สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 699 ท่านคิดอย่างไร
บทที่ 699 ท่านคิดอย่างไร
บทที่ 699 ท่านคิดอย่างไร
ลู่จื่ออวิ๋นอายุรุ่นราวคราวเดียวกับซ่างกวนจิ่นซิ่ว ฝ่ายหลังเป็นฝ่ายเริ่มสานสัมพันธ์กับนาง ชวนนางไปที่ห้องรับรองแขกเพื่อพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง
สหายวัยเดียวกันที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลู่จื่ออวิ๋นมีไม่มาก ผู้หนึ่งคือเจี่ยหลิงหลง อีกผู้หนึ่งคือหยางเจิง พวกนางล้วนมีความคิดเรียบง่ายไม่ซับซ้อน เป็นคนที่ไม่ชอบทะเลาะเบาะแว้ง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเจี่ยหลิงหลงหรือหยางเจิง พวกนางย่อมรู้สึกด้อยกว่ายามคบหากับลู่จื่ออวิ๋นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกอย่างล้วนตามใจนาง อันที่จริงความสัมพันธ์เช่นนี้ไม่เท่าเทียมเท่าใดนัก ทว่าทุกคนต่างก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี ลู่จื่ออวิ๋นเองก็ชินแล้วเช่นกัน
ทว่าซ่างกวนจิ่นซิ่วกลับแตกต่างออกไป นางเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูอย่างตามอกตามใจ เห็นได้ชัดว่าเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ดี ดังนั้นจึงดูสดใสไร้เดียงสา นางกับองค์หญิงจากอาณาจักรเหลียงผู้นั้นจึงเปรียบเสมือนคนสองคนที่ต่างกันสุดขั้ว
วังหลังของอาณาจักรเหลียงวุ่นวายอลหม่านเป็นอย่างยิ่ง องค์ชายมีถึงยี่สิบคน องค์หญิงมีมากกว่าสามสิบคน ซูฟางหวาผู้หยิ่งทะนงที่มักจะโอ้อวดต่อคนภายนอก อันที่จริงแล้วยามอยู่อาณาจักรเหลียงก็เป็นเพียงคนตัวเล็ก ๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่ถูกส่งมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์
“ท่านมาทำอะไรอยู่ตรงนี้?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถามเมื่อเห็นเซี่ยเฉิงจิ่นยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“วันนี้พระจันทร์งาม ข้าจึงชื่นชมแสงจันทร์อยู่”
“เช่นนั้นท่านก็ชื่นชมต่อไปเถอะ!”
เซี่ยเฉิงจิ่นเดินตามมาแล้ว
“เหตุใดท่านจึงตามมา?”
“เมื่อครู่อยู่ในสวน ข้าเห็นดอกถานฮวาบานแล้ว เจ้าอยากไปชมหรือไม่?”
ลู่จื่ออวิ๋นหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับไปมองเขา “ร่างกายท่านยังบาดเจ็บ เหตุใดไม่พักผ่อน ยังอยากชมดอกถานฮวาอยู่อีกหรือ?”
“ข้าอยากชมด้วยกันกับเจ้า” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “ชมดอกไม้ผู้เดียวย่อมรู้สึกเหงา มีเพียงแบ่งปันความยินดีกับผู้อื่นเท่านั้นจึงจะมีความสุข ท่านแม่ข้าชอบดูพระจันทร์และดอกไม้ด้วยกันกับท่านพ่อ ไม่นานมานี้ท่านพ่อล้มป่วย ท่านแม้รั้งอยู่ข้างเตียงคอยอยู่เป็นเพื่อนเขาหลายเดือน นางผ่ายผอมลงไปไม่น้อย วันนั้นข้าเห็นบ่าวทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ดูมีพิรุธอย่างยิ่งจึงไปตรวจสอบ เจ้าลองเดาดูสิว่าข้าตรวจสอบพบอะไร?”
“อะไรหรือ?”
