สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 652 รายงานสงครามชายแดน
บทที่ 652 รายงานสงครามชายแดน
บทที่ 652 รายงานสงครามชายแดน
อันอวี้พาเซี่ยเสี่ยวอันออกไปซื้อของ เมื่อหมุนตัวไปก็เห็นอันอี้หาง
“ฮูหยิน ท่านมองอะไรอยู่เจ้าคะ?” จื่ออวี่มองตามสายตาของอันอวี้
“ข้าเหมือนจะเห็นพี่ชายของข้า” อันอวี้เอ่ย “แต่ว่า… เขาสวมชุดขุนนาง”
“คุณชายอันสวมชุดขุนนางหรือเจ้าคะ? เป็นไปไม่ได้กระมังเจ้าคะ! คุณชายอันยังไม่ทันสอบผ่านเป็นจิ้นซื่อ ทั้งการสอบครั้งหน้าก็ยังมาไม่ถึงนะเจ้าคะ” จื่ออวี่เอ่ย
“ข้าไม่ได้พบพี่ชายข้ามานานแล้ว จื่ออวี่ เจ้าไปซื้อของอย่างอื่น พวกเราไปบ้านพี่ชายข้ากันเถอะ”
พี่สะใภ้ของนางให้ความรู้สึกแปลกพิกล อีกทั้งยังพูดจากับนางได้ไม่ถึงสองสามคำ ช่วงนี้กิจการร้านของอันอวี้กำลังไปได้ดี นางจึงไม่ได้ไปที่บ้านของอันอี้หางอีก
ณ ที่อยู่อาศัยสกุลอัน เมื่ออันอวี้มาถึงที่บ้าน อันอี้หางกลับไม่อยู่ พ่อบ้านบอกว่า ‘ฮูหยิน’ อยู่ที่บ้าน
อันอวี้อยากจะถามไถ่เรื่องอันอี้หาง นางจึงเดินตามพ่อบ้านเข้าไปที่สวนหลังบ้านของสกุลอัน
“ซานเหนียง ตอนนี้ท่านเป็นฮูหยินขุนนางแล้ว ช่างโชคดีจริง ๆ! ไม่เหมือนพี่หญิงน้องหญิงอย่างพวกเรา ยังต้องต้อนรับผู้มาบอกลาผู้ไป จริงสิ ตอนนั้นเหตุใดท่านจึงตกลงปลงใจกับนายท่านอันผู้นี้เล่า?”
“บุรุษน่ะ จัดการพวกเขาไม่ง่ายดายหรือ?” อู๋ซานเหนียงเอ่ยด้วยความดูถูก “เขามีวันนี้ได้ล้วนต้องขอบคุณข้า”
“อย่างไรหรือ?”
อันอวี้หมุนตัวเดินออกมา
จื่ออวี่ไล่ตามนางมา “ฮูหยิน ยังไม่ได้พบฮูหยินอันเลยนะเจ้าคะ เหตุใดจึงจะไปแล้ว?”
“สตรีพรรค์นี้มีดีอะไร?” อันอวี้เอ่ยด้วยความโมโห
“เช่นนั้น พวกเราควรฟังว่านางจะกล่าวอย่างไรต่อไป” จื่ออวี่เอ่ย “นางไม่ได้บอกหรือว่าคุณชายอันมีวันนี้ได้ล้วนต้องขอบคุณนาง?”
“ข้าถามจากพี่ชายข้าโดยตรงจะดีกว่า! ข้าไม่อยากได้ยินความข้างเดียวจากปากนาง” อันอี้เอ่ย “ข้าไม่ได้รังเกียจว่านางมีภูมิหลังไม่ดี แต่เมื่อครู่เจ้าก็ได้ยินแล้ว คำที่ออกจากปากนางล้วนดูถูกพี่ชายของข้า หากนางไม่ชอบพี่ชายของข้าถึงขนาดดูแคลน เช่นนั้นเหตุใดยังต้องแต่งงานกับเขา?”
อันอวี้หันไปหาพ่อบ้านแล้วเอ่ยว่า “ช่วงนี้พี่ชายของข้ากำลังทำอะไร? เหตุใดเขาจึงมาเป็นขุนนางได้?” ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
พ่อบ้านเอ่ย “บ่าวไม่รู้ว่านายท่านทำอะไรอยู่ข้างนอกขอรับ”
“เช่นนั้นก็ช่างเถิด”
อันอวี้ไปหามู่ซืออวี่ ฝ่ายหลังกำลังเล่นตัวต่ออยู่กับลู่ฉาวจิ่ง อันอวี้พาเซี่ยเสี่ยวอันมาด้วย เมื่อลู่ฉาวจิ่งเห็นเซี่ยเสี่ยวอัน เขาก็ทิ้งมู่ซืออวี่ทันที ร้องเรียกแต่ ‘ท่านพี่’
“เหตุใดจึงไม่เห็นเสี่ยวชิงเอ๋อร์เล่า?”
“นางไปเกาะแกะพี่สาวของนางแล้ว” มู่ซืออวี่กล่าว “เหตุใดวันนี้เจ้ามีเวลามาเล่นกับข้าเล่า?”
