สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 675 เล่นใหญ่
บทที่ 675 เล่นใหญ่
บทที่ 675 เล่นใหญ่
ฝนยังคงโปรยปรายลงมาติดต่อกันแปดวัน กระทั่งหยุดลงในที่สุด
ท้องฟ้าแจ่มใส พระอาทิตย์สาดแสงลงมา สะพานรุ้งหลากสีปรากฏขึ้นบนฟากฟ้า
มู่ซืออวี่ไม่รีบร้อนออกจากเกาะ ทว่าให้ลู่อี้อยู่ที่เกาะเพื่อพักฟื้นต่อไป
“ฮูหยิน ที่นี่สวยงามยิ่งนัก” ชายหนุ่มผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ข้างกายฮูหยินยังขาดคนหรือไม่? ท่านบอกกับใต้เท้าให้สักหน่อยเถิด ย้ายข้ามาที่นี่เพื่อคุ้มครองท่านเป็นอย่างไร?”
ลู่อี้เหลือบมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง “คิดดูแล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ หากเจ้าขาดแขนขาไป ข้าจะให้ฮูหยินเตรียมที่ทางให้เจ้ามาเกษียณอยู่ที่นี่”
“ข้าน้อยยังคงยินดีติดตามใต้เท้ามากกว่า ติดตามใต้เท้าจึงจะได้ความก้าวหน้าใหญ่หลวง เมื่อครู่ข้าเพียงล้อเล่น ใต้เท้าอย่าได้ถือเป็นจริงจัง”
“เจ้าสุนัขขี้ประจบ” จือเชียนเอ่ยด้วยท่าทีโมโห “เจ้าไม่ได้ชื่นชมทิวทัศน์ที่นี่ แต่ชื่นชอบแม่นางคนงามที่นี่เสียมากกว่า”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
ลูกน้องของลู่อี้พูดคุยหยอกล้อกัน ทั่วทั้งเกาะมีกลิ่นอายของชายชาตรีขึ้นมาเพราะตัวตนของพวกเขา ลูกน้องของลู่อี้ล้วนเป็นชายหนุ่มในช่วงอายุที่กำลังก่อร่างสร้างตัวทั้งสิ้น
“ท่านพ่อ ท่านแม่…” ลู่จื่ออวิ๋นเดินเข้ามาหา
“อวิ๋นเอ๋อร์มาแล้วหรือ” มู่ซืออวี่ถอนมือออกมาจากมือของลู่อี้ “ที่โรงต่อเรือเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ทุกอย่างปกติเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ ไม่ต้องกังวล เพียงแต่มีจดหมายจากเมืองหลวงมา ลูกจึงนำมาที่นี่เจ้าค่ะ”
ลู่อี้รับจดหมายไป แล้วเปิดมันต่อหน้าสองแม่ลูก
“เมืองหลวงเกิดเรื่องแล้วใช่หรือไม่?”
“ข้าปล่อยข่าวว่าข้าเรือแตกตายไปแล้ว คนในเมืองหลวงย่อมข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่ดังคาด”
“จากนี้ท่านวางแผนจะทำอย่างไร?”
“ข้ากำลังรอข่าวจากจงอ๋อง” ลู่อี้เอ่ย “เมื่อถึงเวลา ข้าจึงจะกลับเมืองหลวง”
“เช่นนั้น จนกว่าจะถึงเวลา ท่านก็อยู่พักรักษาตัวที่นี่ ไม่อนุญาตให้ไปที่ใดเป็นอันขาด ท่านคิดว่าตนยังหนุ่มยังแน่นหรือไร?”
“ได้”
ขณะที่ลู่อี้กำลังพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ เรือหลายลำของ ‘นาวีกรุ่นฝัน’ ก็เสร็จแล้ว
ครึ่งปีมานี้ พวกนางยุ่งอยู่กับสิ่งเหล่านี้ทุกวัน บัดนี้ในที่สุดก็เห็นผลลัพธ์บ้างแล้ว
“ไม่ถูก ยังคงไม่ถูกต้อง” มู่ซืออวี่ลองนั่งเรือทุกลำแล้ว ทว่ายังคงรู้สึกว่าขาดบางอย่างไป
“มีอะไรไม่ถูกหรือขอรับ?” คนต่อเรือไม่เข้าใจ
มู่ซืออวี่อธิบายออกมาไม่ได้ เพียงแต่รู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้องอยู่แน่ ๆ
“ขอเวลาข้าลองคิดดูก่อน”
ครึ่งเดือนต่อมา หากมู่ซืออวี่ไม่อยู่ในโรงต่อเรือ นางก็จะใช้สมาธิอยู่ในห้องตำรา
ทว่าจู่ ๆ วันหนึ่งในห้องของนางก็มีคนเพิ่มขึ้นมาอีกคน
นางกำลังจะเรียกผู้อื่น ทว่าคนผู้นั้นจุดเทียนขึ้นก่อน จนเผยใบหน้าปีศาจออกมา
“หร่วนฉี?”
