สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 694 ไม่พบกันนาน เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 694 ไม่พบกันนาน เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์
บทที่ 694 ไม่พบกันนาน เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์
บทที่ 694 ไม่พบกันนาน เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์
“กระโจมมีหลายแบบ พวกเราสามารถใช้กระโจมที่ทำจากวัสดุคุณภาพดีและมีคุณสมบัติในการกักเก็บความอบอุ่นได้” ลู่จื่ออวิ๋นเคาะลงบนภาพแบบที่แขวนอยู่ตรงผนัง “ท่านแม่ข้าสามารถออกแบบแผ่นแปะทำความร้อนได้ เราก็สามารถออกแบบเตาสร้างความอบอุ่นที่ไม่ปล่อยควันได้เช่นกัน หากไม่ปล่อยควัน ย่อมไม่ทำให้เกิดไฟโดยไม่จำเป็น อีกทั้งยังสามารถรักษาอุณหภูมิในกระโจมให้อบอุ่นได้ด้วย”
“ความคิดของคุณหนูยอดเยี่ยมยิ่ง เช่นนั้นเรื่องนี้ต้องถามฮูหยินหรือไม่?”
“ท่านแม่ข้าหมู่นี้ยุ่งเป็นอย่างมาก เรื่องที่นี่ล้วนมอบให้ข้าจัดการ” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ส่วนวัสดุที่จะใช้ในการทำกระโจม ข้าจะรับหน้าที่หาเอง นอกจากนี้แล้ว ด้านบนของกระโจมควรโปร่งใส จึงจะสามารถนอนดูหิมะ ทั้งยังได้ดื่มด่ำกับภาพเกล็ดหิมะโปรยปรายลงบนดอกเหมยอันงดงามได้ด้วย”
ผู้ดูแลหลายคนออกไปจากห้องตำรา
“คุณหนูใหญ่ยังเยาว์เกินไป วัสดุเช่นนั้นจะหาได้ง่าย ๆ อย่างไรกัน?”
“คุณหนูใหญ่คุ้นเคยกับผ้ามาก บางทีนางอาจหาเจอก็เป็นได้”
“ถึงแม้จะหาพบก็ยังไม่ต้องกล่าวถึงต้นทุนในการทำที่สูงลิ่ว แขกผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นจะยอมจ่ายเงินซื้อมันหรือไม่ก็ยังไม่รู้! มีเพียงคนโง่เขลาเท่านั้นที่จะตั้งกระโจมบนภูเขา ดื่มด่ำกับหิมะในวันที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้!”
“โง่หรือ? ข้ากลับรู้สึกว่ามันน่าสนใจทีเดียว” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขา
ผู้ดูแลกำลังนินทาเจ้านายลับหลัง อีกทั้งยังถูกชายผู้ที่ดูแล้วไม่ควรล่วงเกินผ่านมาได้ยินเข้า จึงไม่กล้าเอ่ยอะไรให้มากความอีก พวกเขารีบออกจากที่นั่นไปอย่างรวดเร็ว
ลู่จื่ออวิ๋นเดินออกมา
เมื่อเห็นบุรุษที่ยืนอยู่ตรงข้าม แววตาของนางก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
นางกะพริบตาปริบ ๆ ตะลึงงันไปชั่วขณะก่อนจะพบว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงข้ามนางเป็นเซี่ยเฉิงจิ่นจริง ๆ
เหตุใดเขาจึงมาอยู่ที่นี่?
“ไม่พบกันนานนะ เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์”
ใบหน้าของลู่จื่ออวิ๋นแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงชื่อเรียกธรรมดา ๆ ชื่อหนึ่ง พ่อแม่และพี่ชายของนางล้วนเรียกนางเช่นนี้ เมื่อก่อนนางไม่เคยคิดว่ามีอะไรแปลก เหตุใดเมื่อออกมาจากปากเขา นางจึงรู้สึกแปลก ๆ ได้เล่า?
“เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่?”
“ข้าเป็นทูตของอาณาจักรเฟิ่งหลิน”
“อ้อ” ลู่จื่ออวิ๋นตอบรับคำหนึ่ง แล้วจึงตระหนักบางอย่างขึ้นมาได้ “ไม่ถูกสิ ในฐานะทูตของอาณาจักรเฟิ่งหลิน หากท่านมาเมืองหลวง เหตุใดไม่มีผู้อื่นเอ่ยถึงเลยเล่า?”
“เพราะข้าเพิ่งมาถึง”
“ท่านเพิ่งมา…” ลู่จื่ออวิ๋นจ้องมองเขา “ท่านเพิ่งมาถึง แล้วจะมาทำอะไรที่นี่? ท่านควรจะเข้าวังหลวงไปพบฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของอาณาจักรเราไม่ใช่หรือ?”
