สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 701 ผลการคัดเลือก
บทที่ 701 ผลการคัดเลือก
บทที่ 701 ผลการคัดเลือก
ซูฟางหวาออกไปแต่เช้ากว่าจะกลับมาก็มืดค่ำหลายวันติดต่อกัน ในตอนแรกนางรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย แต่ต่อมาพบว่าเดิมทีคนสกุลลู่ก็ไม่ได้สนใจนาง
นางรู้สึกไม่ยินยอมอยู่บ้าง เฝ้ามองหาลู่อี้อยู่หลายครั้ง ท้ายที่สุดไม่ต้องเอ่ยถึงลู่อี้ เพราะแม้แต่มู่ซืออวี่ก็ไม่ออกมาแล้ว
เนื่องจากเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ นางจึงยังต้องพำนักอยู่ที่จวนอัครมหาเสนาบดี ทางด้านอาณาจักรเฟิ่งหลิน ลู่จื่ออวิ๋นคุณหนูใหญ่สกุลลู่ได้นำการละเล่นทุกประเภทมานำเสนอ พวกนางมีช่วงเวลาสุขสันต์ที่เรือนพักผ่อนบนภูเขา อาณาจักรเหลียงทางนี้กลับไม่มีผู้ใดสนใจ
ทว่ายังดี งานเลี้ยงต้อนรับที่พระราชวังจัดกำลังจะเริ่มขึ้น ในวันงานเลี้ยงฮ่องเต้ฮุ่ย ฟ่านหยวนซีจะประกาศว่าราชทูตทั้งสองอาณาจักรต้องจากไปหรือรั้งอยู่
ขุนนางบุ๋นบู๊ของราชสำนักได้นำครอบครัวและบุตรธิดาเข้าวังหลวงมาร่วมงานเลี้ยง
“ฮูหยินลู่ คุณหนูลู่ เชิญทางนี้ขอรับ”
มู่ซืออวี่พาลู่จื่ออวิ๋นมาด้วย ส่วนลิงน้อยอีกสองตัวนั้นไม่อาจอยู่นิ่งได้ งานเลี้ยงวันนี้เป็นงานที่สำคัญมาก ไม่สามารถก่อความวุ่นวาย ดังนั้นนางจึงให้พวกเขาอยู่ที่บ้าน
ส่วนมู่เจิ้งหานและลู่ฉาวอวี่ พวกเขาทั้งคู่เป็นขุนนาง ล้วนมีที่นั่งของตนในงานเลี้ยง หากต้องการ พวกเขาสามารถนั่งข้างลู่อี้ได้ ทว่าพวกเขาล้วนเลือกที่จะนั่งกับสหายร่วมงานตนเอง
ก่อนหน้านี้ มู่ซืออวี่นั่งได้เพียงที่นั่งตรงกลางด้านล่างในงานเลี้ยงเท่านั้น ทว่าตอนนี้กลับเป็นรองเพียงเซวียนอ๋อง ผู้ซึ่งนั่งอยู่ตรงกันข้าม
สายตาของเซวียนอ๋องหยุดอยู่ที่ลู่จื่ออวิ๋น
ลู่จื่ออวิ๋นแสร้งทำเป็นไม่เห็นและพูดคุยกับซ่างกวนจิ่นซิ่วที่อยู่ข้าง ๆ นางต่อไป
ถัดจากซ่างกวนจิ่นซิ่วคือเซี่ยเฉิงจิ่น อย่างไรเสียเซี่ยเฉิงจิ่นก็เป็นราชทูตของอาณาจักรเฟิ่งหลิน นอกจากนี้ ซ่างกวนจิ่นซิ่วและเซี่ยเฉิงจิ่นยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกันด้วย
เซี่ยเฉิงจิ่นยื่นขนมชิ้นหนึ่งมาให้ “อันนี้ไม่เลวเลย เจ้าลองชิมดู”
ซ่างกวนจิ่นซิ่ว “…”
นางนั่งอยู่ตรงกลาง แต่ขนมนั้นถูกส่งผ่านหน้านางไป อีกทั้งผู้ที่นั่งอยู่อีกฝั่งคือลู่จื่ออวิ๋น การกระทำนี้ของเซี่ยเฉิงจิ่น หลายคนล้วนมองมาและเผยสีหน้าครุ่นคิด
“จิ่นอ๋อง อาหารบนโต๊ะล้วนเหมือนกัน ตรงหน้าน้องหญิงจื่ออวิ๋นยังมีขนมแบบเดียวกัน” ซ่างกวนจิ่นซิ่วเอ่ย
“เจ้าไม่เข้าใจ” เซี่ยเฉิงจิ่นหันไปเอ่ยกับลู่จื่ออวิ๋น “เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าลองชิมดูสิ ขนมชิ้นนี้อร่อยกว่า”
ลู่จื่ออวิ๋นเหลือบตามองเขา “ไม่ต้อง ท่านกินเองเถอะ!”
