สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 707 จู่ ๆ ก็อยากเย้าแหย่
บทที่ 707 จู่ ๆ ก็อยากเย้าแหย่
บทที่ 707 จู่ ๆ ก็อยากเย้าแหย่
ณ เมืองหลวง มู่ซืออวี่มองลู่อี้ที่มีสีหน้ามืดครึ้ม และลู่ฉาวอวี่ที่ดูเหมือนปกติ ทว่าแววตากลับเยือกเย็นผิดวิสัยกำลังกินเมล็ดแตงด้วยท่าทีสบาย ๆ
กรุบ! กรุบ!
เมล็ดแตงเม็ดแล้วเม็ดเล่าเข้าปากเขา
“ฉานอี เมล็ดแตงเหล่านี้ซื้อมาจากหลี่จี้หรือ?”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยิน”
“เจ้าไปคุยกับเถ้าแก่หลี่จี้ที หากเขารับรองได้ว่าเมล็ดแตงในอนาคตจะมีรสชาติเช่นนี้ พวกเราจะซื้อจากพวกเขา”
“หากเถ้าแก่หลี่จี้รู้ว่าจะได้ร่วมมือทำการค้ากับพวกเรา ไม่รู้ว่าจะยินดีเพียงใดนะเจ้าคะ ไม่ต้องเอ่ยถึงรสชาตินี้ แม้จะเป็นรสชาติอื่น เขาก็หามาให้พวกเราได้”
“ฮูหยิน” ลู่อี้เอ่ยขึ้น “เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ตามเซี่ยเฉิงจิ่นไปแล้ว เจ้าไม่กังวลใจหรือ?”
“เหตุใดข้าต้องกังวลใจ?” มู่ซืออวี่เอ่ย “นางพาผู้คุ้มกันไปร้อยกว่าคน เรื่องความปลอดภัยไม่ต้องเป็นห่วง ส่วนเรื่องที่ตามเซี่ยเฉิงจิ่นไป อย่างมากก็เพียงไปส่งเขาเที่ยวหนึ่ง”
“หากเซี่ยเฉิงจิ่นลักพาตัวเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์…”
“เขาไม่มีความกล้าเช่นนั้นเป็นแน่ขอรับ” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยขึ้น “หากเขากล้าทำอย่างนั้นจริง ๆ เช่นนั้นก็เท่ากับสร้างความบาดหมางกับสกุลลู่เราโดยสมบูรณ์ เขาคิดจะแต่งกับเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ ย่อมไม่กล้าล่วงเกินสกุลลู่อย่างแน่นอน”
“ความกังวลนำไปสู่ความวุ่นวาย ท่านดูสิ ฉาวอวี่ยังสงบกว่าท่านเสียอีก” มู่ซืออวี่กล่าว
“ครั้งหน้าหากเจอเขา ข้าจะแสดงความเสียใจต่อเขาเอง” ลู่ฉาวอวี่ฉีกยิ้มออกมา
“เอาละ เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ทิ้งจดหมายไว้” มู่ซืออวี่หยิบจดหมายออกมาจากแขนเสื้อส่งให้สองพ่อลูก “นางบอกว่าจะไปเมืองซานหลินเพื่อตรวจดูความคืบหน้าของโรงต่อเรือ พวกท่านวางใจเถอะ นางไม่มีทางหนีตามเจ้าเด็กสกุลเซี่ยไปเป็นแน่”
ลู่อี้และลู่ฉาวอวี่สีหน้าดีขึ้นมาหน่อยแล้ว
ลู่ฉาวอวี่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ “แม้ตอนนี้ยังไม่ถูกลักพาตัว แต่ไม่นานจะต้องถูกลักพาตัวเป็นแน่ หลายปีมานี้นี่เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์หนีตามบุรุษผู้หนึ่งไป”
ลู่อี้จ้องมองลู่ฉาวอวี่
“ท่านพ่อ หลบเลี่ยงไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีผู้ที่เป็นที่หนึ่งในราชสำนัก บางครั้งก็พยายามหลอกตัวเองและผู้อื่น ไม่รู้ว่าจริง ๆ ควรกล่าวว่าเขาไร้เดียงสาดีหรือไม่
“เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรเอ่ยถึงเรื่องแต่งงานแล้วใช่หรือไม่?” ลู่อี้เอ่ย “เช่นนี้จะได้แต่งเร็วขึ้นอีกหน่อย”
มู่ซืออวี่ “…”
เพื่อที่จะไล่ลูกชายตนเองออกไป เขาตั้งอกตั้งใจถึงเพียงนี้เชียว?
