สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 7 ก้าวแรกคือการค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 7 ก้าวแรกคือการค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง
บทที่ 7 ก้าวแรกคือการค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง
บทที่ 7 ก้าวแรกคือการค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง
ลู่ฉาวอวี่หลอกได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?
ตัวร้ายมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือความหวาดระแวง
ตอนนี้เขาเป็นเพียงเด็กน้อย ทักษะของตัวร้ายยังไม่ชัดแจ้ง ย่อมไม่มีวันหายไป
“ข้าไม่เคยเห็นท่านกลัวท่านพ่อมากขนาดนี้มาก่อน”
“ข้าแค่ถามว่าตกลงหรือไม่?” มู่ซืออวี่จงใจไม่ตอบคำถามของเขาพลางหาเหตุผลอื่นเพื่อ ‘เปลี่ยนแปลง’ ด้วยวิธีการเจรจา
ลู่ฉาวอวี่สบตากับมู่ซืออวี่ เมื่อพูดถึงลู่อี้ ดวงตาของนางพลันเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่านางกลัวพ่อของเขาจริง ๆ
นี่จึงอธิบายได้ว่าเหตุใดนางถึงแปลกไป
เมื่อนึกถึง ‘การลงโทษสั่งสอน’ ก่อนหน้านี้ของลู่อี้ที่มีต่อนาง ลู่ฉาวอวี่จึงเชื่ออยู่บ้าง
“ก็ได้”
มู่ซืออวี่พลันถอนหายใจ
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเชื่อ แต่ไม่เชื่อแล้วจะทำอย่างไรได้? เขายังเด็ก แม้จะฉลาดแค่ไหนก็ไม่มีทางสู้ผู้ใหญ่ได้ มีทางเดียวคือถ่วงเวลาไว้ เมื่อเขาและน้อง ๆ เติบโต พวกเขาจะหลุดพ้นจากความต่ำช้าในบ้านหลังนี้
จากนั้นมู่ซืออวี่ก็นำน้ำร้อนไปยังห้องของลู่ฉาวอวี่
แม้ว่าลู่ฉาวอวี่จะตกลงกับมู่ซืออวี่แล้ว แต่เมื่อเห็นนางสวมบทบาทนี้อย่างรวดเร็วก็ยังไม่อาจรับได้
ผู้หญิงที่ไม่อาบน้ำ ไม่บ้วนปาก มีกลิ่นเหม็นตลอดเวลา ทั้งยังเกลียดเขา กลับขอให้เขาอาบน้ำอีกครั้งด้วยน้ำร้อน?
แม้ว่าเขาจะไม่สะอาดหมดจด แต่เขาก็มักจะไปอาบน้ำที่แม่น้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อยกว่าที่นางรู้ไม่น้อย นางมีสิทธิ์อะไรมาไม่ชอบเขา?
“ให้ช่วยหรือไม่?” มู่ซืออวี่มองไปยังลู่ฉาวอวี่
การแสดงออกของลู่ฉาวอวี่นั้นแข็งทื่อ เขาผลักนางออกไปด้วยฝ่ามือเล็ก ๆ ทันที
มู่ซืออวี่ซึ่งยืนอยู่หน้าประตูได้แต่กะพริบตาพลางมองเขาอย่างมีความหวัง “ไม่ต้องการให้ข้าช่วยจริง ๆ หรือ?”
“ไม่จำเป็น” ลู่ฉาวอวี่กัดฟัน “ท่านแค่ไม่อยากให้ข้าฟ้องท่านพ่อ ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ฟ้องเรื่องอะไรเช่นนี้หรอก”
“น่าเสียดาย” มู่ซืออวี่ส่ายหัวเบา ๆ “ข้าไม่เคยอาบน้ำให้เด็กน้อยมาก่อนเลย!”
ปัง!
