สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 679 ราชโองการแต่งตั้งผู้สืบทอดราชบัลลังก์อยู่นี่
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 679 ราชโองการแต่งตั้งผู้สืบทอดราชบัลลังก์อยู่นี่
บทที่ 679 ราชโองการแต่งตั้งผู้สืบทอดราชบัลลังก์อยู่นี่
บทที่ 679 ราชโองการแต่งตั้งผู้สืบทอดราชบัลลังก์อยู่นี่
“เอาละ ไม่ต้องเถียงกันแล้ว” เซวียนอ๋องเอ่ยปากห้าม “เสด็จพ่อเพิ่งสวรรคตได้ไม่นาน จะสร้างความวุ่นวายเพียงเพราะเรื่องราชบัลลังก์นี้ได้อย่างไร? ข้ายินดีมอบบัลลังก์ให้เสด็จพี่”
“ท่านอ๋อง…” ขุนนางกว่าครึ่งคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว “ไม่ได้ ไม่ได้อย่างเด็ดขาด! จงอ๋องผู้นั้นทั้งโหดเหี้ยมเลวร้าย เขาหาใช่โอรสสวรรค์ที่ปราดเปรื่องนะพ่ะย่ะค่ะ!”
“มีใต้เท้าทุกท่านคอยช่วยเหลือ เสด็จพี่จะต้องปรับปรุงข้อบกพร่องที่ขาดไปเหล่านั้นได้อย่างแน่นอน ใต้เท้าทุกท่านไม่ต้องกังวล”
“เคยได้ยินเพียงภิกษุผิดศีล ทว่าไม่เคยได้ยินปีศาจฆ่าคนเก็บดาบเข้าฝัก เรื่องที่จงอ๋องทำหลายปีมานี้ยังคงเด่นชัดในความทรงจำของทุกคน ครั้งเขายังเป็นเพียงองค์ชาย เขาไม่เคยเห็นกฎหมายอยู่ในสายตา หากได้ขึ้นครองบัลลังก์ ฟ้าจะถล่มลงมาหรือไม่?”
“นายของพวกท่านยินดีสละบัลลังก์ให้จงอ๋อง แสดงให้เห็นแล้วว่าบัลลังก์นี้ผู้อาวุโสกว่าควรครอบครอง” ลู่เซวียนเอ่ย
“สิ่งที่ใต้เท้าลู่กล่าวจริงแท้แน่นอน”
“พวกเราควรต้อนรับจงอ๋องกลับเข้าเมืองหลวงจึงจะถูก กองทัพของจงอ๋องใกล้เข้าประตูเมืองมาแล้ว พวกเราหลายคนเพียงนี้ แม้แต่เรื่องการต้อนรับยังละเลย นั่นจะไม่ทำให้ทหารที่ผ่านการสู้รบนองเลือดมาหนาวเหน็บหัวใจหรือ?”
“กล่าวได้ไม่ผิด เวลาเช่นนี้พวกเราควรไปต้อนรับจงอ๋องกลับมายังราชสำนัก!”
“ข้าไม่ต้องให้ทุกท่านไปต้อนรับ ข้ามาเองแล้ว” เสียงกังวานก้องของจงอ๋องดังขึ้นจากหน้าประตูพระตำหนัก ขณะที่เขาเอ่ยปาก เท้าก็ก้าวเข้ามาแล้ว
เขาสวมชุดเกราะ ท่าทางดุดันน่าเกรงขาม แม้แต่พระตำหนักหรูหราโอ่โถงแห่งนี้ยังดูคับแคบลงในชั่วพริบตา
ทุกคนได้กลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ พลันผงะถอยหลังสองสามก้าวด้วยความหวาดกลัว
สีหน้าของขุนนางที่เพิ่งกล่าวว่าจงอ๋องโหดเหี้ยมแปรเปลี่ยนฉับพลัน ประหนึ่งเห็นผีเข้าให้แล้ว
ลู่เซวียนแค่นเสียงกล่าว “ใต้เท้าหวัง เหตุใดไม่เอ่ยอะไรแล้วเล่า? จงอ๋องกลับมาถึงพอดี หากท่านมีอะไรไม่พอใจเขา กล่าวออกมาต่อหน้าเขาจะไม่ดีกว่าหรือ?”