“ไม่รีบร้อน ข้าเพียงแค่อยากดูว่าห้องที่ข้าจองไว้ที่นี่มีผู้อื่นเข้าพักหรือไม่ โชคดีที่เรือนพักผ่อนบนภูเขาของสกุลลู่เป็นกิจการที่ยุติธรรมที่สุด ไม่เคยมีผู้ใดเข้าพักในห้องข้า”
“หากท่านเห็นแล้วก็สามารถไปที่วังได้แล้วกระมัง”
“ไม่รีบ” สายตาของเซี่ยเฉิงจิ่นเหม่อมองออกไปไกล “ข้าอยากเห็นเจ้าชาด”
“ท่านตามข้ามา”
เมื่อเอ่ยถึงเจ้าชาด ลู่จื่ออวิ๋นก็ไม่ได้เร่งเร้าเขาอีก
ม้าตัวนั้นเป็นเขาที่มอบให้นาง เขามีสิทธิ์ที่จะเห็นมันเมื่อไหร่ก็ได้
เซี่ยเฉิงจิ่นเดินเคียงข้างตามนางไป
ลู่จื่ออวิ๋นเหลือบมองเขาจากข้าง ๆ “ท่านผอมลงไปไม่น้อย”
“ข้ากินไม่อิ่ม นอนก็ไม่ค่อยหลับ แต่ละวันข้าเอาแต่คิดถึงอาหารอันโอชะของเรือนพักผ่อนบนภูเขา ย่อมเป็นธรรมดาที่จะผอมลง” เซี่ยเฉิงจิ่นยิ้มบาง ๆ “ดังนั้นระหว่างนี้เจ้าต้องช่วยชดเชยให้ข้าด้วยเล่า”
“เกี่ยวอะไรกับข้ากัน?” ลู่จื่ออวิ๋นพึมพำ
อันที่จริงนางรู้ว่าคำพูดของเขาล้วนเป็นเรื่องล้อเล่น
อาณาจักรเฟิ่งหลินเกิดเรื่องราวขึ้นมากมายหลายอย่าง เขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวขององค์หญิงที่เกิดในอาณาจักรอื่น อีกทั้งยังอยู่ในฐานะที่สามารถแย่งชิงบัลลังก์กับฮ่องเต้องค์ใหม่ได้ ไม่รู้ว่าเซี่ยซื่อจื่อผู้นี้ต้องพบเจอกับกลอุบายต่าง ๆ และถูกลอบสังหารมาแล้วกี่ครั้ง
“เจ้าชาดโตขึ้นแล้ว ทั้งยังแข็งแกร่งขึ้นมาก”
“ข้าไม่ได้ละเลยม้าของท่าน โล่งใจแล้วกระมัง?”
“นั่นเป็นม้าของเจ้า นับตั้งแต่วันที่ข้ามอบมันให้เจ้า มันก็เป็นของเจ้าเพียงผู้เดียว”
“อืม”
“ตอนนี้ทักษะการขี่ม้าของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? ไม่ได้เกียจคร้านในการฝึกซ้อมใช่หรือไม่?”
“ข้ามีเจ้าชาด จะเกียจคร้านได้อย่างไร? หากท่านสนใจถึงเพียงนี้ ไม่สู้แข่งกับข้าหน่อยเป็นอย่างไร?”
“ได้สิ!”
เซี่ยเฉิงจิ่นเลือกม้าขนาดพอดี ๆ มาตัวหนึ่ง
ลู่จื่ออวิ๋นขี่เจ้าชาดได้แล้ว ดูจากวิธีการขึ้นม้าของนาง เดาว่านางคงขี่ม้าอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งทักษะการขี่ม้าของนางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าบุรุษในเมืองหลวงเหล่านั้นเลย
“ท่านได้รับบาดเจ็บมาใช่หรือไม่?” ลู่จื่ออวิ๋นหันกลับไปมองการเคลื่อนไหวของเขาแล้วเอ่ยว่า “หากท่านได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นก็ไม่ต้องขี่ม้าแล้ว หาที่พักสักหน่อยเถอะ”
“วางใจเถอะ ข้าไม่ได้บาดเจ็บ” เซี่ยเฉิงจินเอ่ย “นอกจากนี้ แม้ว่าข้าจะเหนื่อยจนไม่มีกำลังเช่นยามปกติ ข้าก็มีแรงเหลือเฟือที่จะจัดการเจ้า”
เดิมทีลู่จื่ออวิ๋นเป็นห่วงสภาพร่างกายของเขา ทว่าหลังจากได้ยินถ้อยคำที่อวดดีเช่นนั้น นางก็หยุดโน้มน้าวเขาทันที
“ในเมื่อท่านเก่งกาจเพียงนี้ เช่นนั้นก็มาแข่งขันกันเถอะ”
“ย่าห์!”