เสียงปิดประตูดังขึ้น
มู่ซืออวี่ยืนหัวเราะอยู่นอกประตู
วายร้ายตัวน้อยไม่เหมือนเด็กทั่วไปจริง ๆ
ลู่จื่ออวิ๋นได้กินโจ๊กผักร้อน ๆ ไป ร่างกายจึงกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น เด็กน้อยอยู่ในอาการป่วยอย่างหนักมาเป็นเวลานาน ถึงจะนอนไม่หลับ แต่ก็ไม่อาจลุกจากเตียงได้ สุดท้ายทำได้เพียงนอนอยู่บนเตียง
ครั้นได้ยินเสียงกุกกักที่ประตู นางจึงหันไปมอง เมื่อพบว่าผู้ที่เข้ามาคือมู่ซืออวี่ ร่างของเด็กน้อยจึงทรุดถอยตามสัญชาตญาณ นางจับผ้านวมผืนบางไว้แน่นพลางถดตัวไปด้านหลัง
“ข้า… ข้าจะนอน”
เพราะอย่างนั้นได้โปรดออกไปได้ไหม อย่าเข้ามาเลย
มู่ซืออวี่เดินเข้ามาใกล้พร้อมน้ำร้อน ไอควันที่พวยพุ่งนั้นดูราวกับสัตว์ร้ายตัวใหญ่ยักษ์ที่พร้อมจะกระโจนเข้าใส่
นางเอ่ยในขณะที่บิดผ้าขนหนู “เจ้ามีไข้ ให้ข้าเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เถิด จะได้สบายตัวขึ้น”
ลู่จื่ออวิ๋นเฝ้ามองการกระทำของมู่ซืออวี่อย่างไม่ละสายตา ราวกับว่าในวินาทีต่อมาหน้ากากอันอ่อนโยนนั้นจะถูกฉีกออก แล้วสัตว์ร้ายจะกระโจนเข้ากัดกินนาง
มู่ซืออวี่แสร้งทำเป็นไม่เห็นท่าทีต่อต้านของลู่จื่ออวิ๋น
นางเริ่มเช็ดที่หน้าผากของลู่จื่ออวิ๋น โดยค่อย ๆ เช็ดจากหน้าผากลงมาจนถึงคอ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “ปลดเสื้อผ้า ข้าจะเช็ดตัวให้”
“ไม่… ไม่จำเป็น” ลู่จื่ออวิ๋นปฏิเสธ
“พี่ชายเจ้าบาดเจ็บ เจ้าอยากให้เขาเป็นห่วงหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะให้เขามาช่วยเช็ดตัวให้เจ้า” มู่ซืออวี่พลันลุกขึ้นยืน
ลู่จื่ออวิ๋นได้ยินว่าลู่ฉาวอวี่ได้รับบาดเจ็บ ใบหน้าเล็ก ๆ พลันฉายชัดถึงความกังวล “พี่ชายข้า… เขาได้รับบาดเจ็บส่วนใด?”
“ที่เท้า” มู่ซืออวี่แสร้งทำเป็นกุมขมับ “เมื่อพ่อของเจ้ากลับมาคงตำหนข้าอีกแล้ว ฉะนั้นจนกว่าพ่อของเจ้าจะกลับมา เจ้ากับพี่ชายจะต้องหายป่วย ถ้าเจ้าทำให้ข้าต้องถูกลงโทษ ข้าจะมาลงที่พวกเจ้า”
ลู่จื่ออวิ๋นตัวสั่นด้วยความกลัว
มู่ซืออวี่รีบเอ่ยเสริม “แน่นอนว่าถ้าพวกเจ้าหายดี พวกเราจะไม่ถูกลงโทษ แล้วหลังจากนี้ ข้าจะดูแลพวกเจ้าเป็นอย่างดี”
เมื่อลู่จื่ออวิ๋นได้ยินเช่นนั้น ดวงตากลมโตไร้เดียงสาก็ปนเปไปด้วยความสับสนราวกับว่าได้ยินเรื่องราวอันไม่น่าเชื่อ
ดูแล?
นางฟังผิดหรือเปล่า?
“โง่เง่าไปแล้วหรือ?” มู่ซืออวี่โบกมือไปมาตรงหน้าลู่จื่ออวิ๋น “ปลดเสื้อผ้าไม่เป็นหรือไง ต้องให้ข้าช่วยรึ?”
“เป็น” ลู่จื่ออวิ๋นปัดมือของมู่ซืออวี่ที่จะเข้ามาช่วยออก ก่อนจะถอดเสื้อผ้าของตน
แม้ว่าจะยังอายุน้อย แต่กับมู่ซืออวี่ที่ไม่สนิทใจด้วย นางยังคงเขินอายอยู่บ้าง การปลดเสื้อผ้าออกจึงเชื่องช้า
ดวงตามู่ซืออวี่พลันแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำเมื่อเห็นร่างกายของลู่จื่ออวิ๋น
แม้ว่าเด็กน้อยจะผอมบาง แต่ผิวพรรณกลับผุดผ่องงามยิ่ง ทว่าผิวหนังอันงดงามก็มีรอยแผลเป็นขนาดเท่าฝ่ามือประทับอยู่ ดูแล้วเหมือนเป็นรอยถูกไฟไหม้ก็มิปาน
“มีอะไรหรือ?” เมื่อเห็นสีหน้าของมู่ซืออวี่ ลู่จื่ออวิ๋นจึงยื่นมือออกไป “ท่าน… ร้องไห้หรือ?”
