเขย่าแขนมู่ซืออวี่ “ที่นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว อวิ๋นเอ๋อร์ไม่ชอบที่นี่เอาเสียเลย”
มู่ซืออวี่รู้สึกแปลกใจ หากนายน้อยอันวางแผนที่จะแจ้งตำรวจ เขาก็คงบอกนางไปแล้วก่อนหน้านี้ นางจะได้ไม่ต้องจากไปหรือดำเนินการสิ่งใดด้วยตัวคนเดียว แต่การแสดงออกของเขาราวกับไม่ปรารถนาจะพัวพันกับคดีความนี้
แล้วหัวขโมยหายไปไหน…
หากไม่ใช่เพราะเส้นทางที่นางไปหาลูกเป็นคนละเส้นทางกับทางไปหาเจ้าหน้าที่ นางก็คงจะทิ้งเขาไว้เพียงครู่เดียว และนำเจ้าหน้าที่เดินทางมาจับกุมเขาด้วยตนเอง แต่ทุกอย่างกลับผิดพลาดไปจากที่คาดไว้ นี่อาจนำปัญหาร้ายแรงมาได้เลยทีเดียว
ช่างเถิด ตอนนี้ควรต้องพาเด็ก ๆ กลับบ้านเสียก่อน
ครึ่งชั่วยามต่อมา มู่ซืออวี่เดินทางมาถึงบ้านโดยแบกลู่จื่ออวิ๋นไว้บนหลัง ตามมาด้วยลู่ฉาวอวี่
ร่างกายของลู่จื่ออวิ๋นอ่อนแออย่างมาก นางไม่อาจเดินเท้าได้เป็นเวลานาน ดังนั้นไม่ว่ามู่ซืออวี่จะอ่อนกำลังเพียงใดก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อลูกของตนได้ นางอุ้มลู่จื่ออวิ๋นไว้บนหลังพลางเดินกลับบ้านโดยไม่รู้จักเหนื่อย
“แม่ฉาวอวี่ เจ้ากลับจากเขาเมืองหลวงแล้วหรือ?” เฉินซื่อที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากด้านนอกกล่าวทักทายมู่ซืออวี่และลูกทั้งสองอย่างเป็นมิตร
เนื้อตุ๋นในวันนั้นช่างอร่อยยิ่งนัก เมื่อรับอาหารจากผู้อื่นแล้วก็จำเป็นต้องทักทายอย่างเป็นมิตรเสมอเมื่อพบกัน
“ใช่แล้ว!” มู่ซืออวี่ยิ้ม “พี่เฉินเพิ่งกลับจากการขุดดินหรือ?”
ลู่อี้จะยังคงไม่เดินทางกลับมาถึงบ้านภายในสองสามวัน มู่ซืออวี่จึงต้องรับผิดชอบการงานทุกสิ่งของครอบครัว
ลู่ฉาวอวี่ทำงานตามกิจวัตรประจำวันของเขา ส่วนมู่เจิ้งหานรับหน้าที่ในการเติมน้ำจากบ่อ
มู่ซืออวี่พยายามหยุดยั้งแต่ก็ไม่เป็นผล นางจึงตัดสินใจเลือกเติมน้ำด้วยตนเองเป็นสิ่งแรกในทุกเช้า เพราะประเดี๋ยวเด็กทั้งสองจะแย่งกันตักน้ำตลอดทั้งวัน
บ่อน้ำที่นี่ลึกมาก หากเด็กทั้งสองตกลงไปก็อาจช่วยไว้ไม่ทัน นางมักจะคิดถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดในทุกสิ่ง และแน่นอนว่านางจะไม่ปล่อยให้พวกเขาทำสิ่งที่เสี่ยงอันตรายเด็ดขาด
“แม่ฉาวอวี่ อยู่บ้านหรือไม่?”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากลานด้านนอก
มู่ซืออวี่ที่กำลังยุ่งอยู่กับงานช่างไม้พลันวางเครื่องมือลงทันทีที่ได้ยินเสียง
“ท่านแม่ ข้าจะไปเปิดประตูเอง”
ลู่จื่ออวิ๋นวิ่งถลาไปยังประตูดุจผีเสื้อตัวน้อย
ที่ผ่านมานั้นนางได้กินอาหารดี ในที่สุดนางก็ดูมีน้ำมีนวลยิ่งขึ้น และร่างกายของนางก็กระฉับกระเฉงยิ่งขึ้นเช่นกัน
“ท่านป้าเหยา” ลู่จื่ออวิ๋นทักทายผู้มาเยือนอย่างอ่อนหวาน
“โฮ่ เสี่ยวอวิ๋น เสื้อผ้าใหม่ของเจ้างดงามจริง ๆ ลวดลายที่ปักอยู่งดงามดุจผีเสื้อที่มีชีวิตเลยนะนี่” เหยาซื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม่ของเจ้าเล่า? ข้ามีบางอย่างต้องเจรจากับนาง”
มู่ซืออวี่ละมือจากงาน นางเอื้อมหยิบผ้าขนหนูข้างกายมาเช็ดมือก่อนจะเดินไปหาเหยาซื่อ “เข้ามาและดื่มน้ำก่อนเถิด”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรหรอก” เหยาซื่อโบกมือ “ข้ามีเรื่องจะขอความช่วยเหลือจากเจ้า และคาดว่าจะขอให้ทำทันทีหลังจากกล่าวจบ แม่ฉาวอวี่ ฝีมือของเจ้ายอดเยี่ยมยิ่งนัก ช่วยทำบะหมี่ให้ข้าอีกได้หรือไม่?”
