สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 659 ผู้มาใหม่มีถึงสอง
บทที่ 659 ผู้มาใหม่มีถึงสอง
บทที่ 659 ผู้มาใหม่มีถึงสอง
“โทษได้รับการตัดสินแล้ว คหบดีจางถูกตัดสินให้ประหารชีวิต”
เหล่าบัณฑิตล้วนยืนมุงอยู่หน้าประตู เฝ้าดูกระบวนการพิจารณาคดีจนจบลงด้วยความตื่นเต้น
“เมืองซานหลินเราในที่สุดก็กำจัดภัยร้ายใหญ่หลวงออกไปได้! สวรรค์มีตาแล้ว!”
คนอื่นล้วนตื่นเต้นยินดีไม่ต่างกัน
“ไป ๆ ข้าเชิญพวกท่านไปดื่มสุรา วันนี้ไม่เมาไม่กลับ”
“ประทัดเล่า? รีบจุดประทัดฉลองเร็วเข้า”
“ใต้เท้าผู้นั้นแซ่อะไรหรือ?”
“ดูเหมือนจะแซ่โม่”
มู่ซืออวี่ได้ยินว่าฟางเยว่ถูกขุนนางจากกรมขุนนางส่งตัวกลับไปยังเมืองหลวง ขณะเดียวกันก็แต่งตั้งนายอำเภอคนใหม่ให้เข้ารับตำแหน่งชั่วคราว ทว่านางไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เมื่อนายอำเภอคนใหม่มาเยี่ยม นางถึงได้รู้ว่านายอำเภอโม่ผู้นี้อันที่จริงแล้วเป็นคนรู้จักมักคุ้นเก่าก่อน
“ชิงเหยียน ไม่ถูกสิ ใต้เท้าโม่! เหตุใดท่านจึงมาเป็นนายอำเภอที่เมืองซานหลินได้เล่า?”
“ฮูหยิน ท่านยังคงเรียกข้าว่าชิงเหยียนเถอะ! ต่อหน้าท่านข้าเป็นเพียงผู้เยาว์” โม่ชิงเหยียนเหลือบมองลู่จื่ออวิ๋นที่อยู่ข้าง ๆ แล้วกล่าวกับมู่ซืออวี่ “อันที่จริง ข้ากับสหายฉาวอวี่สอบขุนนางรอบเดียวกัน เพียงแต่สหายฉาวอวี่โดดเด่นเกินไป ภายใต้ประกายเจิดจรัสของเขา ข้าจึงธรรมดาสามัญยิ่ง”
“ท่านไม่ต้องถ่อมตัวแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “ท่านเป็นถึงหนึ่งในสี่ผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศแห่งเมืองหลวง เพียงแต่ไม่ชมชอบการเป็นจุดสนใจเท่านั้นถึงได้ถ่อมตนเพียงนี้ ท่านสวมชุดขุนนางขั้นหก นายอำเภอผู้หนึ่งจำเป็นต้องให้ขุนนางขั้นหกลงมาเป็นที่ใดกัน?”
“ข้าเพียงมาแทนชั่วคราวเท่านั้น” โม่ชิงเหยียนเอ่ย “ทว่าช่วงสองปีนี้ ข้าคงต้องรั้งอยู่ที่นี่ ฮูหยินมีอะไรให้ช่วยเหลือขอเพียงแค่เอ่ยปาก”
“เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว”
“ผู้เยาว์รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
ฉานอีเดินเข้ามารายงาน “ฮูหยิน นายกองคนใหม่มาเยี่ยมเยือนเจ้าค่ะ”
“นายกอง?” มู่ซืออวี่ประหลาดใจ “เมืองซานหลินมีนายกองหรือ?” ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“ได้ยินมาว่าเพิ่งแต่งตั้งขึ้นใหม่เจ้าค่ะ เนื่องจากจะมีค่ายทหารมาตั้งที่เมืองซานหลิน เขาจึงมาเพื่อฝึกฝนกองกำลังทหารอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ”
“เชิญเข้ามา”
โม่ชิงเหยียนมองไปทางประตู เห็นเพียงชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมชุดทหารเดินเข้ามา ทันทีที่เข้ามาเขาก็คำนับมู่ซืออวี่ แล้วเอ่ยทักทายลู่จื่ออวิ๋น
“คารวะฮูหยิน สวัสดีแม่นางลู่”
“คุณชายเจียง?” เมื่อมู่ซืออวี่เห็นเจียงหว่านเฉินก็รู้สึกประหลาดใจ “นายกองคนใหม่คือเจ้าหรือ?”
“ขอรับ”
“เพราะเหตุใดเล่า?”
“ฮูหยิน ท่านมาสร้างกิจการเดินเรือที่นี่เพราะเหตุใดเล่า? มิใช่เพื่อให้พวกเราได้มีทัพเรือโดยเร็วที่สุดหรือ ข้าฝึกทหารอยู่ที่นี่ นอกจากฝึกบนบกแล้วยังมีการฝึกบนผืนน้ำด้วย”
“ความหมายของเจ้าคือยินดีร่วมมือกับข้า?”