ในขณะที่กำลังจะแตะตัวของมู่ซืออวี่ มือเล็กนั้นพลันชักกลับอีกครั้ง
ในอดีต เวลาที่นางพยายามเข้าใกล้มู่ซืออวี่ก็มักจะถูกผลักไสออกไปอย่างแรง ทั้งยังถ่มน้ำลายใส่ราวกับว่านางไม่ใช่ลูกสาวแต่เป็นศัตรู ตอนนั้นนางเข้าใจว่า ‘แม่ไม่ชอบนาง’ จงอย่าเข้าไปใกล้เด็ดขาด
มู่ซืออวี่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนได้จึงรั้งลู่จื่ออวิ๋นเข้ามากอดไว้แน่น
เห็นเป็นคนอยู่หรือ! นั่นยังนับว่าเป็นคนอยู่หรือ? นั่นเป็นสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าหมูหมาเสียอีก
แม่ประสาอะไรที่โหดร้ายเช่นนี้ โหดร้ายต่อเลือดเนื้อของตัวเองได้อย่างไร
ตอนที่ถูกลวกนั้นเด็กคนนี้อายุเพียงสองหนาวเท่านั้น!
ครานั้นนางเดินเข้าไปหาแม่ด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสา ก่อนจะเอ่ยเรียก ‘ท่านแม่ กอด กอด’ แต่สิ่งที่ท่านแม่ทำเล่า? ไม่เพียงแต่ไม่กอดเท่านั้น แต่กลับนำโจ๊กที่เพิ่งตักมาเต็มถ้วยราดลงบนแขนของนางโดยตรง ทิ้งรอยแผลชัดเจนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
นางมารร้ายกาจเช่นนี้ควรตายไปอย่างอนาถ วิธีการตายแบบเดิม ๆ ยังน้อยไปสำหรับมู่ซืออวี่คนเดิมเสียด้วยซ้ำ
ลู่จื่ออวิ๋นเป็นคนอ่อนไหว แม้ว่ามู่ซืออวี่จะไม่ได้เอ่ยคำใด แต่นางก็ยังรู้สึกถึงอารมณ์ของมู่ซืออวี่ อีกทั้งบรรยากาศเช่นนี้ นางไม่ได้กลัว แต่กลับอยากปลอบโยนมู่ซืออวี่เสียด้วยซ้ำ
“ไม่ต้องร้อง ข้าไม่ฟ้องท่านพ่อหรอก” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว
มู่ซืออวี่ที่กลั้นน้ำตาไว้เต็มหน่วยในตอนแรกพรั่งพรูน้ำตาออกมาเป็นสาย “ฮึก.. ข้าขอโทษ… ข้ามันไม่ใช่คน… ต่อไปข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าให้ดีอย่างแน่นอน ฮือ…”
เด็กที่น่ารักถึงเพียงนี้!
ทูตสวรรค์เช่นนี้ควรได้รับการปรนนิบัติ มากกว่าจะถูกวางยาโดยมารดาผู้ชั่วร้ายไม่ใช่หรือ
“อย่าร้องไห้เลย” ลู่จื่ออวิ๋นค่อย ๆ ยื่นมือออกมาตบหลังอีกฝ่ายเบา ๆ “ข้าจะบอกท่านพี่ว่าไม่ให้ฟ้องท่านพ่อ ท่านไม่ถูกทำโทษหรอก”
คนหนึ่งร้องไห้ อีกคนปลอบโยนด้วยถ้อยคำแสนน่ารัก โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นร่างผอมบางที่ยืนอยู่หน้าประตูพร้อมดวงตาแดงก่ำ
หลังจากที่มู่ซืออวี่ออกมาจากห้องของลู่จื่ออวิ๋น เสียงของนางยังแหบพร่า นางซับน้ำตาบนใบหน้าให้แห้ง จากนั้นจึงไปเทน้ำสกปรกออก
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” เทน้ำเสร็จ หันกลับมาก็ต้องตกใจที่เห็นว่าลู่ฉาวอวี่กำลังมองตนอยู่ “เสี่ยวอวิ๋นหลับอยู่ เจ้าอาบน้ำเสร็จแล้วใช่หรือไม่ อย่าเพิ่งนอน ไปรอในห้องสักครู่เถอะ”
ลู่ฉาวอวี่ไม่ได้เอ่ยตอบ
เมื่อเห็นนางวางกะละมังและเดินออกจากประตูไป เขาเพียงมองตามแผ่นหลังนางที่เดินจากไป
ยามนี้ดึกดื่นแล้ว คนในหมู่บ้านหลับกันหมด แต่ก็มีบางคนที่ยังไม่นอน พวกเขาต่างซุบซิบเรื่องในหมู่บ้าน
ขณะที่เดินผ่านประตูบ้าน มู่ซืออวี่พลันได้ยินเรื่องเกี่ยวกับตนเอง แต่นางไม่ได้สนใจ เพียงแค่เดินทอดกายไปตามแสงจันทร์เท่านั้น