สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 662 ความแค้นเก่าก่อน
บทที่ 662 ความแค้นเก่าก่อน
บทที่ 662 ความแค้นเก่าก่อน
นักฆ่าล้มลงคนแล้วคนเล่า ท้ายที่สุดก็เหลือชายชุดดำเพียงคนเดียว
เซี่ยคุนตะโกน “จับเป็น!”
ลู่เยี่ยเก็บดาบเข้าฝักได้ทัน ทว่าชายชุดดำผู้นั้นกลับกัดลิ้นฆ่าตัวตายไปแล้ว
ท้ายที่สุด ณ ที่แห่งนั้นก็ไม่มีผู้ใดเหลืออยู่เลย
เซี่ยคุนย่อตัวลงเพื่อตรวจสอบร่างกายของชายชุดดำ เมื่อเขาเห็นลายเสือดาวบนอกจึงเอ่ยว่า “เป็นพวกมันอีกแล้ว!”
เสือดาวเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติของอาณาจักรเหลียง ทว่ากลับเห็นได้ชัดราวกับว่าต้องการป้ายสีฝั่งนั้น เขาจึงไม่อาจด่วนสรุป
ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งลู่อี้นี้ออกไปเป็นราชทูตที่อาณาจักรเหลียง เขาจะต้องกำลังตรวจสอบเรื่องนี้เป็นแน่
“เก็บกวาดที่นี่ให้เรียบร้อย”
“ขอรับ!”
เซี่ยคุนเอ่ยถามอันอวี้ “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
อันอวี้ส่ายหน้าเบา ๆ
นางส่งเซี่ยเสี่ยวอันที่อยู่ในอ้อมแขนให้เซี่ยคุน
เซี่ยเสี่ยวอันปล่อยโฮออกมาอีกทั้งยังคงรู้สึกหวาดผวา จนกระทั่งเซี่ยคุนรับเขาเข้ามาอุ้ม เด็กน้อยจึงผ่อนคลายลงไปมาก
“ขออภัย ปล่อยให้พวกเจ้าสองแม่ลูกติดตามข้ามาจนต้องหวาดกลัวแล้ว” เซี่ยคุนเอ่ย “พวกเรากลับกันก่อนเถอะ”
ภายในรถม้า อันอวี้ยังคงนิ่งเงียบไม่ยอมปริปาก
เซี่ยคุนมองนางอย่างเป็นกังวล
อันอวี้เงยหน้าขึ้นมามองสามี “ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่ได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่นี้ของพวกท่านจึงรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย กระทั่งถึงวันนี้ข้าถึงได้รู้ว่า ท่านไม่มีคนในครอบครัวคนอื่น ๆ แล้ว”
“สกุลข้าเป็นสกุลช่างหลอมอาวุธ อาวุธกว่าครึ่งในราชสำนักมาจากสกุลข้า จู่ ๆ วันหนึ่งพี่ชายข้าที่เป็นหัวหน้าสกุลในตอนนั้นทำกระบี่ที่ตัดเหล็กดุจตัดโคลนเล่มหนึ่งขึ้นมา พี่ชายของข้ารู้สึกว่ากระบี่เล่มนั้นร้ายกาจเกินไป เขาจึงปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ ทว่าไม่รู้เกิดอะไรขึ้น เรื่องนี้จึงนำพาภัยพิบัติมาเยือน คนทั้งสกุลพวกเราถูกสังหารสิ้น ข้าเห็นพี่ชาย พี่สะใภ้ หลานสาว หลานชายข้าถูกนักฆ่าลงมือสังหารด้วยสองตาของตัวเอง ข้าอยากจะรุดออกไปตายพร้อมกับพวกเขาเสีย แต่กลับถูกคนของตนตีให้หมดสติไป เมื่อฟื้นขึ้นมาข้าก็อยู่ที่อื่นแล้ว” ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“ข้าคิดจะรายงานเรื่องนี้ให้ทางการทราบเพื่อทวงความยุติธรรมให้ครอบครัว ทางการกลับบอกว่านี่เป็นความแค้นเคืองในยุทธจักรของพวกเรา ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับราชสำนัก แต่ไรมาพวกเขาก็ไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายเรื่องความบาดหมางในยุทธจักร ครอบครัวของพวกเราจึงตายอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่มีผู้ใดยินดีออกหน้าเพื่อพวกเรา นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ข้าจึงเกลียดทางการเข้ากระดูกดำ คิดว่าขุนนางย่อมปกป้องขุนนางด้วยกันเอง จนกระทั่งได้พบกับลู่อี้และภรรยา ข้าถึงได้เปลี่ยนความคิด”
“พวกมันมาหาข้า อีกทั้งยังขอคัมภีร์ศัตราวุทธเล่มนั้น อันที่จริงแล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ใด อันอวี้ เรื่องเช่นวันนี้ภายหน้าอาจเกิดขึ้นอีก ถึงแม้ข้าจะวางคนไว้รอบกายเจ้ามากมาย ทว่าพวกมันก็จะยังคงหาช่องโหว่กับเจ้า ข้ามีหนี้เลือด ไม่ควรมีชีวิตที่น่ายินดีเช่นที่ข้ามีในตอนนี้ แต่ข้าโชคดีมาก เพราะได้พบกับพวกเจ้า ข้าถึงได้มีครอบครัว”
“ข้าไม่กลัว” อันอวี้มองสบตาเขา “หากไม่ใช่เพราะท่าน ข้าคงตายไปนานแล้ว ไม่อาจมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้ ท่านเป็นสามีข้า เป็นพ่อของลูกข้า พวกเราจะเป็นครอบครัวเดียวกันเช่นนี้ตลอดไป”
เมื่อเซี่ยคุนพาอันอวี้กลับมายังบ้านสกุลลู่ มู่ซืออวี่กำลังรออยู่ที่หน้าประตู
“ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรใช่หรือไม่?”
