สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 683 สงครามกลางอาณาจักรเฟิ่งหลิน
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 683 สงครามกลางอาณาจักรเฟิ่งหลิน
บทที่ 683 สงครามกลางอาณาจักรเฟิ่งหลิน
บทที่ 683 สงครามกลางอาณาจักรเฟิ่งหลิน
เมื่อฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ สิ่งแรกที่ต้องทำคือคัดตัวสาวงามมาเติมเต็มวังหลัง
เรือนหลังของฟ่านหยวนซีว่างเปล่ามาโดยตลอด แม้กระทั่งลู่อี้ยังสงสัยว่าเขาไม่ได้ชมชอบสตรีใช่หรือไม่ อย่างไรเสีย หลายปีที่ผ่านมานี้ นอกจากทำสงครามแล้ว เขาก็ชอบเพียงสัตว์ดุร้ายเหล่านั้น อีกทั้งยังไม่มีงานอดิเรกอื่นใด
แต่ละจวนล้วนส่งคุณหนูผู้ที่ยังไม่ออกเรือนมา
ปีก่อน ๆ เรื่องนี้ต้องดำเนินไปอย่างเคร่งครัด ดังที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ ขุนนางบุ๋นบู๊เบื้องล่างต้องส่งบุตรสาวอายุเกินสิบสี่ปีมายังวังหลังให้ ‘ผู้ครองแผ่นดิน’ ได้เลือก ทว่าฟ่านหยวนซีกลับไม่ได้บังคับ หากต้องการส่งก็ส่งมา ไม่ต้องการส่งก็ไม่ต้องส่งมา
ไม่อย่างนั้นจะเป็นเช่นไรเล่า?
หากเขาออกราชโองการบังคับเหมือนกับฮ่องเต้องค์ก่อน ๆ ผู้แรกที่จะบั่นศีรษะเขาเกรงว่าจะเป็นลู่อี้ อย่างไรเสีย ครอบครัวของใต้เท้าลู่ก็มีบุตรสาวที่งดงามราวดอกไม้ หากนางถูกส่งเข้าวังมาคัดตัวจะไม่ผ่านการคัดเลือกเชียวหรือ?
แต่หากไม่ผ่านการคัดเลือก นั่นไม่เท่ากับบอกว่าบุตรสาวแก้วตาดวงใจของเขาด้อยกว่าสตรีอื่นหรือ?
ต่อให้นางผ่านการคัดเลือกจริง ๆ ฟ่านหยวนซีก็ไม่ได้มีรสนิยมที่จะนำเด็กหญิงผู้หนึ่งซึ่งเห็นมาตั้งแต่ยังเล็กจนเติบใหญ่มาเป็นพระสนม ให้นางเป็นพระธิดาบุญธรรมของเขาก็ว่าไปอย่าง นอกจากนี้ ลู่อี้ยังต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานให้เขาอีกนาน
หลังจากออกราชโองการเรื่องคัดตัวเข้าวังหลังแล้ว ขุนนางบุ๋นบู๊ที่กระตือรือร้นที่จะส่งบุตรสาวของตนเข้าวังมีไม่น้อย ถึงแม้ว่าแม่นางน้อยเหล่านั้นจะอายุไม่มากไม่น้อยไปกว่าลู่จื่ออวิ๋นก็ตามที
ตำแหน่งฮองเฮายังคงว่างอยู่ ผู้ใดล้วนอยากรู้ว่าสกุลใดจะได้เป็นฮองเฮาในท้ายที่สุด เดิมทีพวกเขาล้วนคาดเดาว่าสกุลลู่อี้ ทว่าลู่อี้ไม่แม้แต่จะยินดีส่งบุตรสาวตนเข้าวังเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นย่อมไม่มีโอกาสแล้ว
เมื่อสกุลลู่ไม่มีโอกาส สกุลอื่นย่อมมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น หากลู่อี้คิดจะส่งบุตรสาวของตนเข้าวัง ขุนนางคนอื่น ๆ ย่อมต้องคิดให้ถี่ถ้วน อย่างไรเสียสกุลลู่ก็กำลังรุ่งเรืองดุจพระอาทิตย์กลางท้องฟ้า การเป็นปฏิปักษ์ต่อพวกเขาย่อมไม่ใช่สิ่งที่คนฉลาดพึงกระทำ
“สหายหวัง ท่านไม่ได้ทำการค้าอยู่ที่อาณาจักรเฟิ่งหลินหรือ? เหตุใดกลับมาแล้วเล่า?”