“ท่านแม่ข้าให้เตรียมสร้างโลงศพขึ้นมาสองโลง หากเกิดอะไรขึ้นกับพ่อข้า นางจะไปพร้อมกันกับเขา” เซี่ยเฉิงจิ่นมองลู่จื่ออวิ๋น “ข้าถามท่านแม่ว่า หากพวกเขาไปแล้ว เคยคิดถึงข้าหรือไม่? ท่านแม่บอกว่านางรักท่านพ่อ หากท่านพ่อข้าไม่อยู่แล้ว นางก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ แต่ข้าไม่เหมือนกัน ข้าจะพบคู่ครองของตนเอง จะมีคนที่ข้าอยากใช้ชีวิตที่เหลือด้วย นางหวังว่าคู่ครองของข้าจะเกิดจากความรัก ไม่ใช่เกิดจากผลประโยชน์”
ติงเซียงลอบมองลู่จื่ออวิ๋นแวบหนึ่ง
จิ่นอ๋องท่านนี้ขาดแค่ประโยค ‘คนผู้นั้นคือเจ้า’ ออกมาเท่านั้น
นางยืนอยู่ตรงนี้กระอักกระอ่วนยิ่ง!
ทว่าในฐานะที่เป็นสาวใช้ข้างกายของคุณหนู นางต้องคุ้มครองความปลอดภัยของผู้เป็นนาย ไม่อาจปล่อยให้อยู่กับชายอื่นเพียงลำพังได้
หากจิ่นอ๋องผู้นี้แต่งคุณหนูของพวกนางจริง ๆ นางค่อยหลบหลีกย่อมไม่สาย ตอนนี้ไม่ว่าเขาจะส่งสายตาทิ่มแทงมาเพียงใด นางก็จะไม่จากคุณหนูไปเป็นอันขาด ไม่มีทาง…
“นี่เกี่ยวข้องอะไรกับข้ากัน?” ลู่จื่ออวิ๋นกำผ้าเช็ดหน้า “เพียงแต่… ท่านเป็นแขก ในเมื่อท่านอยากชมดอกถานฮวา ข้าที่เป็นเจ้าบ้านย่อมพาท่านไปชมได้!”
“เช่นนั้น ข้าต้องขอบคุณคุณหนูใหญ่ลู่แล้ว” เซี่ยเฉิงจิ่นหัวเราะเบา ๆ
ลู่จื่ออวิ๋นหงุดหงิดเพราะเสียงหัวเราะของเขา พลันไม่อยากไปขึ้นมาแล้ว ทว่าเมื่อเห็นยิ้มกว้างอย่างหาได้ยากเช่นนี้ จึงตามเขาไปโดยไม่รู้ตัว
ในสวนมีดอกถานฮวาอยู่จริง ๆ อีกทั้งยังใกล้จะบานแล้ว
ก่อนหน้านี้ลู่จื่ออวิ๋นไม่เคยชอบดอกถานฮวา ในความคิดของนาง ความงดงามของมันคงอยู่สั้นเกินไป นางไม่ชอบสิ่งของที่มีชีวิตในช่วงสั้น ๆ เท่าใดนัก
“ในสวนมีดอกไม้ไม่น้อย เหตุใดท่านจึงยืนกรานจะชมดอกถานฮวา?”
“ความงดงามของดอกถานฮวาไม่อาจเห็นได้ตลอดเวลา พวกเราต้องรอคอยอย่างเงียบสงบ รอให้มันเติบโต รอให้มันเบ่งบาน สุดท้ายแล้วก็รอให้มันเหี่ยวแห้ง สิ่งที่ข้าชอบจริง ๆ ไม่ใช่ดอกถานฮวา หากแต่เป็นคนที่ชมดอกถานฮวาด้วยกันกับข้า”
“ท่าน…” ลู่จื่ออวิ๋นถูกคำพูดตรงไปตรงมาของเขาทำให้ทำตัวไม่ถูก “ข้าจะกลับแล้ว!”