เมื่อเห็นอันอวี้ลงมาจากรถม้า มู่ซืออวี่ก็ก้าวเข้าไปหาพร้อมเอ่ยถามทันที
อันอวี้สั่นศีรษะ “ไม่ได้รับบาดเจ็บเจ้าค่ะ”
มู่ซืออวี่เหลือบมองเซี่ยเสี่ยวอัน
เซี่ยเสี่ยวอันหลับไปแล้ว ทว่าเขากลับหลับไม่สนิทนัก เห็นได้ชัดว่าได้รับความตกใจเป็นอย่างมาก
“คนพวกนั้นพาพวกเจ้าสองแม่ลูกไปได้อย่างไร?”
“พวกเขาปลอมตัวเป็นคนพื้นที่ทำให้คนของพวกเราสับสน นอกจากนี้ตรงนั้นยังมีจุดอับสายตาอีกหลายแห่งทำให้ยากแก่การตรวจพบ ถึงแม้จะถูกจับก็ไม่อาจไปช่วยได้ทันการ”
มู่ซืออวี่ไม่ได้ถามอะไรอีก ขอเพียงแค่อันอวี้กลับมาปลอดภัย เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ การเอ่ยถึงเรื่องเหล่านั้นอีกครั้ง รังแต่จะย้ำเตือนนางให้นึกถึงภาพที่ไม่น่ายินดี
“ผู้ใดคิดจะทำร้ายพวกเขาสองแม่ลูก? คนพวกนั้นเล่า?”
เซี่ยคุนเอ่ย “เป็นศัตรูของข้า ตอนนี้ตายแล้ว”
“เช่นนั้นท่านจัดการเถิด หากยุ่งยากอะไรหรือต้องการให้ข้าช่วยก็เพียงแค่เอ่ยปาก ทว่านอกจากทำกลไก ข้าก็ทำได้เพียงหาเงินเท่านั้น”
“ฮูหยินมีความสามารถสองอย่างนี้ก็ทำให้เป็นคนที่มีอำนาจมากแล้ว” เซี่ยคุนเอ่ย “ส่วนเรื่องกลไก มีบางเรื่องที่ต้องให้ท่านช่วยจริง ๆ”
“ช่วยอะไร?”
“ค่อยว่ากันภายหลัง”
คนพวกนั้นยังคงต้องการ ‘คัมภีร์ศัตราวุธ’ นั่นหมายความว่าตำราเล่มนั้นยังไม่ตกไปอยู่ในมือของคนชั่ว พวกมันคิดว่าอยู่ในมือเขา แต่ความจริงกลับไม่ใช่ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันอยู่ที่ใด
เช่นนั้น บางทีมันอาจยังอยู่ในบ้านเดิมของเขา
คนเหล่านั้นสังหารทุกคนในบ้านสกุลเซี่ย พลิกฟ้าพลิกดินหาของ หากคัมภีร์อยู่ในจุดที่เห็นได้ชัด พวกมันคงพบไปนานแล้ว นอกเสียจากว่าจะมีกลไกหรือห้องลับอะไรอยู่ในบ้านสกุลเซี่ยโดยที่เขาเองก็ไม่รู้
เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับอันอวี้และเซี่ยเสี่ยวอันแล้ว พวกเขาจึงไม่อาจกลับไปยังเมืองหลวงได้เป็นการชั่วคราว อันที่จริง อันอวี้รับศิษย์เข้ามาหลายคน ระหว่างนี้ก็เป็นพวกเขาที่ดูแลกิจการ
“มีอะไรหรือ?” มู่ซืออวี่เห็นเซี่ยคุนปล่อยนกพิราบส่งสารจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ไม่มีอะไร” เซี่ยคุนกล่าว “ได้ยินว่าพวกท่านกำลังพยายามสร้างเรือรบลำแรกขึ้นมา มั่นใจแล้วหรือ?”
