สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 673 ตกตะลึง
บทที่ 673 ตกตะลึง
บทที่ 673 ตกตะลึง
ลมสารทฤดูพัดโชยผะแผ่ว หยาดฝนเย็นยะเยือกตบกระทบใบหน้ามู่ซืออวี่
ผืนดินปกคลุมไปด้วยใบไม้สีเหลืองเหี่ยวแห้งที่ร่วงหล่นลงมา ฝนตกลงบนใบไม้ที่ร่วงหล่นเหล่านั้น ผสานกับโคลนบนพื้นดิน ย้อมใบไม้ที่ร่วงหล่นให้กลับกลายเป็นสีอื่นไปในที่สุด
ซางจือที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “ฮูหยิน ท่านรออยู่ตรงนี้ประเดี๋ยวนะเจ้าคะ บ่าวจะไปเอาร่มมาเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้องหรอก อีกเพียงไม่กี่ก้าวแล้ว ไยต้องเสียเวลา?” มู่ซืออวี่เอ่ย “เมืองซานหลินนับวันยิ่งครึกครื้นมีชีวิตชีวาขึ้นเรื่อย ๆ”
“หลังจากพวกเราจัดการท่องเที่ยวบนเกาะขึ้น ก็มีแขกมากมายมาเยี่ยมชมเกาะที่เลื่องชื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งฤดูกาลนี้ยังเหมาะสำหรับการท่องเที่ยวยิ่งนัก ไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป จึงมีผู้คนทยอยมามากขึ้นเรื่อย ๆ”
มู่ซืออวี่เดินไปบนถนนที่ชื้นแฉะ
เมื่อครู่นี้ฝนเพิ่งตกลงมา พื้นดินจึงเปียกชุ่มไปหมด
ข้างหน้ามีสามีภรรยาหนุ่มสาวสองคนกำลังทำความสะอาดแผงขายของ ชายหนุ่มรีบร้อนเก็บหม้อเก็บกระทะของพวกเขา โดยมีหญิงสาวคอยถือร่มกระดาษสาอยู่ข้าง ๆ
ทันใดนั้นพลันเกิดลมกระโชกแรงพัดมาหอบหนึ่ง หญิงสาวคว้าด้ามร่มไว้ไม่ทัน มันจึงปลิวออกไปแล้ว
“ไม่ต้องตามหรอก” ชายหนุ่มผู้นั้นดึงหญิงสาวเอาไว้ จากนั้นก็ถอดเสื้อคลุมศีรษะให้หญิงสาว “เจ้าร่างกายอ่อนแอ ระวังจะจับไข้”
“แต่ว่า นั่นเป็นร่มเพียงคันเดียวของครอบครัวเรานะ!”
“ไม่เป็นไร ค่อยซื้ออีกคันก็ได้แล้ว”
“เงินสิบอีแปะเชียวนะ…”
หญิงสาวรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างยิ่งที่ตนไม่ได้ดูแลรักษาของให้ดี
“ไม่เป็นไร พวกเราจะต้องหาเงินได้มากกว่าสิบอีแปะแน่นอน เท่านี้ก็จะซื้อร่มได้อีกมากมาย”
ซางจือเห็นมู่ซืออวี่จ้องมองสามีภรรยาหนุ่มสาวคู่นั้นจึงเอ่ยขึ้น “ฮูหยินคิดถึงนายท่านหรือเจ้าคะ?”
“สองปีแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “เขาไปเป็นราชทูตที่อาณาจักรเหลียง นี่ก็ผ่านไปสองปีแล้ว ยังไม่กลับมาเลย”
“หากฮูหยินไม่วางใจ บ่าวจะพาคนสักสองสามคนไปตามหานายท่านที่อาณาจักรเหลียง หากทางเขาขาดกำลังคน บ่าวก็ช่วยได้เช่นกัน”
“เจ้าเด็กคนนี้ช่างมั่นใจในตนเองจริง ๆ” มู่ซืออวี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เขาจากไปนานถึงเพียงนั้นยังไม่กลับมา จะต้องมีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้นเป็นแน่ แค่เจ้าไปก็ช่วยได้แล้วหรือ?”