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ ถ้อยคำหลายปีก่อนของข้า เจ้ายังจดจำได้หรือไม่?” เซี่ยเฉิงจิ่นสบตานาง “หัวใจข้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง เจ้าคงเข้าใจกระมัง”
ลู่จื่ออวิ๋นถูกเขาคว้าแขนเอาไว้
“คุณหนู ไม่เช่นนั้นให้บ่าวพาท่านกลับห้องดีหรือไม่เจ้าคะ?” ติงเซียงที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยเตือน
ลู่จื่ออวิ๋นมองดอกถานฮวาที่อยู่ตรงหน้า หาที่นั่งแล้วหย่อนกายลง “ดูสิมันใกล้จะบานแล้ว รอมันบานแล้วค่อยกลับไปเถอะ!”
“ดอกถานฮวานับตั้งแต่เบ่งบานกระทั่งเหี่ยวแห้งจะคงอยู่เพียงแค่สองสามชั่วยาม การได้รอคอยอยู่ที่นี่เงียบ ๆ เป็นเวลาสองสามชั่วยามกับคนที่เราใส่ใจ โดยไม่มีผู้อื่นรบกวนเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขและอบอุ่นที่สุดแล้ว ชั่วชีวิตของข้า ข้าอยากชื่นชมดอกถานฮวากับเจ้าเพียงผู้เดียว มันจะเป็นพยานให้กับลมหายใจที่งดงามที่สุดในชีวิตของข้า”
“ถ้อยคำหวานหูเชื่อถือไม่ได้ ท่านแม่ข้าเคยกล่าวไว้ว่า บุรุษที่มักเอ่ยคำหวานล้วนเชื่อไม่ได้”
“เช่นนั้นหรือ? ข้าว่าใต้เท้าลู่คงเอ่ยมันไม่น้อย ไม่เช่นนั้นหากองค์หญิงจากอาณาจักรเหลียงที่มีเจตนาแอบแฝงเข้ามาอยู่อาศัยเช่นนี้ ฮูหยินลู่คงโกรธเขาไปนานแล้ว และคงไม่สงบอย่างที่เป็นในตอนนี้แน่”
“ท่านมองออกแล้วหรือ?”
“องค์หญิงจากอาณาจักรเหลียงแสดงออกชัดเจนยิ่ง ผู้ใดที่มีตาล้วนดูออก ทว่าวางใจเถิด ตัวละครเล็ก ๆ เช่นนี้ไม่ถึงคราวมารดาเจ้าต้องลงมือเอง ท่านพ่อเจ้าจัดการได้”
“แน่นอนว่าท่านพ่อข้าไว้ใจได้ ไม่เช่นนั้นท่านแม่คงไม่รักเขามาหลายปีเพียงนี้ ท่านแม่ข้าบอกว่า หากพบบุรุษที่ไม่มีความซื่อสัตย์ หากฆ่าได้ก็ฆ่า หากฆ่าไม่ได้ก็ไปจากเขาเสีย ภายหน้าค่อยแต่งงานกับผู้ที่ฆ่าเขาได้”
เซี่ยเฉิงจิ่น “…”
ว่าที่แม่ยายของเขาช่างโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว เขารู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ อยู่บ้าง
ลู่จื่ออวิ๋นมองเขาด้วยรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา “ท่านอ๋องจิ่นกลัวแล้วหรือ?” ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“ไม่ ข้าเพียงแต่ตกตะลึง ความคิดเห็นอันสูงส่งของฮูหยินลู่นี้ ข้าต้องเรียนรู้เอาไว้บ้างแล้ว”
ลู่จื่ออวิ๋นหัวเราะเบา ๆ
เซี่ยเฉิงจิ่นมองรอยยิ้มของนาง สายตาเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่
เขาเอื้อมมือออกไปลูบศีรษะนางเบา ๆ
“ทำอะไร? อย่ามาแตะข้านะ”
“บนผมเจ้ามีใบไม้”
“ในสายตาท่าน ข้าดูเหมือนคนโง่หรือ?!”