“แน่นอน” มู่ซืออวี่เอ่ย “พวกเราใช้เวลามากกว่าสองเดือน ผ่านการคิดคำนวณแล้วคำนวณอีก ทั้งยังลองทำแบบจำลองออกมาก่อน กระทั่งบัดนี้ยังไม่พบปัญหาอะไร”
“เช่นนั้น… ก็ดียิ่ง”
“เซี่ยคุน ท่านกำลังปิดบังอะไรข้า”
“ข้าไม่มีอะไรปิดบัง”
สิ้นคำ เซี่ยคุนก็ถอยออกไป
มู่ซืออวี่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ฉานอี” มู่ซืออวี่เอ่ย “จับตาดูพิราบสื่อสาร ข้าต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ฉานอีลังเลใจไปพักหนึ่ง
เซี่ยคุนเป็นหัวหน้าของพวกนาง
อันที่จริงแล้ว ล้วนเป็นเซี่ยคุนที่นำพวกนางมามอบให้สกุลลู่
“ฉานอี ข้าเป็นนายของเจ้าแล้ว” มู่ซืออวี่จ้องมองฉานอี “เซี่ยคุนกำลังปิดบังบางอย่างจากข้า ข้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าคิดจะกินในคายนอก*[1] หรือ?”
“ฉานอีไม่กล้า ฉานอีมีเจ้านายเพียงคนเดียว นั่นก็คือฮูหยิน ฉานอีฟังเจ้านายเจ้าค่ะ” ฉานอีตอบ
สองสามวันต่อมา ฉานอีสกัดนกพิราบตัวหนึ่งเอาไว้ได้สำเร็จ นางนำนกพิราบและข้อความที่ส่งมาให้มู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่อ่านข้อความในนั้น มือของนางสั่นระริก กระดาษทั้งแผ่นจึงร่วงลง
“ฮูหยิน เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ?”
“ท่านพี่ถูกโจมตี ตอนนี้หายตัวไปแล้ว!”
กล่าวเสร็จ มู่ซืออวี่ก็สาวเท้ายาว ๆ ไปที่ประตู
“เซี่ยคุนอยู่ที่ใด?”
นางถามบ่าวรับใช้ภายในจวน
บ่าวรับใช้ไม่รู้เรื่องนี้ ฉานอีที่อยู่ข้างหลังจึงเอ่ย “นายท่านเซี่ยออกไปแล้ว อาจจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เจ้าค่ะ”
“หากเซี่ยคุนกลับมาแล้ว รีบให้เขามาหาข้าทันที ข้าอยากรู้เรื่องนี้โดยละเอียด”
“เจ้าค่ะ!”
ฮูหยินเจี่ยและเจี่ยหลิงหลงเดินเข้ามา
“น้องหญิงร้อนใจเช่นนี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”
มู่ซืออวี่ข่มความกระวนกระวายบนใบหน้านาง ค่อย ๆ ก้าวช้าลง “พี่หญิง เช้าถึงเพียงนี้จะไปที่ใดหรือ?”
“ได้ยินว่าพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลงดงามจับตายิ่งนัก ข้าจึงพาหลิงหลงไปดู ทิวทัศน์ก็งดงามจริงดังว่าไว้” ฮูหยินเจี่ยเอ่ย “ที่นี่ดีจริง ๆ น่าเสียดายที่ต้องกลับแล้ว ไม่เช่นนั้นนายท่านผู้นั้นคงกินไม่อิ่มนอนไม่หลับ ตอนนี้เขาแก่แล้ว ต้องดูแลร่างกายให้ดี”
“ข้าจะจัดคนส่งพี่หญิงและหลิงหลงกลับไป”
“ไม่รบกวน พวกเรานำคนมาถึงแปดคน หลายวันนี้ก็รบกวนเจ้ามากแล้ว น้องหญิง เจ้ากำลังทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นความภาคภูมิใจของสตรีเรา เจ้าต้องดูแลตนเองให้ดี ข้าจะรอให้เจ้ากลับไปเมืองหลวง เจ้ากลับไปแล้ว พวกเราจะเตรียมงานเลี้ยงให้เป็นการรับขวัญเจ้ากลับคืน”
“ย่อมได้”
[1] กินในคายนอก หมายถึง อาศัยอยู่กับผู้หนึ่ง กลับลอบช่วยผู้หนึ่งอย่างลับ ๆ