สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 654 หารือเรื่องการร่วมมือกัน
บทที่ 654 หารือเรื่องการร่วมมือกัน
บทที่ 654 หารือเรื่องการร่วมมือกัน
เมื่อข่าว ‘เรือนกรุ่นฝัน’ รับสมัครช่างต่อเรือด้วยค่าแรงสูงลิ่วถูกปล่อยออกมา ทุกวันล้วนมีคนเข้ามาสมัครงานไม่ขาดสาย
มู่ซืออวี่รับหน้าที่สัมภาษณ์ด้วยตนเองและจ้างคนไปไม่น้อย ในกลุ่มคนที่มาสัมภาษณ์ร้อยคน หากสามารถเป็นหนึ่งในคนที่ถูกเลือกก็นับได้ว่าโชคดีไม่เลวแล้ว
ผู้ใดไม่รู้บ้างว่า ‘เถ้าแก่เนี้ยมู่’ เป็นแกะตัวอ้วน ขอเพียงได้เป็นคนติดตามนาง ค่าตัวของแต่ละคนล้วนเพิ่มมากขึ้นเป็นหลายร้อยหลายพันเท่า ประหนึ่งว่าพวกเขาได้รับความโปรดปรานจากเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่มีโอกาสได้รับเลือกจากเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง ผู้ที่ไม่ได้รับเลือกล้วนรู้สึกเสียใจ ในขณะที่คนอื่น ๆ ล้วนใส่ร้ายป้ายสีมู่ซืออวี่ไปทุกหัวระแหง แม้กระทั่งชื่อเสียงของ ‘เรือนกรุ่นฝัน’ ยังได้รับผลกระทบไปด้วย
มู่ซืออวี่ตั้งชื่อกองเรือของนางว่า ‘นาวีกรุ่นฝัน’ เรือนกรุ่นฝันและนาวีกรุ่นฝัน ล้วนเป็นกิจการกลุ่มเดียวกัน เพียงแต่การก้าวกระโดดจากกิจการตกแต่งบ้านไปสู่การคมนาคมไม่ใช่เรื่องธรรมดา
ในเรื่องของการต่อเรือ มู่ซืออวี่นับว่ายังเป็นมือใหม่ อย่างไรก็ตาม นางไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจอะไรเลยแม้เพียงนิด ตอนที่นางเรียนมหาวิทยาลัย นางได้ลงวิชาเลือกอย่าง ‘วิชาวิศวกรรมต่อเรือและเครื่องกลเรือ’ มู่ซืออวี่คลุกคลีกับมันมาพอสมควร เพียงแต่ในตอนนั้นเป็นเพียงการวางแผนรบบนกระดาษ ไม่ได้มีประสบการณ์ในทางปฏิบัติ ตอนนี้นางเต็มใจที่จะเป็นมือใหม่ที่ไม่รู้สิ่งใดทั้งสิ้น เริ่มต้นจากศูนย์แล้วค่อยก้าวไปยังหน้าถัดไป
“ท่านแม่” ลู่จื่ออวิ๋นเดินเข้ามาพร้อมกับเกี๊ยวน้ำถ้วยหนึ่ง “นี่ลูกทำเอง ท่านลองชิมดูเถิด”
มู่ซืออวี่กำลังกังวลเรื่องกิจการใหม่ของนาง เมื่อเห็นลูกสาวที่ว่านอนสอนง่ายทั้งยังเฉลียวฉลาด ความกังวลของนางพลันลดลงไปครึ่งหนึ่ง
ฮูหยินลู่ลองชิมดูหนึ่งคำแล้วเอ่ยชมเปาะ “ฝีมือทำอาหารนี้ได้รับการสืบทอดไปจากแม่แท้ ๆ ภายหน้าไม่รู้ว่าหนุ่มน้อยบ้านใดจะโชคดีได้กินอาหารที่เจ้าลงครัวเอง”
“แน่นอนว่าเป็นท่านพี่ ท่านพี่ชอบกินมากที่สุดแล้ว ท่านแม่ไม่รู้อะไร แรก ๆ ที่ข้าเริ่มทำอาหาร ท่านพี่เป็นคนเสี่ยงตายเป็นคนแรก”
“ได้ เจ้าชอบแกล้งโง่ก็แกล้งโง่ไป ตอนนี้เจ้ายังเด็ก โง่ไปสักสองปีก็ไม่เป็นไร แต่ว่าอวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าคิดอะไรล้วนสามารถบอกแม่ได้ แม่เคารพการตัดสินใจของเจ้า”
“ท่านแม่ ท่านรู้จักข้าดีที่สุดเลย” ลู่จื่ออวิ๋นกอดมู่ซืออวี่ “แต่ว่าท่านแม่ ท่านต้องดูแลร่างกายตนเองด้วย ระยะนี้ท่านมักจะขมวดคิ้วเสมอ ลูกเป็นห่วงท่านเป็นอย่างยิ่ง”
“แม่เพียงแค่อยากทำสิ่งที่มีประโยชน์ ไม่ว่าจะพบปัญหาใด ล้วนต้องใช้เวลาขบคิด เจ้าวางใจ แม่จะไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน” มู่ซืออวี่กล่าว “เพียงแต่ แม่ต้องไปเมืองซานหลิน ที่นั่นอยู่ติดทะเลเหมาะแก่การสร้างโรงต่อเรือมากที่สุด แม่คิดเช่นนี้ หากเจ้ายินดีไป แม่จะพาพวกเจ้าทุกคนไป อย่างไรเสียที่ร้านทางนี้ก็มีเฟิงเจิงคอยดูแล ทางด้านเรือนย่อยก็มีอีเมิ่งคอยดูแล หากเจ้าไม่อยากไป ข้าจะเชิญอาสะใภ้เจ้ามาคอยอยู่ดูแลเจ้า”
“ท่านแม่ ข้าอยากไปกับท่าน”
“ดี เช่นนั้นพวกเราเตรียมตัวเถอะ!”