ทั้งสองคนควบม้าไปรอบ ๆ สนามม้า
คนงานที่เดินผ่านไปมาเห็นลู่จื่ออวิ๋นในอาภรณ์สีแดงกำลังควบขี่ม้า ดูงดงามราวกับกุหลาบแดงที่กำลังเบ่งบาน พวกเขาพลันต้องตกตะลึงไปชั่วขณะ
“นั่นผู้ใดน่ะ?” คนงานเอ่ยถาม “เมื่อก่อนไม่เคยพบเห็น”
“นั่นคือเซี่ยซื่อจื่อ” คนงานคนหนึ่งเห็นเขา “เจ้าเพิ่งมาอยู่ที่นี่ จะไม่เคยพบเขามาก่อนก็เป็นเรื่องธรรมดา ท่านนั้นเคยเป็นคนโด่งดังของที่นี่ ทว่าตอนนี้ก็ยังโด่งดังเช่นกัน ข้าได้ยินมาว่าตัวตนของเขาในยามนี้พิเศษกว่าเดิมเสียอีก เจ้าเคยได้ยินชื่ออาณาจักรเฟิ่งหลินกระมัง? มารดาของเขาเดิมทีเป็นองค์หญิงของอาณาจักรเฟิ่งหลิน นางมาที่นี่เพื่อแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ เมื่อสองปีก่อนมารดาของเขากลับมาตุภูมิไปแล้ว ทั้งยังพาบิดาของเขากลับไปด้วย ได้ยินว่าตอนนี้เขาคือจิ่นอ๋อง”
“คนผู้นั้นค่อนข้างเหมาะกับคุณหนูของพวกเราทีเดียว”
ลู่จื่ออวิ๋นควบม้านำหน้าไป เมื่อนางหันกลับไปมองเซี่ยเฉิงจิ่นจึงพบว่าร่างกายของเขากำลังโอนเอนแทบจะตกลงไปอยู่รอมร่อ นางรีบเบี่ยงหัวม้า ควบกลับไปหาเขาอย่างรวดเร็ว
เซี่ยเฉิงจิ่นดึงสายบังเหียนเอาไว้ เมื่อเห็นลู่จื่ออวิ๋นควบม้าเข้ามาหา ใบหน้าพลันปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ ขึ้นมา
“เห็นสาวน้อยอย่างเจ้ามีมโนธรรมแล้ว ไม่เสียแรงที่ข้ารักเจ้า”
ลู่จื่ออวิ๋นจับเซี่ยเฉิงจิ่นเอาไว้
เซี่ยเฉิงจิ่นใช้พละกำลัง กระโดดไปข้างหลังนาง จากนั้นกอดนางเอาไว้จากด้านหลัง
“ท่าน…”
เซี่ยเฉิงจิ่นสอดแขนมาจากด้านหลัง คว้าสายบังเหียนม้า พร้อมเอ่ยกับลู่จื่ออวิ๋น “เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ ข้าไม่มีแรงเหลือแล้วจริง ๆ เพื่อที่จะมาเมืองหลวงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ข้าทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาสามวันแล้ว”
ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถาม “นี่ท่านไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?”
“ข้าอยากพบเจ้ามากกว่า อวิ๋นเอ๋อร์…” เซี่ยเฉิงจิ่นกระซิบข้างหู “ข้ารอนานกว่านี้ไม่ไหวแล้ว อยากพบเจ้าเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
ลู่จื่ออวิ๋นทำตัวไม่ถูกจึงพยายามผลักเขาออก แต่เมื่อเห็นว่าร่างของเขากำลังจะร่วงลงไป นางก็คว้าเขาเอาไว้ทันที
“ข้าง่วงแล้วจริง ๆ ต้องพักครู่หนึ่ง เจ้าค่อย ๆ พาข้าเดินไปแบบนี้เถอะ! ข้ายอมแพ้ ไม่แข่งแล้ว”
“นี่ไม่ใช่นิสัยของเซี่ยซื่อจื่อ แต่ไหนแต่ไรมาท่านไม่เคยเป็นฝ่ายยอมรับความพ่ายแพ้”
เซี่ยเฉิงจิ่นยิ้มบาง ๆ “ข้ายอมแพ้ต่อเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น อย่างไรเสียขอเพียงแค่แข่งกับเจ้า ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ชนะอยู่ดี”
แก้มของลู่จื่ออวิ๋นแดงเรื่อขึ้นมา
นางรู้สึกว่าแก้มของตนร้อนผ่าวราวกับถูกบางอย่างแผดเผา
คุณหนูใหญ่ลู่หันไปมองรอบ ๆ นอกจากคนงานสองสามคนที่กำลังทำงานอยู่แล้วก็ไม่พบเห็นผู้ใดอีก
นางปล่อยให้ม้าก้าวเดินไปช้า ๆ หลังจากเดินไปสองสามรอบ นางก็ควบม้าออกจากสนาม มุ่งหน้าไปยังห้องพักของเขา
“คุณหนู คุณชายท่านนี้เป็นอะไรไปหรือ?”
“ช่วยพาเขาลงไปที” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “พาเขาไปส่งที่ห้องสอง เรือนทะเลสาบ”
“ขอรับ”
“เจ้ามานี่” ลู่จื่ออวิ๋นชี้ไปที่บ่าวรับใช้อีกคน “เจ้าไปตรวจดูหน่อยว่าคุณชายท่านนี้พาผู้อื่นมาอีกหรือไม่”