“ทุกสิ่งที่ข้าพูดล้วนว่ากันไปตามเหตุและผล ไม่มีอะไรต้องเอ่ยอีก”
“เช่นนั้นท่านก็ว่ามา!” จงอ๋องจ้องมองใต้เท้าหวัง
ใต้เท้าหวังสั่นไปทั้งตัว “สิ่งที่ควรกล่าวก็ได้กล่าวไปหมดแล้ว ตอนนี้ข้าไม่อยากเอ่ยเรื่องไร้สาระเหล่านี้อีกต่อไป”
“เสด็จพี่กลับมาอย่างปลอดภัย ควรจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับเสด็จพี่ ทว่าเสด็จพ่อเพิ่งสวรรคต ทำให้เสด็จพี่ต้องคับข้องใจแล้ว” เซวียนอ๋องกล่าว
“ไม่คับข้องใจอะไร” จงอ๋องเอ่ย “ข้าตั้งตาชมละครที่ยอดเยี่ยมฉากนี้มานานแล้ว”
“องค์หญิงใหญ่เสด็จ!”
เมื่อคำประกาศเสียงดังฟังชัดของขันทีดังขึ้น องค์หญิงใหญ่ก็เดินเข้าไปในท้องพระโรงโดยมีนางกำนัลคอยประคอง
“คารวะองค์หญิงใหญ่”
“ทุกท่านไม่ต้องมากพิธี” องค์หญิงใหญ่เดินไปด้านหน้าเพื่อเผชิญกับสายตาของขุนนางทุกท่าน “หากว่ากันตามเหตุผลแล้ว ข้าไม่ควรมารบกวนทุกท่านที่ท้องพระโรง ทว่าข้ามีราชโองการพระราชทานราชสมบัติอยู่ในมือ ซึ่งเกี่ยวพันไปถึงตำแหน่งรัชทายาทจึงต้องนำมามอบให้ด้วยตนเอง”
“พระราชทานราชสมบัติ?”
เหล่าขุนนางล้วนตกตะลึง ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“ไม่ผิด ข้ามีราชโองการพระราชทานราชสมบัติของฮ่องเต้พระองค์ก่อนอยู่ในมือ” องค์หญิงใหญ่กวาดตามองรอบ ๆ สายตาของนางหยุดอยู่ที่จงอ๋องและเซวียนอ๋อง “ทุกท่าน รับราชโองการเถิด!”
ทุกคนคุกเข่าลง
“ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้มีพระบัญชา… เซวียนอ๋องเก่งกาจทั้งบุ๋นบู๊ มีความสามารถในการจะเป็นฮ่องเต้ที่ปราดเปรื่อง…”
ฝ่ายจงอ๋องได้ยินดังนี้ ภายในใจพลันรู้สึกเย็นเยียบ
นี่จะสละราชสมบัติให้เซวียนอ๋องหรือ?
เช่นนั้นจงอ๋องจะทำอย่างไร?
แล้วผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อจงอ๋องอย่างพวกเขาจะทำอย่างไร?
เกิดเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจดังขึ้นจากด้านล่าง บางคนยินดี บางคนกังวล บางคนโกรธ และบางคนนึกสงสัย
“องค์หญิงใหญ่ เหตุใดราชโองการพระราชทานราชสมบัติถึงอยู่ในมือท่าน?” ลู่เซวียนเอ่ยถาม
“เหตุใดมันถึงอยู่ในมือข้าน่ะหรือ? ใต้เท้าลู่ คำถามนี้ของท่านทำให้ข้าข้องใจนัก ข้าและฮ่องเต้พระองค์ก่อนเป็นพี่น้องกัน เหตุใดราชโองการพระราชทานราชสมบัตินี้จะมาอยู่ในมือข้าไม่ได้เล่า?”
“มีคนมากมายเพียงนี้ ฮ่องเต้พระองค์ก่อนกลับมอบราชโองการพระราชทานราชสมบัติให้สตรีนางหนึ่ง อีกทั้งหลายปีมานี้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงมาโดยตลอด จะคิดเขียนราชโองการพระราชทานราชสมบัติได้อย่างไร?”