“มีข่าวดีอะไรเกิดขึ้นหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“ฮ่าฮ่า ลูกชายของข้ากำลังจะแต่งงาน” เหยาซื่อกล่าว “ข้าปรารถนาจะเป็นที่ชื่นชมของครอบครัวลูกสะใภ้ รสมือของเจ้าทำให้หลายคนแทบน้ำลายไหล ข้าเลยจะขอให้เจ้าช่วยน่ะ”
“ข้ายินดีกับท่านด้วย งานเลี้ยงจะจัดขึ้นเมื่อไหร่รึ?’
“ในอีกสามวันข้างหน้า” เหยาซื่อกล่าว “ข้าจำเป็นต้องไปซื้อของ คงยุ่งกับการจัดเตรียมงานอีกมาก ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็ง่วนอยู่กับงานไม่น้อย ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่เพื่อถามเจ้าล่วงหน้า เจ้าคิดว่าจะทำให้แล้วเสร็จตามวันเวลาได้หรือไม่?”
“ย่อมได้แน่นอน รับรองได้ว่าจะไม่มีปัญหา”
“ดียิ่งนัก” เหยาซื่อกล่าวด้วยความดีใจ “เจ้าต้องการวัตถุดิบใดบ้าง? ขอเพียงเจ้าบอกข้า ข้าและลูกสาวจะไปซื้อในเมืองหลวงมาให้”
“ข้าจะจดลงใส่กระดาษแล้วนำไปให้ท่านในภายหลัง”
“สามีของเจ้าไม่อยู่ที่บ้านหรือ? สามีข้าเองก็เช่นกัน”
“ข้าเขียนได้” มู่ซืออวี่จงใจเปิดเผย ‘ความสามารถ’ อันเล็กน้อยของนาง “ข้าแต่งงานกับเขามาเนิ่นนาน หากเขียนคำง่าย ๆ เช่นนั้นไม่เป็น เขาจะแต่งงานกับข้าเพื่อสิ่งใด?”
“ยอดเยี่ยมจริงเชียว” แววตาของเหยาซื่อเต็มไปด้วยความริษยา “เป็นเรื่องดีที่จะมีความสามารถอันโดดเด่น เราเองต่างเป็นหญิงเช่นเดียวกัน ยิ่งเมื่อเป็นหญิงที่แต่งงานแล้วก็ควรดูแลสามีและลูกให้ดี อีกทั้งลู่อี้ก็ยังเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาและฉลาดเฉลียว เจ้าอาจทำเงินได้มากจากการแต่งงานกับเขา”
มู่ซืออวี่หัวเราะลั่นจนใบหน้าแทบแข็งค้าง เหยาซื่อกล่าวคำด้วยความไม่เต็มใจ ดูจากท่าทางของอีกฝ่ายแล้ว แน่นอนว่าทั้งหมดถูกเตรียมการมาเป็นอย่างดี
แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ปรารถนาที่จะช่วยอีกฝ่าย เนื่องจากช่วงนี้ไม่อาจทำผักตุ๋นขายได้
งานหลักของนางคือนักออกแบบ ดังนั้นนางจึงมุ่งความสนใจไปยังการทำงานช่างไม้ในเวลานี้
อีกทั้งนางยังได้ทราบมาว่าตลาดที่นี่จะจัดขึ้นทุกสามวัน โดยปกติแล้วจะมีผู้คนไม่มากนัก ก่อนหน้านี้นางวางแผนที่จะขายผักตุ๋นทุกวันเพื่อนำเงินเข้าบ้านให้ได้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อรู้ว่าช่วงเวลาในการตั้งตลาดมีจำกัด นางจึงต้องเปลี่ยนแผนการที่ตั้งใจไว้
มู่ซืออวี่เดินเข้าไปในห้องนอนเพื่อจดรายการอาหารที่นางต้องการ หลังเสร็จสิ้นการเขียนแล้วก็พบลู่ฉาวอวี่ที่เพิ่งเดินทางกลับมา นางจึงโบกมือให้เขาพลางร้องเรียก “ฉาวอวี่ มานี่ก่อนสิ!”