มู่ซืออวี่กำลังจะไปที่เมืองซานหลิน ตอนนี้ผู้ที่ต้องรับทราบมีเพียงครอบครัวลู่เซวียนและครอบครัวเซี่ยคุน
ลู่อี้ให้เซี่ยคุนรั้งอยู่ข้างหลังเพื่อคอยปกป้องพวกเขาแม่ลูก มู่ซืออวี่อยู่ที่ใด เซี่ยคุนก็ต้องอยู่ที่นั่น อันอวี้มีร้านที่ต้องดูแล ไม่สามารถผละไปได้ เซี่ยคุนจึงขอให้ลู่เซวียนและภรรยาดูแลอันอวี้แม่ลูก ส่วนเขานำคนของตนตามไปปกป้องมู่ซืออวี่และหลาน ๆ
หากต้องการสร้างโรงต่อเรือต้องได้รับอนุมัติจากกรมพระคลังเสียก่อน ลู่เซวียนมีฐานะเป็นเสนาบดีกรมพระคลัง เรื่องนี้เขายังพอมีอำนาจ เป็นดังคำกล่าวว่ารู้จักบุคคลเบื้องบนนั้นมีข้อดี เรื่องนี้จึงจัดการได้ราบรื่นยิ่ง
“ฮูหยินลู่”
ขณะที่มู่ซืออวี่กำลังจะเข้าไปใน ‘เรือนกรุ่นฝัน’ ก็มีคนรั้งนางเอาไว้
นางหันกลับมาจึงพบว่าเป็นหร่วนจวินโจว
“เถ้าแก่หร่วน”
“ฮูหยินลู่ เป็นเช่นนี้ ข้าได้ยินว่าท่านมีแผนจะเริ่มกิจการเดินเรือ ข้าอยากปรึกษาท่านว่าจะให้สกุลหร่วนของเราเข้าร่วมแผนการนี้ได้หรือไม่?”
“นี่…” มู่ซืออวี่รู้สึกละอายเล็กน้อย “เถ้าแก่หร่วน กล่าวอย่างไม่ปิดบัง ข้าในด้านนี้นับว่าเป็นมือใหม่ที่ต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ข้าเตรียมใจว่าจะกลายเป็นตะกร้าไม้ตักน้ำดีแล้ว หากเถ้าแก่หร่วนต้องการเข้าร่วม ข้ากังวลว่าสุดท้ายแล้วจะทำให้ท่านผิดหวัง โปรดอภัยที่ข้าไม่อาจรับปากท่านได้”
“ข้าพอคาดเดาได้ว่าเหตุใดฮูหยินลู่จึงตัดสินใจเช่นนี้ การขนส่งทางเรือของอาณาจักรเราล้าหลังจากอาณาจักรอื่นจริง ๆ โดยเฉพาะอาณาจักรเหลียง พวกเขามีกองเรือที่กล้าหาญชาญชัย ทว่าอาณาจักรของเราไม่เคยคำนึงถึงความสามารถด้านการรบทางน้ำ สำหรับพวกเขาแล้ว น้ำเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน มิหนำซ้ำยังอันตรายเป็นอย่างยิ่ง”
“ข้าอาจไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่เถ้าแก่หร่วนคิด” มู่ซืออวี่เอ่ย “ข้าเพียงแค่อยากทำเรื่องที่แตกต่างออกไป กิจการตอนนี้ราบรื่น ไร้ซึ่งความท้าทาย”
“เถ้าแก่เนี้ยมู่ไม่เหมือนสตรีอื่นใดจริง ๆ” หร่วนจวินโจวยิ้มน้อย ๆ “แม้จะด้วยเหตุนี้ แต่ข้าก็ยังต้องการร่วมมือกับเถ้าแก่เนี้ยมู่ เช่นนี้ได้หรือไม่?”