แน่นอนว่าร่างกายของฮ่องเต้พระองค์ก่อนอาจเรียกได้ว่าแข็งแรง เมื่อเขารู้สึกว่าตนเองแข็งแรง ย่อมไม่คิดจะเขียนราชโองการพระราชทานราชสมบัติออกมา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เขาหลีกเลี่ยงเรื่องนี้และไม่คิดจะเอ่ยถึงมันมาโดยตลอด หากกล่าวว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนเขียนราชโองการพระราชทานราชสมบัติเอาไว้ ทั่วทั้งท้องพระโรงมีเพียงกี่คนที่จะเชื่อ ฮ่องเต้ชราทานยาลูกกลอนไปมากมายเพียงนั้น นั่นเพราะเขาไม่อยากตาย และยิ่งไม่อาจยอมรับว่าตนกำลังจะตาย!
“ฮ่องเต้พระองค์ก่อนมีพระชนมพรรษามากแล้ว หากต้องการเขียนราชโองการพระราชทานราชสมบัติเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการโต้เถียงเช่นวันนี้ เหตุใดจะเป็นไปได้”
“ขอพวกเราดูราชโองการพระราชทานราชสมบัติได้หรือไม่?”
“แน่นอน”
เหล่าขุนนางตรวจดูราชโองการพระราชทานราชสมบัตินั้นอย่างละเอียด
“เป็นลายพระหัตถ์ของฮ่องเต้พระองค์ก่อน”
“จริงแท้แน่นอน”
“ใต้เท้าลู่ ท่านไม่มีอะไรจะกล่าวแล้วกระมัง?”
“จะไม่มีอะไรจะกล่าวได้อย่างไร?” ลู่เซวียนเอ่ยด้วยท่าทีนิ่งสงบ “ใต้เท้าทุกท่าน พวกท่านคิดว่าลายพระหัตถ์ของฮ่องเต้พระองค์ก่อนเป็นอย่างไร?”
“แน่นอนว่ายอดเยี่ยมยิ่ง”
ถึงแม้ว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนจะโง่เขลาเบาปัญญา ทว่าเขาได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างเคร่งครัดตั้งแต่ยังเยาว์ ลายพระหัตถ์ย่อมงดงามใช้ได้ทีเดียว
“ฎีกาที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนตรวจทานเมื่อไม่นานมานี้หรืออักษรที่พระองค์เขียนเมื่อไม่นานมานี้อยู่ที่ใด?” ลู่เซวียนเอ่ยถามอีกครั้ง
สายตาของเซวียนอ๋องปรากฏความกังวลขึ้นมาแวบหนึ่ง
พี่น้องสกุลลู่ตั้งใจแน่วแน่ที่จะต่อต้านเขาแล้วจริง ๆ
จงอ๋องมองขันทีที่ปรนนิบัติรับใช้ฮ่องเต้ด้วยสายตาแหลมคม “ใต้เท้าลู่เอ่ยถาม เจ้าไม่กล้าตอบหรือ?”
ชิ้ง! เสียงทหารชักดาบในฝักดังมาจากด้านหลัง
ขันทีผู้นั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ฝ่าบาทไม่ได้ตรวจทานฎีกาหรือทรงพระอักษรมาครึ่งปีแล้ว ครึ่งปีก่อนทรงอารมณ์ดีจึงเขียนบทกลอนมอบให้พระนางเหมยเฟยบทหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
จงอ๋องส่งคนไปนำบทกลอนนั้นจากเหมยเฟย
เมื่อขุนนางทุกคนเห็นเนื้อหาของบทกลอน ใบหน้าของแต่ละคนล้วนแดงก่ำจรดใบหู
นี่มันบทกลอนอะไรกัน ไม่อาจทนอ่านได้แม้แต่น้อย ช่างเสื่อมเสียยิ่งนัก!
ลู่เซวียนอ่านดูโดยไม่แม้แต่จะเปลี่ยนสีหน้า
“นี่คือลายพระหัตถ์ของฮ่องเต้องค์ก่อน เทียบกับราชโองการพระราชทานราชสมบัติแล้วรู้สึกแปลกบ้างหรือไม่? ถ้อยคำในราชโองการพระราชทานราชสมบัติ ทั้งทรงอำนาจและเปี่ยมไปด้วยพลัง หากแต่ลายพระหัตถ์เมื่อครึ่งปีก่อนของฮ่องเต้พระองค์ก่อนกลับบ่งบอกถึงความมีอายุแล้ว ฉบับหนึ่งราวกับเขียนโดยบุรุษวัยสามสิบหรือสี่สิบปี อีกฉบับกลับดูเหมือนเขียนโดยชายอายุเจ็ดสิบแปดสิบปี ถึงแม้ตัวอักษรจะคล้ายกัน ทว่า ‘พลัง’ ในแต่ละคำนั้นแตกต่างกันมาก! ราชโองการพระราชทานราชสมบัติฉบับนี้เป็นของปลอม! ไม่มีทางที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจะเขียนออกมาได้!”