ลู่ฉาวอวี่อายุมากเพียงใดกัน จะต้องรีบร้อนเอ่ยเรื่องแต่งงานที่ไหน? จากความเห็นของนาง ไม่ว่าจะเป็นลู่จื่ออวิ๋นหรือลู่ฉาวอวี่ พูดคุยเรื่องแต่งงานนั้นได้ ทว่าไม่จำเป็นต้องแต่งงานเร็วถึงเพียงนั้น ไม่เห็นหรือว่าแม้แต่นางยังไม่ได้เร่งเร้ามู่เจิ้งหานเลย
ลู่ฉาวอวี่ยิ้มน้อย ๆ “ท่านพ่อ ไม่ต้องคิดแล้ว ข้าไม่จากท่านไปไหนแน่นอน”
“เหอะ” ลู่อี้แสดงสีหน้าไม่แยแสออกมา “เจ้าจะติดตามข้าไปไย? ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้ามาติดตามเสียหน่อย”
ในวังหลวง ซ่างกวนจิ่นซิ่วมองไปบนท้องฟ้า เฝ้ามองพระจันทร์ที่กระจ่างอยู่กลางนภายามค่ำคืน
หลีเซียงนำเป็ดย่างมา “พระนางฮองเฮา ท่านบอกว่าจะนำไปให้ฝ่าบาทไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”
ซ่างกวนจิ่นซิ่วก้มหน้าลงมองอีกฝ่าย “หลีเซียงเจ้าจัดนางกำนัลนำไปส่งเถอะ!”
“พระนาง นี่เป็นความต้องการของท่าน ควรเป็นท่านที่ไปส่งนะเจ้าคะ”
“ข้า… ข้าไม่กล้า”
“ไม่กล้าอะไรหรือ?” จู่ ๆ ฟ่านหยวนซีก็ปรากฏตัว
ด้านหลังเขาไม่มีนางกำนัลหรือขันทีตามมา มีเพียงสุนัขสีขาวตัวใหญ่ตัวหนึ่ง สุนัขตัวนั้นใหญ่เป็นพิเศษ ภายในความมืดเห็นเป็นเพียงกลุ่มก้อนขนขนาดใหญ่ มีเพียงบริเวณที่มีไฟสว่างเท่านั้นที่สามารถเห็นได้ชัดเจนว่าสิ่งมีชีวิตเบื้องหน้าเป็นสุนัขตัวโต
ทุกคนคุกเข่าลงถวายบังคม
ซ่างกวนจิ่นซิ่วยังคงนั่งอยู่บนชิงช้า เมื่อเห็นฟ่านหยวนซีปรากฏตัวขึ้น นางจึงรีบกระโดดลงมา
เพียงแต่นางตัวเล็ก อีกทั้งยังตัวเตี้ย ชิงช้ายังสูงใหญ่เพียงนั้น แต่นางกระโดดลงมาด้วยความรีบร้อน ทั่วทั้งตัวจึงแทบล้มคะมำไปข้างหน้า
ฟ่านหยวนซีคว้านางเอาไว้
ซ่างกวนจิ่นซิ่วล้มลงในอ้อมแขนอบอุ่น เงยหน้าขึ้นมองบุรุษตรงหน้าตนเอง
ฟ่านหยวนซีไม่ใช่เด็กหนุ่มแล้ว อายุราวสามสิบกว่า ซ่างกวนจิ่นซิ่วอายุเพียงสิบแปดปี มีช่องว่างระหว่างวัยกับเขามากถึงสิบกว่าปี
นี่เป็นครั้งแรกที่ซ่างกวนจิ่นซิ่วได้ใกล้ชิดกับบุรุษผู้หนึ่งเพียงนี้ อีกทั้งยังได้สัมผัสกับอ้อมแขนอันแข็งแกร่งของบุรุษเพศ นางค่อย ๆ ถอนตัวออกมาจากอ้อมแขนเขาอย่างเอียงอาย
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเสียมารยาทแล้ว”
“ลุกขึ้นเถอะ” ฟ่านหยวนซีเอ่ยด้วยท่าทีสงบ
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
“เมื่อครู่นี้พวกเจ้าคุยกันเรื่องอะไรหรือ?”
หลีเซียงถือโอกาสนี้เอ่ยแทนซ่างกวนจิ่นซิ่ว “ฝ่าบาท ฮองเฮาซื้อเป็ดย่างมาจากนอกวังโดยเฉพาะ กล่าวว่าอยากจะให้ฝ่าบาทได้ลิ้มลองดู ฮองเฮากังวลว่าจะรบกวนการตรวจทานฎีกาของพระองค์ ดังนั้นจึงไม่กล้าไปหาเพคะ”
“อันนี้หรือ?”
“เพคะ”
“เย็นแล้ว ทานไม่อร่อยแล้ว” ฟ่านหยวนซีเอ่ยนิ่ง ๆ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
ซ่างกวนจิ่นซิ่วหลุบตาลง บิดผ้าเช็ดหน้าในมือไปมาแล้วเอ่ยว่า “หม่อมฉันไม่ได้ตรึกตรองให้ถี่ถ้วนเพคะ”
“ช่างเถิด เป็ดย่างเย็น ๆ ไม่อร่อยเท่าเป็ดย่างใหม่ ๆ พวกเราออกไปกินกันเสียก็หมดเรื่อง!” ฟ่านหยวนซีเอ่ยเสียงเรียบ
“อ๊ะ?” ซ่างกวนจิ่นซิ่วเงยหน้าขึ้น ดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ไปสิ!”
“ตอนนี้หรือเพคะ? ดึกดื่นเพียงนี้ ประตูวังคงปิดแล้วกระมังเพคะ!”