“บางครั้งหากเจ้าแกล้งโง่เล็กน้อยจะน่ารักมาก”
ติงเซียง “…”
นี่ นางยืนทนโท่อยู่ตรงนี้ทั้งคน สองคนนี้ไม่เห็นนางหรือไร?
ติงเซียงถอยหลังออกไปสองสามก้าว เพื่อที่จะได้เฝ้าลู่จื่ออวิ๋นโดยไม่ถูกหนุ่มสาวคู่นี้ทำให้ตาบอดไปเสียก่อน
ลู่อี้กำลังจะพักผ่อน เมื่อเห็นฉานอีโน้มตัวไปกระซิบสองสามคำข้างหูมู่ซืออวี่ จึงเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ?”
มู่ซืออวี่ส่งสัญญาณให้ฉานอีอกไป หลังจากนางไปแล้ว ถึงได้ถอดเสื้อคลุมชั้นนอกออกและเดินมาที่ข้างเตียง
“เด็กสกุลเซี่ยผู้นั้น ท่านคิดว่าอย่างไร?”
“เขา? ความทะเยอทะยานของเขามีไม่น้อย ภายหน้าอาณาจักรเฟิ่งหลินยังไม่แน่ว่าผู้ใดจะได้ปกครอง”
“ลูกสาวท่านชมดอกถานฮวาอยู่ในสวนกับเขา”
“ว่าอย่างไรนะ?!”
“ติงเซียงก็อยู่”
ลู่อี้ผู้ที่เพิ่งผลุนผลันลุกขึ้นยืนนั่งลงไปตามเดิม
“ตอนที่อยู่ในอาณาจักรเหลียง ข้าถูกคนลอบสังหาร อีกฝ่ายคงทำได้สำเร็จจริง ๆ หากไม่ใช่เพราะเด็กคนนั้น ข้าคิดจะกลับมาจากอาณาจักรเหลียงคงไม่ง่ายดายเพียงนี้ กล่าวไปแล้วพวกเราก็ได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย เด็กคนนั้นช่วยข้าจริง ๆ” ลู่อี้เอ่ย “เพียงแต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะตอบแทนเขาด้วยการยกลูกสาวให้”
“หากลูกสาวท่านเองก็พึงใจเขาเล่า?”
“ฮ่องเต้องค์ใหม่ของอาณาจักรเฟิ่งหลินเป็นเพียงหุ่นเชิด อำนาจที่แท้จริงอยู่ในมือขุนนาง มารดาของเซี่ยเฉิงจิ่นมีสิทธิ์ที่จะสืบทอดบัลลังก์ ดังนั้นเขาเองก็ย่อมมีเช่นกัน กล่าวได้ว่า ตอนนี้เขาถูกขัดแข้งขัดขาทุกทิศทาง ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่น คิดจะกลับไปอาณาจักรเฟิ่งหลินจากที่นี่ยังยากที่จะถึงมาตุภูมิได้อย่างปลอดภัย แม้เขาจะขึ้นครองบัลลังก์ได้สำเร็จ หากภายภาคหน้าเขาเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน ในวังหลังก็ต้องมีสตรีมากกว่าหนึ่งคน ลูกสาวของพวกเราจะต้องไม่แบ่งปันสามีกับผู้อื่น ถึงแม้ข้าจะชื่นชมคนผู้นี้ แต่เขากลับไม่ใช่ลูกเขยที่ดีอะไร”
“หากเขารับปากว่าจะไม่รับสนมเล่า?”
“หากเป็นฮ่องเต้จะมีภรรยาเพียงผู้เดียวได้อย่างไร? แม้เขาจะยินดี แต่เหล่าขุนนางย่อมไม่ยินดีแน่ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าภรรยาผู้นี้ไม่ได้มาจากอาณาจักรของตนเอง”
“ดังนั้น พวกเราคอยดูไปเถอะ!” มู่ซืออวี่เอ่ย “ข้าเองก็ไม่อยากแต่งลูกสาวออกไปไกลเพียงนั้นเช่นกัน!”