ใบหน้าของหร่วนฉี หากไม่เละเทะไปทั้งหน้า แม้ไม่ได้พบมาหลายปี ทว่าได้เห็นเพียงปราดเดียวย่อมจำได้อย่างไรเสียก็งดงามหยาดเยิ้มปานนั้น ประหนึ่งปีศาจจิ้งจอกก็ไม่ปาน
และยังคงเป็นจิ้งจอกเพศผู้!
นางมองเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เขาสวมบนร่างกาย ดูหรูหราตระการตา แม้เขาจะย่องเข้ามาในพื้นที่ของผู้อื่นอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ ก็ยังสง่างามสะดุดตาเช่นเคย
“ที่นี่ข้ามีผู้คุ้มกันลับ ผู้คุ้มกันลับเหล่านั้นหลับแล้วหรือไร? ไยคนตัวเป็น ๆ ตัวใหญ่เช่นเจ้ามาปรากฏในห้องตำราของข้า กลับไม่มีผู้ใดออกมาขวางแม้แต่คนเดียว”
“ที่นี่ของเจ้ามีผู้คุ้มกันลับทั้งหมดสิบห้าคน” หร่วนฉีเอ่ย “สองคนอยู่หน้าประตู สามคนอยู่นอกห้องตำรา หนึ่งคนอยู่ที่เฉลียงทางเดินซ้าย ยังมี…”
หร่วนฉีบอกตำแหน่งของผู้คุ้มกันลับทั้งหมดสิบห้าคนออกมา
มู่ซืออวี่นั่งลงตรงข้ามเขา “ดังนั้น เจ้าเข้ามาได้อย่างไร?”
“ขณะที่พวกเขากะพริบตา ฟิ้ว…” เขาทำท่าบินให้เห็นภาพว่าตนเองเข้ามาด้วยวิธีใด
มู่ซืออวี่ “…”
นั่นมันความเร็วอะไรกัน?
“เจ้ามาได้อย่างไร?”
“ข้าผ่านมาที่นี่จึงแวะเวียนมาดูสหายเก่า”
“‘ร้านเพียงหนึ่งเดียวของพวกเจ้ามีพี่ชายดูแลกิจการแล้ว เช่นนั้นปกติเจ้าทำอะไร?”
“ท่องเขาลำเนาไพ ท่องไปทุกแห่งหน สองปีมานี้ข้าใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเช่นนี้แล” หร่วนฉีเอนตัวลงตรงนั้น “ที่นี่ของเจ้าไม่มีชาดี ๆ หรือ? ชาชนิดนี้รสชาติไม่ได้เรื่อง”
“ข้าไม่ชอบดื่มชา” มู่ซืออวี่เอ่ย “ปกติชาในห้องล้วนเตรียมไว้รับรองแขก ปากเจ้าเลือกมากนักถึงได้ไม่ชอบมัน ที่นี่ไม่มีชาดีที่เจ้าชอบหรอก”
“ช่างเถิด ขอน้ำก็พอแล้ว” หร่วนฉีดื่มน้ำลงไป “ได้ยินว่าเจ้ากำลังต่อเรือหรือ เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าพบปัญหาเล็กน้อย คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ยังสับสนยิ่งนัก”
“เล่าให้ข้าฟังสิ”
มู่ซืออวี่สั่นศีรษะเบา ๆ “นี่เป็นความลับของกิจการ ไม่อาจแพร่งพรายได้ ต้องขออภัยแล้ว”
“ได้ เช่นนั้นข้าไม่ดูเรือเจ้า ข้าเพียงแค่อยากถามเจ้า เหตุผลแรกเริ่มที่เจ้าต่อเรือนี้คืออะไร?”