“ถ้าข้าบอกให้เขาเปิด ผู้ใดไม่กล้าเปิดบ้าง?” ฟ่านหยวนซีเดินไปได้สองสามก้าว เมื่อเห็นซ่างกวนจิ่นซิ่วยังยืนอยู่ตรงนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างหมดความอดทน “ยืนโง่อะไรอยู่? ยังไม่มาอีก!”
“เพคะ ๆ” ซ่างกวนจิ่นซิ่วรีบเดินตามไป
หลีเซียงกำลังจะตามมา กลับถูกฟ่านหยวนซีบอกให้นางกลับไปก่อน
“แม่นางหลีเซียง มีเพียงฝ่าบาทและพระนางฮองเฮาออกจากวังเพียงสองคน เช่นนี้อันตรายเกินไปแล้วกระมัง” ขันทีเฒ่าเอ่ยด้วยความร้อนอกร้อนใจ
“กงกง ท่านก็เห็นแล้ว ข้าก็อยากตามไปแต่ฝ่าบาทไม่อนุญาต ท่านเป็นคนโปรดข้างกายฝ่าบาท แม้กระทั่งท่านยังไม่กล้าตามไป ต่อให้ข้ากล้าเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าก็ไม่สามารถจริง ๆ”
“เฮ้อ ฝ่าบาทวุ่นวายเกินไปแล้ว” สิ้นคำ ขันทีเฒ่ารีบยกมือปิดปากตนเอง “เมื่อครู่นี้ข้าไม่ได้เอ่ยอะไร พวกเจ้าก็ไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น!”
“กงกง เมื่อครู่นี้ท่านเอ่ยอะไรหรือ?” ขันทีน้อยที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยอย่างประจบประแจง “บ่าวไม่ได้ยินอะไรเลยขอรับ!”
ซ่างกวนจิ่นซิ่ววิ่งเหยาะ ๆ ตามฟ่านหยวนซีมาติด ๆ
ฟ่านหยวนซีได้ยินเสียงข้างหลังจึงหันหน้ากลับไปดู เห็นแม่นางที่เหมือนกระต่ายน้อยผู้หนึ่งวิ่งไปวิ่งมาจนหายใจแทบไม่ทัน ดูไปแล้วทั้งน่าขันทั้งน่าสงสาร
เขาหยุดยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อรอนาง
“ฝ่าบาท…”
“อยู่ข้างนอกไม่อาจเรียกเช่นนั้น เจ้ากลัวว่าจะมีคนไล่ตามไปสังหารข้าน้อยไปหรือ?”
“เช่นนั้นควรเรียกอย่างไรเพคะ?” ซ่างกวนจิ่นซิ่วเอ่ยถาม “นายท่าน?”
“เจ้าเป็นสาวใช้ข้าหรือ?”
“เช่นนั้น… เช่นนั้น…” ซ่างกวนจิ่นซิ่วลอบช้อนตามองเขา เอ่ยออกมาเสียงแผ่ว “สา… มี”
ฟ่านหยวนซีเลิกคิ้วเชยคางซ่างกวนจิ่นซิ่วให้เงยหน้าขึ้น
“เจ้ากำลังกลัวอะไร? ข้าจะกินเจ้าหรืออย่างไร?”
“มิได้ ข้าไม่ได้กลัวเพคะ”
“ไม่ได้กลัว? เช่นนั้นก็เรียกอีกครั้ง”
ใบหน้าเล็ก ๆ ของซ่างกวนจิ่นซิ่วแดงก่ำราวกับผลผิงกั่วสุก โชคดีที่ตอนนี้ไร้แสงไฟ ความเขินอายของนางอาจไม่ถูกสังเกตเห็น
นางคิดว่าฮ่องเต้ฮุ่ยเดิมทีก็เป็นพระสวามี เรียกว่า ‘สามี’ ก็เหมาะสมแล้ว
“สามี!”
ครานี้เจ้าตัวรู้สึกมั่นใจเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าน้ำเสียงยังคงสั่นเทาอยู่บ้าง
ฟ่านหยวนซีไม่มีความตั้งใจที่จะสนใจฮองเฮาที่แต่งเข้าบ้านผู้หนึ่ง เหตุที่เขาเลือกนางเป็นเพราะนางเจริญตากว่าซูฟางหวาผู้นั้นมาก วันนั้นหลังจากพิธีอภิเษกสมรส เขาทิ้งให้ซ่างกวนจิ่นซิ่วอยู่ในห้องหอที่ว่างเปล่าเพียงลำพัง ที่วันนี้มาหานางก็เพราะฉุกคิดขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน อย่างไรเสียวังหลวงที่ใหญ่โตโอ่อ่าเพียงนี้ นอกจากเขาแล้วก็มีเพียงนางที่เป็นนาย ขณะเดียวกันเขาก็แค่อยากดูว่าฮองเฮาที่แต่งมาหมาด ๆ ของตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
ทุกสิ่งหลังจากนั้นล้วนคิดขึ้นมาได้แบบปุบปับ
บัดนี้กลับพบว่า ความรู้สึกที่ได้แกล้งคนนั้นไม่เลวเลย!