รถม้าคันหนึ่งหยุดอยู่ข้างหน้าพวกนาง ฉานอีลงมาจากรถม้าแล้วยื่นร่มให้ซางจือ
ซางจือถือร่มเอาไว้ เมื่อคนขับรถม้าวางที่เหยียบลง มู่ซืออวี่จึงขึ้นไปบนรถม้า
“ฝนตกหนักเช่นนี้ อย่าเพิ่งให้แขกข้ามไปที่เกาะ”
“คุณหนูเตรียมการแล้วเจ้าค่ะ ทว่า ฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แขกที่ยังอยู่บนเกาะเกรงว่าจะออกจากเกาะไม่ได้แล้ว”
“ขอเพียงแขกเหล่านั้นทำตามที่พวกเราจัดการแต่โดยดี ย่อมไม่เกิดอะไรขึ้น นั่นเป็นเกาะ ไม่ใช่เนินเขา น้ำจะท่วมง่ายดายเพียงนั้นได้อย่างไร?” ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
ฝนยังคงตกลงมาเป็นเวลานาน มิหนำซ้ำถึงวันที่สามแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ทะเลยังคงส่งเสียงคำรามสะเทือนเลื่อนลั่นประหนึ่งสัตว์ร้าย ราวกับมันต้องการจะกลืนกินทุกสิ่งลงไป
“ฮูหยิน บนเกาะเกิดเรื่องแล้วขอรับ”
“มีอะไร?!”
“คนของเราเห็นพลุส่งสัญญาณ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะสภาพอากาศเป็นเช่นนี้ พวกเราจึงไม่กล้าส่งคนไปดู”
ฝนยังคงตกลงมาอย่างหนัก ท้องทะเลไม่สงบ หากเวลานี้ส่งคนไปที่เกาะ นั่นไม่ต่างอะไรกับการส่งคนไปตาย
มู่ซืออวี่สวมเสื้อกันฝนและพาคนของนางไปยังชายหาด
“ฮูหยิน บนเกาะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือมาขอรับ”
“น้ำทะเลขึ้นมาไม่น้อยแล้ว หากคนบนเกาะปลอดภัยคงไม่ส่งพลุสัญญาณมา จะต้องพบเจอปัญหาอะไรเป็นแน่”
“ตอนนี้พวกเราก็ไปไม่ได้ขอรับ”
“เรือที่ฟู่เหล่ากล่าวถึงครั้งก่อน สร้างเสร็จแล้วใช่หรือไม่?”
“ฮูหยิน ท่านล้อเล่นอยู่หรือเจ้าคะ?” ซางจือเอ่ย “เรือลำนั้นเพิ่งสร้างเสร็จ ยังไม่ทันได้ทดสอบเลยนะเจ้าคะ”
“ข้าเชื่อฝีมือฟู่เหล่า นอกจากนี้ข้ายังเห็นภาพต้นแบบของเรือลำนี้แล้ว รายละเอียดหลาย ๆ อย่างก็เป็นข้ากับเจ้าที่หารือกันแล้วปรับปรุงแก้ไข เรือลำนี้ใช้เวลาสร้างถึงครึ่งปี แต่ละส่วนล้วนได้รับการตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีก สถานการณ์บนเกาะไม่แน่ชัด พวกเราไม่อาจรอให้ฝนหยุดตกแล้วค่อยไปดูพวกเขาได้”
ซางจือและฉานอีไม่อาจโน้มน้าวใจนางได้ จึงทำได้เพียงให้คนงานนำเรือออกมาใช้
นอกจากนี้ มู่ซืออวี่ยังจัดเตรียมคนให้ขนของใช้จำเป็นและยาไปด้วยเป็นจำนวนมาก
นางไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงขอความช่วยเหลือ อย่างไรเสียทุกอย่างก็เตรียมการมาพร้อมสรรพแล้ว ถึงแม้บนเกาะนั้นจะมีของใช้จำเป็น แต่ฝนตกหนักเพียงนี้ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าของเหล่านั้นได้รับความเสียหายหรือไม่
ครึ่งชั่วยามต่อมา มู่ซืออวี่ก็ออกเรือไป
คนอื่น ๆ ล้วนแนะนำนางว่าอย่าได้ทำให้ตนเองเสี่ยงถึงเพียงนี้ ทว่านางยังคงไม่ยินยอม ยืนกรานที่จะออกเรือให้ได้
เรือลำใหม่ขับเคลื่อนไปได้อย่างราบรื่น แม้ฝนจะตกหนัก อีกทั้งคลื่นทะเลก็ยังไม่สงบ ทว่าพวกนางก็ออกมาไกลจากชายฝั่งมากขึ้นทีละนิด และเข้าใกล้เกาะมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
“ฮูหยิน เหตุใดท่านต้องมาที่เกาะนี้ด้วยตนเองเล่า?” ผู้ดูแลเดินเข้ามาหา
“ข้าเห็นสัญญาณขอความช่วยเหลือที่พวกท่านส่งมา ที่แท้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ไม่กี่ชั่วยามก่อน มีคนพบเรือลำหนึ่ง บนเรือลำนั้นมีคนหมดสติอยู่หลายคน พวกเราพยายามช่วยชีวิตคนเหล่านั้นแล้ว ทว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไป จำเป็นต้องได้รับการรักษา”
“คนเช่นใด?”