“หากเจ้าไม่รับ คนยิ่งจะหันมามองมากกว่าเดิมแล้ว!” เซี่ยเฉิงจิ่นหัวเราะเบา ๆ
ลู่จื่ออวิ๋นเผยยิ้มออกมา “ข้าจะกลัวอะไร? ในเมื่อผู้ที่อับอายคงเป็นท่านกระมัง?”
เซี่ยเฉิงจิ่น “…”
เอาเถอะ! นางไม่ได้หลอกง่ายเหมือนแม่นางน้อยทั่วไป
เซี่ยเฉิงจิ่นเก็บขนมกลับมาแล้ว
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นพลันเห็นสีหน้าของเซวียนอ๋องจึงเลิกคิ้ว
ราชทูตของอาณาจักรเหลียงและอาณาจักรเฟิ่งหลินเป็นแขกผู้สูงศักดิ์ จึงจัดให้นั่งอยู่แถวหน้า
เซวียนอ๋องและลู่อี้อยู่ในแถวที่สอง ข้าง ๆ ที่นั่งของราชทูต
วันนี้ซูฟางหวานิ่งเงียบเป็นพิเศษ นางแต่งกายอย่างประณีตงดงาม ยามนี้นางจึงดูมีทีท่าตามแบบฉบับองค์หญิงขึ้นมาหลายส่วน
“ฝ่าบาทเสด็จ!”
ฮ่องเต้ฮุ่ยก้าวเข้ามา
ทุกคนยืนขึ้นถวายบังคม
“ทุกท่านนั่งลงเถอะ ไม่ต้องมากพิธี”
ครั้งฟ่านหยวนซียังเป็นจงอ๋อง เขาอารมณ์ร้ายเป็นอย่างยิ่ง บัดนี้ได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้แล้ว เปลี่ยนจากพระโอรสที่ถูกทอดทิ้งมาเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน แม้แต่นิสัยอันเลวร้ายของเขาก็ลดลงไปมาก
อย่างไรก็ตาม ยังคงเห็นได้จากแววตาของเขาว่าบุรุษผู้นี้ไม่ใช่ฮ่องเต้ผู้อ่อนโยนใจดีอะไร อย่าได้เห็นว่าเขาใจดีกับลู่อี้เป็นพิเศษ นั่นเป็นเพราะลู่อี้เป็นลูกน้องคนสำคัญต่างหาก หากเป็นขุนนางคนอื่น ๆ ย่อมไม่อาจพูดคุยกับเขาได้ง่ายดายนัก
ซูฟางหวาพบฮ่องเต้ฮุ่ยฟ่านหยวนซีเป็นครั้งแรก นางรู้สึกสบายใจมากขึ้นเมื่อเห็นว่าเขามีรูปโฉมที่โดดเด่น ไม่ได้ดูโหดเหี้ยมดังข่าวลือ
ซ่างกวนจิ่นซิ่วลอบมองฮ่องเต้ฮุ่ยเงียบ ๆ
อายุเท่านี้ไม่นับว่าเด็กแล้ว เขาจะไม่เคยมีภรรยาได้อย่างไร? ถึงจะไม่มีภรรยาแต่ก็คงมีอนุกระมัง?