ในร้านขายเครื่องประดับ ชายผู้หนึ่งพาสตรีมาซื้อเครื่องประดับจึงพบสหายเก่าที่พาสตรีมาซื้อของเช่นกัน ทั้งสองคนปล่อยให้เหล่าสตรีเลือกเครื่องประดับ ขณะที่พวกเขาคุยกันอยู่ข้าง ๆ
“อย่าเอ่ยถึงเลย อาณาจักรเฟิ่งหลินไม่ปลอดภัยแล้ว หากข้าอยู่ที่นั่นนานกว่านี้ เกรงว่าชีวิตน้อย ๆ นี้จะรักษาเอาไว้ไม่ได้”
“เหตุใดกล่าวเช่นนั้นเล่า? ข้าจำได้ว่ากิจการของท่านออกจะใหญ่โต อยู่อาณาจักรเฟิ่งหลินการค้าคงไม่แย่กระมัง”
“นับว่าประสบความสำเร็จอยู่บ้างจริง ๆ เพียงแต่อาณาจักรเฟิ่งหลินระยะนี้มีความขัดแย้งภายใน หากข้าไม่กลับมา ข้าเกรงว่าจะไม่ได้กลับมาแล้วน่ะสิ”
“องค์รัชทายาทอาณาจักรเฟิ่งหลินเพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ไม่ใช่หรือ?”
“ฮ่องเต้น้อยพระองค์นั้นเกรงว่าจะนั่งอยู่ได้ไม่นานนัก อำนาจทั้งหมดของเขาถูกขุนนางชั่วลิดรอนไปหมดแล้ว ในทางกลับกันจิ่นอ๋องผู้นั้นเพิ่งเข้ามาในราชสำนักได้ไม่นานก็ช่วยขุนนางผู้ภักดีที่ถูกขุนนางชั่วยึดอำนาจไว้ไม่น้อย ข้าสังหรณ์ว่า อาณาจักรเฟิ่งหลินกำลังจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่”
ลู่จื่ออวิ๋นฟังบทสนทนาระหว่างทั้งสองคน แล้วก็จมอยู่ในห้วงความคิดตนเองพักหนึ่ง
ติงเซียงหยิบปิ่นปักผมขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “คุณหนู อัญมณีบนปิ่นนี้สวยมากเลยนะเจ้าคะ”
“แม่นางตาถึงยิ่ง ทับทิมนี้สีสันสวยงาม อีกทั้งยังเข้ากับรูปโฉมของคุณหนูเป็นอย่างมาก!”
“ข้าเอาอันนี้” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ห่อเถิด”
“ได้เลยขอรับ!”
นายบ่าวออกมาจากร้านขายเครื่องประดับแล้ว
ติงเซียงเอ่ยว่า “คุณหนู ท่านกำลังคิดถึงเรื่องอาณาจักรเฟิ่งหลินใช่หรือไม่?”
“ข้ากำลังคิดว่า อาณาจักรเฟิ่งหลินเกิดสงครามกลางเมือง ผู้ที่ทุกข์ร้อนก็คือราษฎร” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “จริงสิ ข้าไม่ได้ไปที่หอซือเป่านานแล้ว ไปซื้อของขวัญเพิ่ม แล้วกลับไปเยี่ยมท่านอาจารย์กับผู้ดูแลเถอะ”
ณ วังหลวง ฟ่านหยวนซีมองดูหนังสือในมือแล้วโยนมันให้ลู่อี้ที่อยู่ตรงกันข้าม
ลู่อี้รับไว้ได้ทันจึงเปิดมันออกดู
“อาณาจักรเฟิ่งหลินคิดจะให้องค์หญิงแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์?”
