สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 690 อาการสาหัส
บทที่ 690 อาการสาหัส
บทที่ 690 อาการสาหัส
“อมิตตาพุทธ” ท่านเจ้าอาวาสเดินเข้ามาหาแล้วเอ่ยว่า “ท่านทานบดีทั้งหลาย ให้อภัยได้ก็ควรให้อภัย โปรดจัดการผู้ที่พลั้งพลาดไปอย่างเหมาะสมด้วยเถิด”
มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น “พุทธว่ากันตามเหตุและผล คนเหล่านี้ทำกรรมชั่ว ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องรับผลแห่งการทำชั่ว พระโพธิสัตว์โอนอ่อนผ่อนผันใจกว้าง ทว่าความใจกว้างของเขามีขีดจำกัด ไม่ใช่จะหลับหูหลับตายอม ๆ ไปถึงขั้นไม่สนถูกผิด สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น”
“ท่านทานบดีกล่าวได้ถูกต้อง เพียงแต่หนทางในการช่วยผู้คนนั้นมีมากมาย การฆ่าเป็นวิธีสุดท้าย…”
“ท่านเจ้าอาวาส คนเหล่านี้เมื่อครู่ก็จะฆ่าพวกท่าน พวกท่านยังช่วยพูดแทนให้ ท่านทำเช่นนี้จะทำให้เราคิดว่าพวกท่านเป็นพวกเดียวกันเอาได้”
“ช่างเถิด ช่างเถิด อาตมาเป็นผู้ออกบวช ไม่สนใจเรื่องทางโลก เมื่อครู่อาตมาพูดมากเกินไปเอง”
มู่ซืออวี่นั่งอยู่ในรถม้า มองวัดเยวี่ยหยางตรงหน้า
“เจ้าอาวาสท่านนี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก เมื่อครู่นี้เขายังชักแม่น้ำทั้งห้ามาคุยกับข้าอยู่เลย พอได้ยินว่าข้าสงสัยว่าเขาจะเป็นพวกเดียวกันกลับปฏิเสธความเกี่ยวข้องทันที พระอาจารย์เช่นนี้จะตรัสรู้ได้จริง ๆ หรือ? พุทธอะไรกัน?”
“พุทธอยู่ในใจ” ฉีเซียวเอ่ย “เอาละ ฆาตกรวิปริตก็จับได้แล้ว พวกเรากลับเข้าเมืองกันเถอะ”
รถม้าเคลื่อนไปเรื่อย ๆ
ภูเขาเยวี่ยหยางนั้นสูงชัน ยามลงจากภูเขาม้าจึงค่อนข้างหงุดหงิดงุ่นง่าน อีกทั้งมันยังเร่งความเร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ใต้เท้า มีบางอย่างผิดปกติขอรับ!” ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ขับรถม้าเอ่ยขึ้น “ม้านี้ดูเหมือนจะเสียการควบคุม!”
เดิมทีฉีเซียวกำลังขี่ม้า
เมื่อได้ยินผู้ใต้บังคับบัญชากล่าวเช่นนั้น เขาพลันกระโดดขึ้นไปบนรถม้า ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนลงไป แล้วบังคับรถม้าด้วยตนเอง
เขาพันสายบังเหียนม้ารอบมือตนเองหลายครั้ง จับไว้อย่างแม่นมั่น
ม้าตัวนั้นเตะเท้าของมันออกไป ก่อนจะร้องลั่นอย่างคลุ้มคลั่ง
จู่ ๆ ทันใดนั้นมันก็ทะยานออกไป!
“ใต้เท้า…” ผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นเช่นนี้ก็เริ่มร้อนใจแล้ว
“รีบหยุดม้าเร็วเข้า”
“เชือกตะขอเล่า? เร็ว!…”
ผู้ใต้บังคับบัญชาคนแล้วคนเล่าเหวี่ยงเชือกตะขอของพวกเขาออกไปให้ตะขอในมือไปเกี่ยวกับรถม้าข้างหน้า
ม้าตัวนั้นร้องราวกับว่ามันเสียสติไปแล้ว
หร่วนฉีเห็นเช่นนี้จึงเอ่ยกับมู่ซืออวี่ที่อยู่ข้างใน “รีบออกมาเร็วเข้า รถม้าคันนี้รั้งไว้ไม่อยู่แล้ว!”
มู่ซืออวี่รู้สึกนานแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพียงแต่ในรถโงนเงนเกินไป นางลุกขึ้นแล้วก็ล้มลงหลายครั้งหลายครา ดังนั้นหลังจากล้มลุกคลุกคลานอยู่เป็นนานสองนานก็ยังออกมาจากรถม้าไม่สำเร็จ
ฉีเซียวเอื้อมไปคว้ามือนาง ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
ข้างหน้าเป็นหน้าผา!!!