“ข้าน้อยก็มองไม่ออกขอรับ คงจะเป็นพ่อค้ากระมัง อย่างไรเสียแถวนี้ก็มักมีเรือสินค้าผ่านไปผ่านมาอยู่บ่อยครั้ง ทว่า นายท่านที่เป็นหัวหน้าผู้นั้นหน้าตาหล่อเหลาทีเดียว อีกทั้งยังมีกลิ่นอายไม่ธรรมดา จะต้องไม่ใช่พ่อค้าทั่ว ๆ ไปอย่างแน่นอน”
“โชคดีที่พวกเราพาท่านหมอมาด้วย” ซางจือเอ่ย “ฮูหยินช่างถี่ถ้วนจริง ๆ”
“เข้าไปดูคนก่อนค่อยว่ากันเถอะ” มู่ซืออวี่เอ่ย “คนเล่า? พาข้าไปประเดี๋ยวนี้!”
“ขอรับ!”
เกาะทั้งห้าเกาะมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป เอกลักษณ์ของเกาะนี้คือ ภูเขาเขียวแม่น้ำใส ประหนึ่งสรวงสวรรค์แดนเซียน
ตอนที่มู่ซืออวี่ออกแบบบ้านหลังใหญ่ที่สุดบนเกาะแห่งนี้ นางออกแบบโดยใช้สะพานเล็ก ๆ ที่มีสายน้ำไหลผ่าน แสดงให้เห็นถึงความประณีตและสง่างามไปทุกกระเบียด ราวกับว่าที่นี่ไม่ได้อยู่บนโลกนี้ หากแต่แยกออกไปอีกโลกหนึ่ง
“ฮูหยิน คนเจ็บคนอื่น ๆ บ่าวจัดไว้ให้อยู่อีกห้อง แต่หน้าต่างห้องนี้สามารถมองเห็นน้ำตกขนาดใหญ่ด้านนอกนั่นได้ จึงจัดไว้ให้นายท่านที่ดูไม่ธรรมดาผู้นั้น นายท่านผู้นั้นได้รับบาดเจ็บ บาดแผลที่แขนของเขาค่อนข้างสาหัสทีเดียว โชคดีที่เส้นเอ็นข้อมือไม่ได้เสียหาย หากบาดเจ็บไปถึงเส้นเอ็นข้อมือ เกรงว่าจะพิการแล้ว หากนายท่านที่หน้าตาหล่อเหลาเพียงนี้กลายเป็นคนพิการ ครอบครัวของเขาคงปวดใจไม่น้อย…”
“เขายังมีสติอยู่หรือไม่?”
“ไม่ขอรับ ยังไม่ฟื้น พวกเขาล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัสกันหมด ไม่เช่นนั้นข้าน้อยคงไม่กล้าเสี่ยงส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปยังฝั่ง ช่วยชีวิตคนก็เปรียบเสมือนการดับไฟ ชีวิตของคนเหล่านี้แขวนอยู่บนเส้นด้ายแล้ว”
ขณะที่เขาเอ่ย พวกนางก็เห็น ‘นายท่าน’ ที่นอนบาดเจ็บอยู่ตรงนั้นแล้ว
“นายท่าน!” ซางจือตกตะลึง
ทันทีที่เห็นบุรุษที่นอนเจ็บอยู่ตรงนั้น แววตาของมู่ซืออวี่ก็ฉายความตกใจออกมาเช่นกัน
“มีอะไรหรือขอรับ?” ผู้ดูแลยังคงงุนงง “ฮูหยินรู้จักนายท่านผู้นี้หรือขอรับ?”
“เหตุใดจะไม่รู้จักเล่า? ท่านนี้คือสามีฮูหยินของพวกเรา หรือก็คือนายท่านของพวกเรา ใต้เท้าลู่อี้!” ซางจือเอ่ย “ท่านหมอ รีบตรวจอาการให้นายท่านเร็วเข้า!”
ผู้ดูแลนึกไม่ถึงว่าคนบนเรือที่ช่วยเอาไว้ แท้จริงแล้วหนึ่งในนั้นยังบังเอิญเป็นสามีของมู่ซืออวี่ หรือก็คือเจ้านายของพวกเขานั่นเอง
“เช่นนั้นข้าทำความชอบครั้งใหญ่แล้วหรือ?”
“ไม่เพียงแต่เป็นความชอบครั้งใหญ่ แต่ยังเป็นความชอบที่ใหญ่หลวงที่สุด!” ฉานอีเอ่ย “หากนายท่านทางนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว ฮูหยินจะต้องตอบแทนท่านอย่างงามแน่นอน ครั้งนี้ท่านทำได้ดีมาก!”