“ใต้เท้าลู่ ท่านหมายความว่าอย่างไร?” องค์หญิงใหญ่ทรงพิโรธแล้ว “หาว่าข้าปลอมแปลงราชโองการพระราชทานราชสมบัติฉบับนี้หรือ?”
“นั่นเป็นเรื่องที่กระหม่อมคงต้องถามองค์หญิงใหญ่แล้ว”
“เหลวไหล! เหตุใดข้าต้องทำเรื่องมากมายเพียงนี้ นี่เกี่ยวข้องอะไรกับข้ากัน?”
“เสด็จพี่ ท่านเองก็ไม่เชื่อว่าราชโองการพระราชทานราชสมบัติเป็นของจริงหรือ?” เซวียนอ๋องเอ่ยถามจงอ๋อง
“แน่นอนว่าข้าไม่เชื่อ” จงอ๋องจ้องมองเซวียนอ๋อง “เด็ก ๆ พาองค์หญิงใหญ่ออกไป!”
“เสด็จพี่ ท่านทำเช่นนี้คิดจะกบฏหรือ?” เซวียนอ๋องยกมือขึ้นส่งสัญญาณ
คนกลุ่มหนึ่งรุดเข้ามาล้อมพระราชวังเอาไว้
ผู้ที่ภักดีกับจงอ๋องวางท่าทีคุมเชิง
“ดูเหมือนว่าเซวียนอ๋องจะเตรียมตัวมาดีนี่!”
“ได้ยินมาว่าเสด็จพี่กลับมาแล้ว ข้าผู้เป็นน้องชายย่อมต้องจริงจัง อย่างไรเสียวิธีจัดการคนของเสด็จพี่ ข้าเองก็กลัวเป็นอย่างยิ่ง!”
“จงอ๋อง ฮ่องเต้พระองค์ก่อนต้องการมอบบัลลังก์ให้เซวียนอ๋อง ท่านกล้าขัดพระราชโองการอย่างนั้นหรือ?” ขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “หากท่านคิดต่อต้าน เช่นนั้นท่านก็จะเป็นกบฏ!”
“หากข้าฆ่าพวกสุนัขแก่ ๆ ที่เอาแต่เห่าทิ้งเสีย แล้วราชโองการพระราชทานราชสมบัตินี้จะมีประโยชน์อะไร?” จงอ๋องเย้ยหยัน “ใต้เท้าหวัง ท่านอยากลิ้มรสดาบของข้าหรือไม่?!”
“ท่าน… ข้าเป็นถึงขุนนางขั้นสอง… หากท่านเอาชีวิตข้าโดยไม่รู้จักแยกแยะถูกผิด ย่อมไม่อาจทำให้ราษฎรเชื่อใจได้ แม้ท่านจะขึ้นครองราชย์ก็ไม่มีผู้ใดยอมรับ”
“ทุกท่านอย่าได้ตื่นตกใจเพียงนั้น!” ลู่อี้เดินเข้ามาในท้องพระโรง “จะเป็นราชโองการพระราชทานราชสมบัติจริงหรือไม่นั้น เพียงแค่หาคนมายืนยันก็พอแล้ว ข้าบังเอิญนำผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบมาด้วย ให้เขามาตอบคำถามแก่ทุกท่านเถิด”
“ใต้เท้าลู่ ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อใด?!” บางคนรู้สึกตกใจขึ้นมาบ้างแล้ว
“ขออภัยใต้เท้าทุกท่าน ข้าเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวง ได้ยินว่าที่นี่เกิดเรื่องขึ้นจึงรีบเปลี่ยนเป็นชุดขุนนางและตรงมาที่นี่ทันที” ลู่อี้และจงอ๋องมองหน้ากัน แววตาเปี่ยมไปด้วยความหมายลึกซึ้ง…