ฉีเซียวดึงตัวนางออกมา แล้วกระโดดออกจากรถม้าไปพร้อมกัน
โครม!
รถม้าตกลงไปในหน้าผา
ฉีเซียวกอดไหล่มู่ซืออวี่เอาไว้แน่น อีกมือคว้าจับกิ่งไม้ปลายหน้าผา
แครก! กิ่งไม้นั้นไม่อาจรับน้ำหนักของคนสองคนได้
“ใต้เท้า… ใต้เท้า…”
ฉีเซียวขมวดคิ้วมุ่น
เสียงของผู้ใต้บังคับบัญชาเขาใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ อีกไม่นานคงมาถึงแล้ว
อย่างไรก็ตาม เขาคงทนได้ไม่นานถึงเพียงนั้น
แครก! กิ่งไม้ส่งเสียงบ่งบอกว่ามันใกล้จะหักออกจากกันเต็มทน
ฉีเซียวมองมู่ซืออวี่แล้วเอ่ยว่า “ข้าจะโยนท่านขึ้นไป ท่านเห็นตรงนั้นหรือไม่ ขอเพียงท่านอยู่นิ่ง ๆ ท่านก็สามารถทนอยู่ที่นั่นจนกว่าพวกเขาจะมาถึงได้”
“แล้วท่านเล่า?!”
“ข้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์” ฉีเซียวเอ่ย “ถึงแม้ข้าจะตกลงไปก็ไม่เกิดอะไรขึ้น แต่ท่านไม่เหมือนกัน ท่านเป็นสตรีอ่อนแอที่ไม่มีแม้แต่แรงฆ่าไก่ หากท่านตกลงไป ไม่ตายก็ต้องพิการ”
“ท่านปล่อยข้าเถิด!”
“หากข้าปล่อยท่าน อัครมหาเสนาบดีลู่จะไม่ฆ่าข้าหรือ? เมื่อเทียบกับการถูกเขาเกลียดแล้ว ไม่สู้ตกลงไปตรงนี้เลยเสียดีกว่า”
“ท่านทำเพื่อข้ามามากแล้ว เขาไม่ตำหนิท่านแน่นอน”
“ไม่ต้องพูดแล้ว…” สีหน้าของฉีเซียวไม่สู้ดีนัก
เขาใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักมู่ซืออวี่ไปที่หินฝั่งตรงข้าม
ร่างกายของมู่ซืออวี่ลอยออกไป
นางหันกลับไปมองทางฉีเซียว
ร่างกายของฉีเซียวหล่นลงไปราวกับนกนางแอ่นโบยบิน มองไปแล้วอาจดูเหมือนคล่องแคล่วปราดเปรียว ทว่า ‘นกนางแอ่นโบยบิน’ นั้นกำลังร่วงหล่นลงไปอย่างแรง ราวกับปีกของมันได้รับบาดเจ็บ ไม่อาจกางออกได้
“ใต้เท้าฉี!…”
“ใต้เท้า!…”
ผู้ใต้บังคับบัญชามาถึงทันเห็นฉีเซียวที่กำลังตกลงไปในหน้าผาพอดี
มู่ซืออวี่เกาะอยู่กับต้นไม้บนผนังหิน รอคอยให้คนของหน่วยลับมาช่วยเหลือ
เมื่อปีนขึ้นมาจากหน้าผาแล้ว นางก็ชะเง้อมองลงไปข้างล่าง แล้วเอ่ยว่า “รีบลงไปดูกันเถอะ!”
หลังจากการค้นหาสามชั่วยาม ในที่สุดคนของหน่วยลับก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความดีใจจากข้างล่าง “หาพบแล้ว ใต้เท้าอยู่ตรงนี้ รีบส่งใต้เท้าไปโรงหมอเร็วเข้า!”