“ขออภัย ข้าอยากทำเรื่องนี้เพียงคนเดียวให้สำเร็จ หากเถ้าแก่หร่วนสนใจจริง ๆ ท่านสร้างกิจการของท่านเองได้ ข้ารู้ว่าสกุลหร่วนมีนายช่างมากฝีมือจำนวนหนึ่ง มีคนมากความสามารถเช่นนี้คอยช่วยเหลือท่านจะต้องประสบความสำเร็จรวดเร็วกว่าข้าอย่างแน่นอน หากไม่มีเรื่องใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน ”
หร่วนจวินโจวมองร่างของมู่ซืออวี่ที่เดินจากไป
“นายท่าน ฮูหยินลู่ผู้นี้ทะนงตนเกินไปแล้ว”
“ก็นางมีความสามารถนี่”
ขณะที่เอ่ย เขาก็หันไปมองทางระเบียงฝั่งตรงข้าม
ตรงนั้นมีร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งยืนอยู่
มู่ซืออวี่เพิ่งกลับมายังห้องก็ถอดเสื้อคลุมบนร่างออก แล้วเอ่ยขึ้นว่า “จู่ ๆ อากาศก็หนาวเย็นลงเช่นนี้ ไม่รู้ว่าใต้เท้าลู่บ้านเราผู้นั้นถึงที่ใดแล้ว”
“ใต้เท้าจะต้องดูแลตนเองเป็นอย่างดีแน่เจ้าค่ะ” ซางจือเอ่ย “ฮูหยินไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ”
“หากบอกว่าข้าไม่กังวลคงโกหก กลางวันไม่เป็นไร ข้ายุ่งเสียจนเท้าแทบไม่ได้แตะพื้น พอกลางคืนข้าก็อดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้ คิดว่าหากเขาไปถึงอาณาจักรเหลียงแล้ว ด้วยฝีปากฟาดฟันเช่นนั้นของเขา คงไม่สร้างปัญหาอะไรกระมัง?”
“กล่าวถึงเรื่องฟาดฟันแล้ว ฮูหยินเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย ดังคำโบราณที่ว่าไม่ใช่คนตะเภาเดียวกันไม่ได้อยู่ด้วยกัน” ฉานอีเอ่ยขึ้นมา “ยังมีคุณชายใหญ่ที่นับได้ว่าเป็นสีน้ำเงินที่กลั่นออกมาจากต้นคราม สีสันกลับแก่เข้มยิ่งกว่าต้นครามดี ๆ เสียอีก”
เฟิงเจิงเดินเข้ามา “อาจารย์”
“เฟิงเจิง เจ้ามาพอดี วันนี้รวบรวมทุกคนมา พวกเราจะหารือกัน”
“อาจารย์ ท่านจะไปเมืองซานหลินจริงหรือ?”
“ใช่แล้ว!”
“ข้าตามไปกับท่านได้หรือไม่? เฟิงเจิงมองมู่ซืออวี่ด้วยแววตาคาดหวัง “ข้ารู้ว่าท่านกังวลว่าจะไม่มีผู้ใดดูแลที่นี่ ที่นี่ฝากไว้กับพี่ต้าชุนได้”
“ต้าชุนรู้หรือไม่? เจ้าเคยปรึกษาเรื่องนี้กับเขาบ้างหรือยัง?”
“อาจารย์…” เสียงหวังต้าชุนดังเข้ามามาจากข้างนอก
“เข้ามา”
หวังต้าชุนเดินเข้ามา เขาเอ่ยกับมู่ซืออวี่ “อาจารย์ ข้ารู้ว่าท่านปฏิบัติต่อข้าและเฟิงเจิงเช่นเดียวกัน ข้าไม่ได้ฉลาดเท่าน้องเฟิงเจิง ศึกษาเรื่องเครื่องเรือนมาก็นานโขแล้ว บัดนี้ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จบ้าง เรื่องอื่นเกรงว่าข้ามีใจแต่ไร้กำลัง ทว่าเฟิงเจิงแตกต่างออกไป เขาอยากเรียนรู้ทักษะการต่อเรือจริง ๆ ดังนั้นพวกเราสองพี่น้องคุยกันแล้ว ข้าจะรั้งอยู่ ส่วนเขาตามอาจารย์ไป”
“ข้ายังกังวลว่าเจ้าจะบอกว่าข้าลำเอียง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมอบให้เฟิงเจิง ทั้งเจ้าและเขาล้วนเป็นศิษย์ข้าด้วยกัน เจ้าคิดเช่นนี้ได้ข้าก็ดีใจ เช่นนั้นก็จัดการตามที่พวกเจ้าคุยกันเถอะ!” มู่ซืออวี่เอ่ย “เฟิงเจิง เจ้าไปเก็บข้าวของและหารือกับครอบครัว หากพวกเขายินดีไปเมืองซานหลินด้วยกันกับเจ้า เช่นนั้นก็ไปด้วยกัน หากพวกเขาไม่เต็มใจไป เช่นนั้นก็รั้งอยู่ในเมืองหลวง”