“ข้าไม่คิดว่าสิ่งแรกที่ต้องจัดการหลังจากขึ้นครองราชย์จะไม่ใช่ฎีกาเร่งด่วน หากแต่ต้องจัดหาสตรีให้ตนเอง อีกทั้งยังต้องหามากกว่าหนึ่งเสียด้วย นั่นเป็นหนังสือของอาณาจักรเฟิ่งหลิน ที่ข้ายังมีหนังสือของอาณาจักรเหลียงอีก”
“อาณาจักรเหลียงก็ต้องการให้องค์หญิงแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เช่นกันหรือ?”
“ไม่ผิด”
“วังหลังของอาณาจักรเหลียงมีหญิงงามไม่ขาด มีเหล่าองค์ชายมากกว่ายี่สิบคน เหล่าองค์หญิงมากกว่าสามสิบคน การให้ธิดาองค์หนึ่งแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ออกไปไม่นับเป็นอะไร ทว่าเชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรเฟิ่งหลินนั้นมีน้อยยิ่ง พวกเขาตัดใจมอบองค์หญิงออกมาจริงหรือ? ในความคิดข้า คงเพียงแค่เลือกสตรีผู้หนึ่งจากเชื้อพระวงศ์มาขายผ้าเอาหน้ารอด ไม่ถูกสิ ไม่ใช่ขายผ้าเอาหน้ารอด แต่เป็นการพยายามสร้างสัมพันธ์กับฝ่าบาทเท่านั้น”
“แม้นจะเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ไม่อาจบ่ายเบี่ยงพวกเขาได้ ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดสงครามอีกครั้ง ข้านั้นอย่างไรก็ได้ เพียงแต่คิดว่ายังไม่จำเป็นต้องสู้รบ”
“ดูเหมือนตำแหน่งฮองเฮานี้ต้องถูกเติมเต็มแล้ว”
“ตำแหน่งฮองเฮานี้ทำได้เพียงมอบให้อาณาจักรอื่นเท่านั้น หากไม่ใช่สตรีจากอาณาจักรเหลียงก็ต้องเป็นสตรีจากอาณาจักรเฟิ่งหลิน ข้าคิดว่ามอบให้สตรีจากอาณาจักรเฟิ่งหลินจะเหมาะสมกว่า”
“ค่อย ๆ ตัดสินใจไปตามสถานการณ์เถิด”
“ทำได้เพียงเช่นนี้แล้ว”
“ระยะนี้เซวียนอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เซวียนหวางเฟยเพิ่งเสียชีวิต ทุกวันเขาเอาแต่เศร้าโศกอยู่ในจวน ไม่แม้กระทั่งก้าวออกจากประตูเสียด้วยซ้ำ”
“เหอะ!” ฟ่านหยวนซีหัวเราะเบา ๆ
ลู่อี้ยิ้มบาง ๆ “อย่าได้ดูถูกเขา อันที่จริงเขาเป็นนักแสดงที่ดีทีเดียว มีคนตายไปหลายคนเพียงนี้ มีเพียงเขาที่เป็นตัวละครหลักหากแต่ยังรอดมาได้อย่างไร้รอยขีดข่วน นับเป็นจิ้งจอกน้อยเจ้าเล่ห์ผู้หนึ่ง”
“ปกติข้าชอบจับสุนัขจิ้งจอกมากที่สุด” ฟ่านหยวนซีเอ่ย “เรื่องเขามอบให้เจ้าดูแลแล้ว”
“หากกระหม่อมคาดเดาไม่ผิด เขาจะยื่นฎีกาขอไปถู่ปัว*[1]”
“ข้ามีเขาเป็นเพียงน้องชายผู้เดียวจะปล่อยให้เขาไปสถานที่ที่แม้แต่นกยังไม่กล้าขี้ได้อย่างไร? ย่อมต้องรั้งเขาไว้ในเมืองหลวงอยู่แล้ว”
อยากจะไปกลายร่างเป็นปีศาจที่ถู่ปัว ฝันหวานอะไรอยู่?