โรงหมอ
ท่านหมอตรวจสอบอาการบาดเจ็บของฉีเซียว เขาขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยว่า “บาดแผลสาหัสเกินไป กระดูกล้วนหัก สภาพเช่นนี้ไม่ตายก็ไม่เลวแล้ว หากคิดจะกลับไปเป็นอย่างเดิมเกรงว่า…”
“ท่านหมอ เขาเป็นผู้บัญชาการทหาร หากไม่อาจกลับไปเป็นอย่างเมื่อก่อน เกรงว่าอนาคตของเขาคงพังแล้ว ท่านคิดหาวิธีดูเถิด เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา ไม่ว่ายาจะแพงเพียงใด ข้าก็ยอมรับได้” มู่ซืออวี่เอ่ย
“เถ้าแก่เนี้ยมู่ ท่านเป็นผู้โด่งดังของเมืองซานหลินเรา ผู้ใดไม่รู้เรื่องสถานะทางการเงินของท่านบ้าง? หากข้าสามารถให้ความช่วยเหลือเทพแห่งความมั่งอย่างท่านได้ ให้ข้าทำสิ่งใดล้วนได้ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม ข้ามีความสามารถเพียงเท่านี้ ในเมื่อใต้เท้าท่านนี้เป็นผู้บัญชาการทหาร เช่นนั้นก็กลับไปให้หมอหลวงตรวจดูเถอะ! หมอหลวงเป็นหมอที่ดีที่สุดในใต้หล้าแล้ว บางทีพวกเขาอาจหาวิธีรักษาได้”
“เขาบาดเจ็บเพียงนี้ หากรอส่งเขากลับไปเมืองหลวง ไม่รู้ว่าเขาจะทนได้หรือไม่”
“ฮูหยิน ข้าน้อยส่งข่าวไปทางเมืองหลวงแล้ว ให้อัครมหาเสนาบดีลู่ส่งหมอหลวงมาให้พวกเราด้วยเถิด!”
“หากส่งข่าวไป ต้องใช้เวลาสักกี่วันจึงจะถึงทางเมืองหลวง?”
“หากเพียงแค่ส่งข่าว เพียงวันเดียวก็ถึงขอรับ”
“เช่นนั้นก็ส่งข่าวไปเถอะ!”
มู่ซืออวี่นั่งอยู่ข้างเตียง มองสภาพที่เต็มไปด้วยบาดแผลของฉีเซียว
“หน้ากากของเขา…”
หน้ากากไม่อยู่แล้ว ใบหน้าของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาปกคลุมด้วยเส้นผม บาดแผลเหล่านั้นยังมีเลือดไหลซึมออกมา
นางลุกขึ้นยืน ปัดผมของเขาออกเบา ๆ
“ซี้ด…” ฉีเซียวร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“ขออภัย…” มู่ซืออวี่รีบปล่อยมืออย่างรวดเร็ว
ทันทีที่นางปล่อยมือนั้น นางราวกับเห็นอะไรบางอย่างจึงมองฉีเซียวด้วยความว่างเปล่า
“ฮูหยิน ให้ข้าดูแลใต้เท้าพวกเราเองเถอะ!” หนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเอ่ยขึ้น
“ได้” มู่ซืออวี่ถอยหลังไปสองสามก้าว “ทำความสะอาดบาดแผลเสียก่อน ค่อยให้ท่านหมอทายาให้ ท่านหมอ ท่านไม่รู้วิธีจัดกระดูก แต่ใบหน้านี้ท่านคงรักษาได้กระมัง?”
ท่านหมอรีบเอ่ย “แน่นอน ถึงแม้บาดแผลบนใบหน้าจะดูน่ากลัว ทว่าจริง ๆ แล้วล้วนเป็นรอยถลอกผิวเผิน ขอเพียงดูแลให้ดีและทายาลบรอยแผลสูตรลับของข้า ใบหน้าของเขาจะต้องกลับสู่สภาพเดิมไม่เหลือแม้แต่รอยขีดข่วน นับประสาอะไรกับจะเป็นแผลเป็น”
“หากท่านมั่นใจเรื่องบาดแผลบนร่างกายของเขา เช่นนั้นพวกเราคงไม่ต้องกังวลมากแล้ว ก่อนที่หมอหลวงจากเมืองหลวงจะมาถึง ท่านยังต้องดูแลบาดแผลของใต้เท้าฉี แม้ท่านจะรักษาร่างกายของเขาไม่ได้ ขอเพียงช่วยไม่ให้เขาอาการย่ำแย่ลงก็พอ”
“เรื่องนี้ข้าทำได้!” ท่านหมอเอ่ย “เพียงแต่ฮูหยิน ยังมีถ้อยคำไม่เสนาะหูที่ต้องกล่าว เขาได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนี้ ค่ำคืนนี้คงยากยิ่งแล้ว หากเขามีไข้กลางดึกและไม่อาจผ่านมันไปได้ ไม่ต้องรอให้หมอหลวงจากเมืองหลวงมาถึง ท่านพญายมคงมารับตัวเขาไปรายงานตัวที่ปรโลกก่อนแล้ว”
“ข้าเชื่อมั่นในใต้เท้าฉี เขาไม่ใช่คนอายุสั้นถึงเพียงนั้น คนเช่นเขาผ่านลมผ่านฝนมาหลายปี รอดพ้นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน เขาจะมาจบชีวิตลงที่นี่ได้อย่างไร?!”