“นี่เป็นสิ่งที่บุรุษทุกคนที่เลือดร้อนยินดีทำ ฮูหยินทำเรื่องราวมากมายเหล่านี้ก็เพื่อชาติบ้านเมืองและราษฎร ไม่ใช่เพราะความเห็นแก่ตัวของตนเอง ฮูหยินที่ไร้ความเห็นแก่ตัวเช่นนี้เป็นวีรสตรีที่ผู้เยาว์นับถือมากที่สุด”
“เจ้าช่างรู้จักเจรจาเสียจริง ข้าไม่ใช่วีรสตรีอะไร เพียงแค่ทำในสิ่งที่ตนต้องการทำเท่านั้น ข้าทำเช่นนี้ไม่ได้ทำเพื่อผู้ใดแต่เพื่อหัวใจของตนเอง”
“นี่คือสิ่งที่ผู้เยาว์นับถือฮูหยิน”
“ตอนนี้เป็นยุคสมัยของคนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้าแล้ว บุ๋นมีใต้เท้าโม่ว บู๊มีแม่ทัพเจียง เมืองซานหลินเล็ก ๆ เมืองหนึ่งช่างเต็มไปด้วยผู้มีพรสวรรค์จริง ๆ เช่นนั้น ฮูหยินผู้นี้ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว”
โม่ชิงเหยียนและเจียงหว่านเฉินล้วนไม่ได้รั้งอยู่นาน
เพียงแต่ ผู้หนึ่งสวมชุดขุนนางพลเรือน อีกผู้หนึ่งสวมชุดขุนนางทหาร ทั้งสองคนล้วนออกมาจากบ้านสกุลลู่ เมื่อชาวบ้านพบเห็นจึงพากันคาดเดาไปต่าง ๆ นานาว่านายหญิงของบ้านสกุลลู่เป็นผู้ใด
เมืองซานหลินอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง หากสนใจสอบถาม จริง ๆ แล้ว ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ตัวตนของมู่ซืออวี่จึงรู้ทั่วกันในที่สุด
“สตรีผู้ทำการค้าอันดับหนึ่งในใต้หล้า”
“เคยได้ยินชื่อลานหรรษาในเมืองฮู่เป่ยหรือไม่? เคยได้ยินชื่อเรือนพักผ่อนบนภูเขาในชนบทนอกเมืองหลวงหรือไม่? เคยได้ยินชื่อ ‘เรือนกรุ่นฝัน’ หรือไม่?”
“นึกไม่ถึงว่านางจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่เพียงนี้!”
“ฮูหยินลู่โหว มารดาของเด็กหนุ่มอัจฉริยะผู้ชนะอันดับหนึ่งในการสอบขุนนางสามครั้งติดต่อกัน อีกทั้งยังเป็นฮูหยินเก้ามิ่งขั้นหนึ่ง คหบดีจางเบื่อชีวิตแล้วใช่หรือไม่? เหตุใดกล้าไปล่วงเกินคนเช่นนี้”
“มิน่าเล่า คหบดีจางและใต้เท้าฟางกดขี่ข่มเหงพวกเราที่นี่มายาวนานกลับไม่เกิดอะไร แต่พอฮูหยินลู่มาถึงได้ไม่นาน พวกเขาก็ถูกกำจัดไปง่าย ๆ ที่แท้ไปเตะแผ่นเหล็กเข้าแล้วนี่เอง”
ทันทีที่มู่ซืออวี่ออกมาจากโรงต่อเรือก็เห็นคนมากมายยืนต่อแถวอยู่ด้านนอก
นางเอ่ยถามฉานอี “พวกเขากำลังทำอะไร?”
“พวกเขาอยากเป็นคนเรือเจ้าค่ะ” ฉานอีตอบ
“ไม่มีผู้ใดบอกพวกเขาหรือว่าคนของเราเต็มแล้ว?”
“บอกแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่พวกเขาอยากลองดู คุณหนูอวิ๋นเอ๋อร์จึงบอกว่าสามารถลองดูได้ ทว่าหากอยากเป็นผู้ถูกเลือกต้องมีทักษะอยู่บ้าง นางเลือกคนเรือที่มีประสบการณ์มาแล้วหลายคนจริง ๆ”
“สาวน้อยนี่ ระยะนี้นางคงเบื่อแล้ว”
“บ่าวคิดว่าคุณหนูอวิ๋นเอ๋อร์ปรับตัวได้ดีทีเดียวนะเจ้าคะ นางเข้ากันกับชาวประมงในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี วัตถุดิบแทบทั้งหมดในครัวเราที่ซื้อมาจากชาวประมงล้วนราคาถูกและสดใหม่”
ลู่จื่ออวิ๋นจูงมือเล็ก ๆ ของลู่ฉาวจิ่ง เหยียบย่ำไปบนผืนทรายอันอ่อนนุ่ม ขณะที่เดินไปแต่ละคนต่างก็ทิ้งรอยเท้าเล็ก ๆ เอาไว้บนชายหาด
ลมทะเลพัดผ่านมา อากาศอวลไปด้วยกลิ่นของน้ำทะเล บนฟากฟ้ามีนกนางนวลกำลังโบยบิน รูปร่างที่พลิ้วไหวของพวกมันราวกับนักเต้นที่กำลังร่ายรำอย่างงดงามกลางทะเล
“คุณหนู แม่ทัพเจียงเจ้าค่ะ” ติงเซียงบอกลู่จื่ออวิ๋น
ลู่จื่ออวิ๋นหันหลัง เห็นร่างของเจียงหว่านเฉินกำลังเดินมาดังคาด
เจียงหว่านเฉินสวมชุดธรรมดา ข้างกายเขามีผู้ติดตามตามมาหนึ่งคน
“แม่ทัพเจียง”
“จื่ออวิ๋น เจ้าเรียกว่าพี่ใหญ่เจียงเถอะ!” เจียงหว่านเฉินเอ่ย “ข้าเองก็เพิ่งเคยเห็นทิวทัศน์ทะเลเป็นครั้งแรก ภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจเช่นนี้ทำให้หัวใจของผู้คนเต้นรัว อดที่จะเข้าไปใกล้ ๆ ไม่ได้”
“เรื่องคัดเลือกทหารของท่านเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“ตอนนี้กำลังดำเนินการ”
“เหตุใดท่านจึงคิดที่จะมาคัดเลือกทหารในเมืองซานหลินเล่า?”
“เมืองซานหลินเดิมทีก็เป็นพื้นที่ชายฝั่งทะเล หากเกิดสงครามย่อมกระทบต่อราษฎรในเมืองอย่างแน่นอน การคัดเลือกทหารที่นี่ไม่เพียงแต่ช่วยให้พวกเขาได้มีเงินเลี้ยงปากท้อง แต่ยังช่วยให้พวกเขาสามารถปกป้องบ้านของตนเอง นี่เป็นการเตรียมการที่ดีที่สุดและเป็นประโยชน์ต่อแผนการภายภาคหน้าของพวกเราที่สุด”
“มีเหตุผล”
วันปักปิ่นของลู่จื่ออวิ๋น บิดาของนางไม่อยู่ข้างกาย พี่ชายของนางไม่อยู่ข้างกาย ทว่าแม้เมืองหลวงจะอยู่ห่างไกลจากเมืองซานหลิน เจี่ยหลิงหลงและหยางเจิงก็ยังคงมา
มู่ซืออวี่จัดงานให้ลู่จื่ออวิ๋นอย่างดี
เจียงหว่านเฉินและโม่ชิงเหยียนก็อยู่เช่นกัน
“คุณหนู มีของส่งมาให้ท่านเจ้าค่ะ” ติงเซียงเดินถือกล่องเข้ามาหลายใบ
ลู่จื่ออวิ๋นกำลังดื่มน้ำ เห็นนางถือของเต็มไม้เต็มมือจึงให้บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ เข้าไปช่วย
“นี่อะไร? ของขวัญที่แขกส่งมาควรส่งให้พ่อบ้านจดไว้ไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงนำมาให้ข้า?”
“นี่ไม่ใช่ของที่แขกส่งมาเจ้าค่ะ ทว่าส่งมาจากศาลาพักม้า บอกว่าเป็นของคุณหนู ฮูหยินจึงบอกว่าให้เอามาให้ท่าน ท่านเปิดดูก็จะรู้ว่าผู้ใดส่งมา” ติงเซียงตอบ
ลู่จื่ออวิ๋นเดินไปที่โต๊ะ มองดูของขวัญหลายสิบชิ้นนั้นแล้วเอ่ยว่า “หรือว่าเป็นท่านพ่อและท่านพี่ส่งมา?”
ในวันสำคัญเช่นนี้ พี่ชายและบิดากลับไม่อยู่ข้างกาย นางเสียใจอยู่บ้าง ทว่านางก็เข้าใจ หากเป็นไปได้ บิดาและพี่ชายย่อมไม่อยากไปจากนางแน่นอน
นางและพี่ชายเกิดวันเดียวกัน วันนี้ก็เป็นวันสำคัญของเขา นางยังมีแม่และน้องชายน้องสาวอยู่ด้วยกัน พี่ชายนางกลับอยู่เพียงลำพังในสถานที่ห่างไกลและทุรกันดาร ผู้ที่น่าสงสารที่สุดคือเขา…
ทว่า เมื่อครึ่งเดือนก่อนนางได้ส่งของขวัญให้กับลู่ฉาวอวี่แล้ว เขาเองก็คงได้รับมันแล้วเช่นกัน