“ฝ่าบาท ฉู่ไท่เฟยขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีคนสนิทเข้ามารายงาน
ลู่อี้และฟ่านหยวนซีมองหน้ากัน
ฉู่ไท่เฟย พระมารดาของเซวียนอ๋อง
ในพระราชวังแห่งนี้ ฮ่องเต้ชราทิ้งสตรีผู้ให้กำเนิดโอรสธิดาไว้เบื้องหลังหลายคน สตรีเหล่านี้ล้วนเป็นไท่เฟย
ตอนนี้วังหลังยังว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดคอยจัดการพวกนาง ฟ่านหย่วนซีจึงมอบหน้าที่นี้ให้กับกรมวังจัดการโดยตรง
“เชิญนางเข้ามา”
ลู่อี้ลุกขึ้นเอ่ย “เช่นนั้นกระหม่อมขอตัว”
เมื่อลู่อี้ออกไปก็บังเอิญเจอฉู่ไท่เฟยเข้าพอดี
ฉู่ไท่เฟยเห็นลู่อี้จึงยิ้มบาง ๆ “ท่านอัครเสนาบดีลู่ ดึกเพียงนี้แล้วท่านยังอยู่ในวัง ดูเหมือนระหว่างท่านกับฝ่าบาทจะแตกต่างออกไปจากผู้อื่นจริง ๆ”
“ฝ่าบาทเพิ่งขึ้นครองราชย์ เรื่องที่ต้องจัดการมากมายเกินไปจึงให้กระหม่อมหารือเรื่องราชการอยู่ที่นี่”
“ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าฝ่าบาทเชื่อใจท่านอัครเสนาบดีลู่ ไม่เพียงแต่เรื่องในราชสำนัก แม้กระทั่งเรื่องคัดตัวพระสนมวังหลังยังขอความเห็นจากท่าน? อันที่จริงเหตุใดต้องกังวลมากมายเพียงนี้กัน? เพียงแค่ส่งบุตรสาวแก้วตาดวงใจของท่านเข้าวังมาเป็นฮองเฮา นั่นไม่ยิ่งปลดเปลื้องความกังวลให้ฝ่าบาทมากกว่าหรือ?”
“พระนางไท่เฟยโปรดระวังวาจา บุตรสาวกระหม่อมไม่มีวาสนานี้”
“ไยต้องถ่อมตัวด้วยเล่า? หากท่านไม่กล้าเอ่ย ข้าเอ่ยแทนเป็นอย่างไร”
“พระนางไท่เฟยสุขสบายอุราเพียงนี้ ไม่สู้กังวลเรื่องภรรยาที่จะแต่งใหม่ของเซวียนอ๋องเล่า”
“ท่านอัครเสนาบดีลู่ไยต้องแสร้งโง่เขลา? ผู้อื่นไม่รู้ว่าบุตรชายของข้าคิดอะไร ท่านอัครเสนาบดีลู่คงกระจ่างกระมัง! หากท่านอัครเสนาบดีลู่ยินดีเติมเต็มความปรารถนาของเขา ข้าคงไม่ต้องกังวลเพียงนี้ ท้ายที่สุดแล้วคุณหนูสกุลลู่ผู้นั้นช่างเอาแต่ใจเสียจริง เซวียนอ๋องไม่เข้าตา แม้แต่ฝ่าบาทก็ไม่เข้าตาหรือ? เช่นนั้นคุณหนูสกุลลู่ของพวกท่านคู่ควรกับเทพเซียนสวรรค์ที่ลงมาโปรดโลกมนุษย์หรือไร?”
“ฝ่าบาทกำลังรอพระนางไท่เฟยอยู่ข้างใน หากไท่เฟยไม่ต้องการเข้าพบฝ่าบาท ไม่สู้ไปพูดที่อื่นเล่า? กระหม่อมยินดีที่จะพูดคุยกับพระนางไท่เฟยเรื่องการแต่งงานของบุตรสาวกระหม่อม”
สีหน้าของไท่เฟยไม่น่าดูชมขึ้นมา “ข้ามีเรื่องกับฝ่าบาท วันหลังค่อยพูดคุยกับท่านอัครเสนาบดีลู่อีกครั้ง”
สิ้นคำนางก็เดินเข้าไปข้างในทันที
[1] ถู่ปัว หมายถึง ทิเบต