ลู่ฉาวอวี่วางฟืนในมือลงพลางเดินไปหาอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเย็นชา “มีเรื่องอะไร?”
“เจ้าช่วยนำกระดาษแผ่นนี้ไปยังบ้านป้าเหยาหน่อยสิ” มู่ซืออวี่กล่าว “เจ้ารู้จักป้าเหยาหรือไม่? อวิ๋นเอ๋อร์รู้จักนาง ข้าคิดว่าเจ้าอาจจะรู้จักนางด้วย”
“อืม” ลู่ฉาวอวี่ตอบกลับพลางรับเอากระดาษมา
“เด็กคนนี้…” มู่ซืออวี่จ้องมองแผ่นหลังเขาพลางเอ่ยว่า “พูดดี ๆ กับข้าไม่ได้เลยหรือ กลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปากหรืออย่างไร?”
“ท่านแม่ พี่ชายของข้าเงียบขรึมมาตั้งแต่ยังเล็ก ผู้คนมากมายต่างบอกว่าพี่ชายมีนิสัยเหมือนกับท่านพ่อ ไม่ค่อยพูดจา” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “หากท่านรู้สึกเบื่อหน่าย คุยกับข้าแทนก็ได้”
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์…” มู่ซืออวี่จับใบหน้าเล็ก ๆ ของลู่จื่ออวิ๋นด้วยความเอ็นดู “เหตุใดเจ้าจึงน่ารักน่าชังเช่นนี้”
ลู่จื่ออวิ๋นหน้าแดงก่ำพลางแย้มรอยยิ้มด้วยความเขินอาย
การที่ท่านแม่รักนางนั้นเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจอย่างยิ่ง นางเองก็ชื่นชอบมู่ซืออวี่ในตอนนี้มาก
เมื่อเห็นว่าเริ่มจะมืดแล้ว มู่ซืออวี่จึงเร่งรีบเตรียมอาหารเย็น
เนื่องจากที่บ้านในตอนนี้ไม่มีเนื้อสัตว์ แต่ไข่ไก่ยังหลงเหลืออยู่จำนวนมาก นางจึงตัดสินใจจะทำบะหมี่เป็นอาหารเย็นให้ทุกคน นางทำอาหารชนิดนี้เก่ง แน่นอนว่าจะทำให้ผู้คนน้ำลายไหลและปรารถนาที่จะลิ้มรส
“ท่านพี่ เหตุใดจึงเปียกโชกเช่นนั้นเล่า?” เสียงของลู่จื่ออวิ๋นดังมาจากกลางลานบ้าน
ลู่ฉาวอวี่ตอบกลับอย่างเย็นชา “ข้าบังเอิญตกน้ำน่ะ”
มู่ซืออวี่ขมวดคิ้วพลางหยิบถังน้ำด้านข้าง นางตักน้ำในถังใหญ่แล้วก็นำไปยังประตูห้องของลู่ฉาวอวี่ก่อนจะเคาะเรียก “ฉาวอวี่ น้ำนี่ยังร้อนอยู่ ข้านำมาให้แล้ว ได้อาบน้ำอุ่นจะสบายตัวกว่านะ”
ลู่ฉาวอวี่ที่กำลังถอดเสื้อผ้าพลันชะงัก เด็กชายเหลือบมองรอยข่วนบนหน้าอกของตนแล้วสวมเสื้อผ้าอีกครั้ง
เขาเปิดประตูออกพลางลดสายตาลง “ข้าจะจัดการเอง”