“สร้างทัพเรือ” มู่ซืออวี่กล่าว “ทะเลบริเวณนี้เป็นพรของราษฎร ทว่าก็เป็นภัยแฝงเช่นกัน หากอาณาจักรเหลียงเริ่มรุกรานจากที่นี่ พวกเราจะไม่อาจโต้กลับได้”
“นั่นก็ไม่แน่ กล่าวได้เพียงว่าเมืองซานหลินจะเสียหายอย่างหนัก ทว่าทันทีที่ขึ้นฝั่ง ทหารของพวกเราก็ไม่ใช่พวกกินพืชเสียหน่อย” หร่วนฉีกล่าว
มู่ซืออวี่จ้องมองหร่วนฉี “น้ำเสียงของเจ้าในตอนนี้เหมือนแม่ทัพที่ผ่านสนามรบมาโชกโชน ราวกับว่าเจ้ามักจะนำทหารออกไปสู้รบอยู่เป็นนิจอย่างไรอย่างนั้น”
หร่วนฉีเกาจมูกตนเองเบา ๆ “ข้าเพียงแต่มั่นใจในทหารของพวกเราเท่านั้น”
“พวกเราอย่าเพิ่งสนใจว่าพวกเราจะชนะในการรบบนบกเลย อย่างน้อยพวกเราก็ไม่อาจปล่อยให้พวกเขาครอบครองทะเลได้” มู่ซืออวี่เอ่ย “ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่น หากพวกเราไม่มีทัพเรือเป็นของตนเอง ราษฎรของที่นี่ไม่ใช่ว่าจะถูกโจรสลัดรังแกตามอำเภอใจหรือ? เรื่องที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้เจ้าคงเคยได้ยินมาบ้างกระมัง?”
“กล่าวได้ไม่ผิด ดังนั้นหากเจ้าต้องการสร้างทัพเรือก็จำเป็นต้องสร้างเรือรบ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเรือรบคือสิ่งใด? หนึ่งคือแข็งแกร่งทนทาน สองคือรวดเร็วปราดเปรียว สามคืออาวุธที่ติดตั้งบนเรือต้องรุนแรงมากพอ หากสามารถโจมตีฝ่ายตรงข้ามได้ในระยะไกล นั่นจึงจะดีที่สุด”
“ข้าเข้าใจแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ข้าเข้าใจแล้วว่าข้าไม่พอใจสิ่งใด ความแข็งแกร่งทนทานเป็นสิ่งที่ต้องมี ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงความรวดเร็ว และอาวุธที่ติดตั้งที่มีอานุภาพรุนแรงมากพอ ทั้งหมดนี้ตรงตามความต้องการ แต่ข้ายังต้องการคุณสมบัติลับอีกข้อหนึ่ง คุณสมบัติที่ว่านี้คือเรือต้องสามารถเคลื่อนที่อย่างลับ ๆ ไปด้านหลังของศัตรูได้ เช่นนี้จึงจะสามารถโจมตีศัตรูโดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น”
“เรือใหญ่โตเพียงนี้จะลอบลงไปในน้ำโดยไม่ให้ศัตรูพบเห็น เกรงว่าจะไม่ง่าย”
“ดังนั้น ข้าเพียงแค่ใส่เรือลำเล็กไว้ในเรือแต่ละลำก็เพียงพอแล้ว การใช้งานหลักของเรือลำเล็กนี้คือซุ่มโจมตีศัตรู ใช่! ทำเช่นนี้แหละ”
เมื่อลู่อี้ได้ยินลูกน้องรายงานจึงเอ่ยขึ้น “รอคนผู้นั้นออกมา แล้วเชิญเขามาหาข้า”
“คนผู้นั้นอยู่ในห้องตำราหนึ่งชั่วยามแล้วนะขอรับ” ลูกน้องมองลู่อี้ด้วยท่าทีระมัดระวัง
บุรุษผู้หนึ่งปรากฏตัวในห้องตำราของมู่ซืออวี่ ทั้งยังอยู่ตามลำพังกับนางเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม หากเป็นบุรุษคนอื่น คงกระทืบเท้าด้วยความโกรธไปนานแล้ว อย่างไรก็ตามลู่อี้ยังคงนิ่งสงบ เพียงสั่งให้รอชายคนนั้นออกมาแล้วจึงค่อยพาไปโดยที่ไม่ไปรบกวนฮูหยิน
“ไม่รีบร้อน อีกไม่นานเขาก็จะออกมาแล้ว”