“ฝ่าบาท นี่คือองค์หญิงฟางหวาแห่งอาณาจักรเราพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าจิ่งยืนขึ้น “องค์หญิงเป็นตัวแทนของอาณาจักรเรา มาแสดงความยินดีกับฝ่าบาทที่ได้ขึ้นครองราชย์ นอกจากนี้แล้ว อาณาจักรของเราหมายจะเชื่อมสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองอาณาจักร ขอฝ่าบาทโปรดอย่าปฏิเสธ”
ฟ่านหยวนซีมองซูฟางหวาแล้วเอ่ยอย่างใจเย็น “องค์หญิงแห่งอาณาจักรท่านหน้าตาพอใช้ ทว่าเรามีผู้ที่จะรับตำแหน่งฮองเฮาในใจอยู่แล้ว”
ซูฟางหวานิ่งอึ้งไปทันที
นางนึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้ผู้นี้จะเอ่ยปากตรงไปตรงมา แม้กระทั่งเหตุผลยังไม่มีให้พวกนางด้วยซ้ำ แต่กลับเอ่ยขึ้นมาว่า ‘ข้าไม่ชอบนาง’
“ไม่ทราบว่าฮองเฮาของฝ่าบาทคือ…”
“ความงดงามขององค์หญิงซ่างกวนจิ่นซิ่วแห่งอาณาจักรเฟิ่งหลินชนะใจเรา” ฟ่านหยวนซีมองดูซ่างกวนจิ่นซิ่วที่กำลังกินอาหารราวกับกระรอกน้อยตัวหนึ่ง
ในปากของซ่างกวนจิ่นซิ่วยังมีลูกชิ้นคาอยู่ แก้มของนางกลมดิก เมื่อได้ยินคำพูดของฟ่านหยวนซีก็แทบจะสำลักลูกชิ้นลงไปแล้ว
อันที่จริง ขณะที่ฟ่านหยวนซีปรากฏตัวขึ้น นางกำลังกินลูกชิ้น เมื่อได้ยินว่า ‘ฝ่าบาทเสด็จ’ นางก็รีบยัดลูกชิ้นใส่ปากทันที หมายจะค่อย ๆ เคี้ยวแล้วกลืนลงไปทีหลัง ทว่าทันทีที่เขานั่งลง คนเหล่านี้ก็พูดขึ้นมาคนแล้วคนเล่า ไม่มีผู้ใดขยับตะเกียบ นางจะกล้าส่งเสียงได้อย่างไร? ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
นางกะพริบตาปริบ ๆ หันไปมองฟ่านหยวนซี
ฟ่านหยวนซีเอ่ยอย่างใจเย็น “เป็นเราดูแลไม่ทั่วถึงแล้ว เรื่องเหล่านี้ไว้พูดคุยในภายหลัง ทุกคนกินดื่มตามสบายเถิด ทานให้อิ่มหนำสำราญก่อนค่อยว่ากัน”
ผู้อื่นอาจมีกะจิตกะใจที่จะกิน ทว่าราชทูตของอาณาจักรเหลียงย่อมไม่มีกะจิตกะจิตกะใจจะกินแล้ว ครานี้พวกเขามาที่นี่เพื่อตำแหน่งฮองเฮา ทว่าฮ่องเต้ฮุ่ยเดิมทีก็ไม่ต้องการให้องค์หญิงของพวกเขาเป็นฮองเฮาตั้งแต่แรก
ซ่างกวนจิ่นซิ่วรีบกลืนลูกชิ้นลงไปอย่างรวดเร็ว
นางกระตุกชายเสื้อของเซี่ยเฉิงจิ่น “จิ่นอ๋อง ฮ่องเต้ฮุ่ยตรัสเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
“ความหมายตามตัวอักษร”
“ข้าไม่เข้าใจ!”