“ระยะนี้ที่ร้านมีเรื่องมากมายให้จัดการ ข้าจึงไม่มีเวลามาที่นี่ แต่ข้าหวังเหลือเกินว่าจะได้มาเล่นกับท่านทุกวัน” อันอวี้เอ่ย “วันนี้ข้าเจอพี่ชายของข้า…”
จากนั้นนางก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ให้มู่ซืออวี่ฟังคร่าว ๆ
“เรื่องนี้ง่ายดาย ส่งคนไปเฝ้าหน้าประตูบ้านสกุลอัน หากพี่ชายของเจ้ากลับมาก็พาตัวเขามาถาม” มู่ซืออวี่ส่งน้ำผลไม้ให้อันอวี้ “แทนที่จะถามผู้อื่น ไม่สู้ถามเจ้าตัวเล่า เรื่องเช่นนี้ยังมีผู้ใดรู้ดีกว่าเจ้าตัวอีกหรือ?”
มู่ซืออวี่ส่งคนไปเฝ้าที่ฝั่งตรงข้ามบ้านสกุลอัน
เมื่อเห็นอันอี้หางก็เชิญเขามาที่จวนเพื่อพูดคุย
สองชั่วยามต่อมา บ่าวรับใช้กลับมารายงานว่า นายท่านอันมีเรื่องสำคัญจะหารือกับสหายร่วมงาน วันนี้ไม่อาจปลีกตัวมาได้ วันหลังจะมาเยี่ยมเยือนลู่โหว
“คำพูดเดิมของเขาคือ…”
“คำพูดเดิมของนายท่านอันเป็นเช่นนี้ขอรับ วันนี้เขาเชิญสหายร่วมงานมาที่บ้านเพื่อหารือเรื่องสำคัญ ไม่อาจปลีกตัวมาได้ วันหลังจะมาเยี่ยมเยือนลู่โหวและฮูหยิน”
“ช่างเถิด พี่หญิง พี่ชายข้าคงยุ่งอยู่กระมัง วันหลังค่อยไปหาเขาก็ไม่สาย อันที่จริงข้าพอเดาได้หลายส่วนแล้ว เขาไม่ได้เข้าทำงานโดยผ่านการสอบขุนนาง คิดว่าคงได้รับความช่วยเหลือจากผู้สูงศักดิ์”
“เพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นคือผู้ใด”
ฉานอีเข้ามาจากด้านนอกแล้วรายงานกับมู่ซืออวี่ “ฮูหยินซูถูกปล่อยตัวออกมาแล้วเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ?”
“เจ้าค่ะ ได้ยินว่าเรื่องสมคบคิดกับศัตรูของใต้เท้าซูตรวจสอบออกมากระจ่างแล้ว พบว่าเขาถูกคนใส่ร้าย มีรายงานสถานการณ์รบที่ชายแดนมา กล่าวว่าพวกเรารบชนะอาณาจักรเฟิ่งหลินแล้ว”
“ฮูหยินซูต้องทนทุกข์กับภัยที่ไม่มีเค้าลางมาก่อน เย็นนี้พวกเราไปเยี่ยมนาง ช่วยขจัดโชคร้ายให้นางกันเถอะ”
ชายแดนรบชนะ คนทั่วทั้งอาณาจักรเฉลิมฉลอง ทว่าดีใจได้เพียงไม่กี่วันก็มีข่าวว่ากองทัพของอาณาจักรเหลียงกำลังตีประชิดเข้ามา สองอาณาจักรโจมตีหนึ่งอาณาจักรในคราวเดียวกัน
ในท้องพระโรง ขุนนางบุ๋นบู๊ต่างกำลังถกเถียงอย่างเมามัน
“คนของอาณาจักรเหลียงกล้าหาญชาญชัยทั้งยังเก่งกาจในการสู้รบ การทำสงครามกับพวกเขาไม่มีประโยชน์อะไร”
“อาณาจักรเหลียงอยู่ติดกับอาณาจักรเราเพียงแค่ฟากทะเล ได้ยินมาว่าพวกเขาได้จัดตั้งทัพเรือขึ้นมาใหม่ หากโจมตีจากทะเล มีโอกาสเป็นอย่างยิ่งที่จะเข้าประชิดเมืองหลวงโดยตรง”
“ฝ่าบาท เห็นได้ชัดว่าพวกเราไม่ควรทำสงครามกับอาณาจักรเหลียง แต่ควรส่งราชทูตไปเจรจา กล่าวไปแล้ว อาณาจักรเราก็ไม่ได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับอาณาจักรอื่นมาถึงห้าสิบปี ไม่สู้เตรียมส่งองค์หญิงผู้หนึ่งไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีกับอีกฝ่าย เช่นนี้จะได้หลีกเลี่ยงสงครามใหญ่ได้”
บรรดาผู้ที่ยินดีสู้รบล้วนอยู่ที่ชายแดนแล้ว ขุนนางพลเรือนที่เหลืออยู่ล้วนเป็นนักขับเคลื่อนสันติภาพ สิ่งที่เรียกว่าสันติภาพนี้ เป็นเพียงข้ออ้างของการขลาดเขลาเพราะเกรงว่าตนจะมีปัญหา
ท่ามกลางฝูงชน ลู่อี้และฉีเซียวมองหน้ากัน
อาณาจักรเหลียงเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว หากอีกฝ่ายยินดีสร้าง ‘ความปรองดอง’ ย่อมไม่ทำสงครามทันทีเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเตรียมพร้อมมาเป็นเวลานานและรอคอยที่จะกัดกินอาณาจักรที่ผุพังนี้เพื่อขยายอาณาเขตของตนออกไป
ฮ่องเต้ชรารู้สึกรำคาญเป็นอย่างมาก ทว่าคำพูดของขุนนางพลเรือนเหล่านั้นตรงใจเขา เขาต้องการใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แน่นอนว่าย่อมไม่ต้องการสู้รบ หากแต่งองค์หญิงองค์หนึ่งออกไปแล้วยุติสงครามได้ อย่าว่าแต่องค์หญิงเพียงคนเดียว ถึงแม้จะเป็นสิบคน เขาก็ยินดีส่งออกไป
“เช่นนั้นก็…”
“ฝ่าบาท” ลู่อี้เปิดปากขึ้น “ทัพเรือของอาณาจักรเหลียงสามารถบุกโจมตีเมืองซานหลินซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงโดยตรงได้ เช่นนั้นพวกเราก็สามารถบุกอาณาจักรของฝ่ายตรงข้ามจากทะเลตรงนั้นได้เช่นกัน”
“ใต้เท้าลู่ ท่านบ้าไปแล้วหรือไร?” มีคนเอ่ยขึ้น “พวกเราไม่มีทัพเรือ”
“เช่นนั้นก็สร้างขึ้นมา!”
“ใต้เท้าลู่ ท่านรู้หรือไม่ว่าการจัดตั้งทัพเรือที่มีความเชี่ยวชาญนั้นยากเพียงใด บัดนี้สงครามใกล้เข้ามาแล้ว การสร้างทัพเรือขึ้นมาชั่วคราวต้องเตรียมเรือรบ นั่นช่างเป็นความคิดเพ้อฝันเสียจริง ใต้เท้าลู่ฉลาดมากก็จริง ทว่าเรื่องนี้ท่านกลับทะนงตนเกินไปแล้ว”
“ทะเลมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ คนจำนวนมากที่หาเลี้ยงชีพกับท้องทะเลยังต้องตายอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่ที่นั่น หากไม่ได้รับการฝึกปรือแล้วบุ่มบ่ามออกทะเลไป ไม่ต้องรอให้กองทัพของอาณาจักรเหลียงโจมตี พวกเราเองคงติดอยู่ในทะเลก่อนแล้ว”
“เอาละ เอาละ ไม่ต้องโต้เถียงกันแล้ว” ฮ่องเต้มีอาการปวดศีรษะขึ้นมา
วันนี้เขาลืมกินยาอายุวัฒนะอีกแล้ว
“อาณาจักรเหลียงยังไม่ได้โจมตีไม่ใช่หรือ? จัดทัพไปป้องกันเมืองซานหลิน หากมีคนข้ามทะเลมา เช่นนั้นก็ฆ่าทันที”
ในยามนี้เอง ฮ่องเต้ชราไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องส่งองค์หญิงไปอภิเษกสมรสแล้ว
ลู่อี้เพิ่งออกมาจากประตูวังหลวงก็พบว่าฉีเซียวรออยู่บนหลังม้าตรงนั้น
“ใต้เท้าฉีมีอะไรหรือ?”
“ท่านคิดจะจัดตั้งทัพเรือเป็นความคิดที่ดี ทว่าตราบใดที่เขายังอยู่ ความคิดนี้คงเป็นจริงไม่ได้”
“ข้าเข้าใจ ข้าเพียงแค่คิดจะขัดคนพวกนั้น ไม่เช่นนั้นหัวข้อทั้งหมดในเช้านี้คงเป็นการส่งองค์หญิงไปประจบอาณาจักรเหลียงเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกโจมตี”
“อาณาจักรเหลียงเพียงแค่อยากฉวยประโยชน์จากสถานการณ์ หากสงครามระหว่างเรากับอาณาจักรเฟิ่งหลินหยุดลง อาณาจักรเหลียงย่อมไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่าม”
“ท่านได้ข่าวอะไรมาแล้วใช่หรือไม่?”
“อาณาจักรเฟิ่งหลินจะเกิดความขัดแย้งภายในเร็ว ๆ นี้ ถึงตอนนั้นสงครามที่ชายแดนย่อมยุติ”
“ไม่แปลกใจ เหตุใดวันนี้ท่านถึงได้สงบและไม่สนใจคนแก่ที่กระดิกหางไปมาเหมือนสุนัข ที่แท้ท่านแน่ใจแล้วนี่เองว่าสงครามครั้งนี้จะดำเนินต่อไปอีกไม่นาน”