“เขามองว่าเจ้าโง่เขลา ไม่เป็นภัยคุกคามต่อเขา ดังนั้นเขาจึงตั้งใจจะให้เจ้าเป็นฮองเฮา”
ซ่างกวนจิ่นซิ่วกะพริบตา แล้วหันไปมองฮ่องเต้ฮุ่ย เมื่อฝ่ายหลังเหลือบมองตน นางจึงก้มหน้าลงด้วยความกลัว
นางหน้าแดงแล้วเอ่ยพึมพำ “แต่ว่า ข้าไม่อาจเป็นฮองเฮาได้”
การเป็นองค์หญิงมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ในครั้งนี้ คนในครอบครัวนางล้วนไม่มีความสุข ทว่านางเป็นสตรีที่ถึงวัยแต่งงานเพียงคนเดียวในบรรดาเชื้อพระวงศ์ ส่วนคนอื่น ๆ หากไม่ใช่บุตรสาวอนุก็เป็นผู้ที่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน หากถูกส่งมาที่นี่ นั่นจะไม่ใช่การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ แต่เป็นการตั้งตนเป็นศัตรู จำต้องรู้ไว้ว่าฮ่องเต้ฮุ่ยนั้นมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ การล่วงเกินเขาไม่ใช่เรื่องดีอะไร
“ผู้ใดจะเกิดมาเพื่อเป็นฮองเฮาเล่า? ครานี้เจ้ามาที่นี่เพื่อแต่งงาน เดิมทีก็เพื่อเข้าวัง ทว่าคนโง่ก็มีโชคดีของคนโง่ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ฮุ่ยจนได้เป็นถึงฮองเฮา”
เดิมทีซ่างกวนจิ่นซิ่วมาที่นี่ตามธรรมเนียมเท่านั้น ไม่นานก็จะได้กลับบ้าน ทว่าตอนนี้นางกลับบ้านไม่ได้แล้ว
“ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่าง นั่นคือเจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ อีกทั้งฮ่องเต้ฮุ่ยก็ให้ความสำคัญกับท่าทีของสกุลลู่มาโดยตลอด เมื่อดูจากท่าทีของสกุลลู่ที่มีต่อเจ้าและองค์หญิงอาณาจักรเหลียงแล้ว แน่นอนว่าหากเป็นเจ้าย่อมเหมาะสมกว่า”
“องค์หญิงจิ่นซิ่ว น้ำองุ่นนี้คนในห้องเครื่องทำโดยมีท่านแม่ข้าสอน ท่านลองชิมดูสิ” เมื่อเห็นว่าซ่างกวนจิ่นซิ่วอารมณ์ไม่ดีนัก ลู่จื่ออวิ๋นจึงพูดคุยเพื่อให้นางรู้สึกสบายใจ
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าเข้าวังมาหาข้าบ่อย ๆ ได้หรือไม่?” ซ่างกวนจิ่นซิ่วเอ่ยถาม
“ย่อมได้” ลู่จื่ออวิ๋นพยักหน้าเบา ๆ “ฮ่องเต้ฮุ่ยเป็นพ่อบุญธรรมข้า เดิมทีเขาต้องการแต่งตั้งข้าเป็นองค์หญิง เพียงแต่ท่านพ่อข้าปฏิเสธ ทว่าข้าเป็นธิดาบุญธรรมของเขา เข้าออกวังหลวงย่อมไม่เป็นปัญหา”
“เช่นนั้น… หากข้าแต่งงานกับฮ่องเต้ฮุ่ยก็นับว่าข้าเป็นแม่บุญธรรมของเจ้าแล้วใช่หรือไม่?” ซ่างกวนจิ่นซิ่วแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ
ลู่จื่ออวิ๋น “…”
เซี่ยเฉิงจิ่นระเบิดหัวเราะออกมา
ลู่จื่ออวิ๋นไม่อาจทนมองเขายินดีกับความโชคร้ายของผู้อื่นได้ ดังนั้นนางจึงเอ่ยด้วยท่าทีสบาย ๆ “ใช่แล้ว! ท่านอ๋องจิ่นและองค์หญิงเป็นญาติกัน ดังนั้นข้าก็ควรเรียกเขาว่าท่านลุงจิ่นอ๋อง!”
เซี่ยเฉิงจิ่น “…”
จู่ ๆ ก็รู้สึกว่างานแต่งครั้งนี้หากไม่สำเร็จคงจะดีกว่า