สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 717 อันตรายอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 717 อันตรายอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง
บทที่ 717 อันตรายอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง
บทที่ 717 อันตรายอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง
“เช่นนั้นข้าเล่า? เฝิงฉี่เหนียนรู้จักข้า รู้ตัวตนของข้าแต่ยังกล้าตามสังหาร เขาไม่กลัวหรือว่าหากเกิดอะไรขึ้น ท่านพ่อจะส่งคนมาตรวจสอบเรื่อง?”
ลู่จื่ออวิ๋นไม่เข้าใจจุดนี้
“พวกเขาจะไม่ฆ่าเจ้า หลังพวกเขาจัดการข้าแล้ว คงจะแสดงละครวีรบุรุษช่วยสาวงามดี ๆ ขึ้นมาฉากหนึ่ง ถึงตอนนั้นเอาชนะใจเจ้าได้จะดีที่สุด หากไม่ได้ อย่างน้อยก็อาจได้ร่วมมือกับอัครมหาเสนาบดีลู่” เซี่ยเฉิงจิ่นหลุบตาลง ปิดบังเจตนาสังหารในดวงตา
คิดจะฆ่ากันหรือ? ต้องดูก่อนว่าพวกเขามีความสามารถหรือไม่
ถึงขนาดคิดจะใช้อุบายกับสตรีของเขา เช่นนั้นคำว่าตายเพียงคำเดียวย่อมไม่อาจดับไฟโทสะของท่านอ๋องหนุ่มได้
“คนเหล่านี้ช่างน่ารังเกียจจริง ๆ”
“ใช่!” เซี่ยเฉิงจิ่นมองลู่จื่ออวิ๋นที่นั่งอยู่ตรงข้าม “ข้าจะพาเจ้าไปอยู่ที่ที่ปลอดภัยก่อน จัดการเรื่องที่นี่เสร็จแล้วข้าจึงจะไปหา”
“เมืองซื่อไห่ยังมีคนของท่านอีกหรือ?”
“เรื่องเหล่านี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว”
แน่นอนว่าไม่มี
หากมี เขาคงไม่ต้องทำอะไรยุ่งยากเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม อย่าได้เห็นว่าเมืองซื่อไห่มีอำนาจ เพราะเฝิงฉี่เหนียนและแม่ทัพเฉิงไม่ได้ไร้จุดอ่อนอย่างที่คิด
ณ เมืองซานหลิน ลู่เยี่ยยืนอยู่หน้าจวนสกุลฉี เอ่ยกับพ่อบ้านว่า “โปรดแจ้งนายท่านฉีสักครั้ง แจ้งว่าบ่าวจวนลู่ขอเข้าพบ”
ไม่นานพ่อบ้านก็ออกมาเชิญลู่เยี่ยเข้าไปข้างใน
ฉีเซียวกำลังฝึกการเขียนพู่กันอยู่ที่โต๊ะ
สีหน้าเขาดูไม่เลว ดูเหมือนจะฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้เป็นอย่างดี
“มีเรื่องอะไร?”
“ใต้เท้าฉี ข้าน้อยเดิมทีปกป้องคุ้มคุณหนูมาที่เมืองซานหลิน ทว่าระหว่างทางเกิดเรื่องขึ้นแล้ว…”
ลู่เยี่ยอธิบายสถานการณ์โดยรวมให้ฟังคร่าว ๆ
“ข้าน้อยยิ่งคิดยิ่งกังวล กล่าวกันตามหลักเวลาก็ล่วงเลยมานานแล้ว คุณหนูควรมาถึงเสียที ทว่าจนถึงตอนนี้กลับไม่มีข่าวคราว นายท่านกับฮูหยินอยู่ไกล น้ำไกลไม่อาจดับไฟใกล้ ใต้เท้าฉีกับนายท่านของเรามีความสัมพันธ์ค่อนข้างดี ข้าน้อยคิดว่าใต้เท้าฉีจะช่วยชี้แนะได้ ตอนนี้ข้าน้อยควรไปหาคุณหนูที่เมืองซื่อไห่ หรือว่าควรรั้งรอคุณหนูกลับมาที่นี่ดี?”
“เรื่องสำคัญเพียงนี้ แต่เจ้าเพิ่งมาเอ่ยหรือ?” ฉีเซียววางพู่กันในมือลง “เฉิงอิ๋งเฟิงในเมืองซื่อไห่เป็นสายลับของอาณาจักรเหลียง ข้าจับตามองเขามานานแล้ว เพียงแค่รอให้เขาเผยช่องโหว่ให้มากกว่านี้ จึงไม่ได้จัดการเสียที เดิมทีคิดจะจับปลาใหญ่ภายหลัง ตอนนี้ดูเหมือน… จะเก็บปลาตัวนี้เอาไว้ไม่ได้แล้ว”
“คุณหนูอยู่เมืองซื่อไห่มีอันตรายหรือขอรับ?”
“รีบร้อนอะไร? เจ้าบอกว่าเซี่ยเฉิงจิ่นก็อยู่ไม่ใช่หรือ?”
“ขอรับ”
“เจ้าเด็กนั่นมีชีวิตอยู่จนถึงบัดนี้ จะไม่มีความสามารถอะไรเลยได้อย่างไร?” ฉีเซียวลุกขึ้นเอ่ยว่า “ตรวจนับกองกำลัง ข้าจะไปรวบแหที่เมืองซื่อไห่ด้วยตนเอง”
“ขอบคุณใต้เท้า!” ลู่เยี่ยคุกเข่าลงคำนับ
ณ เมืองหลวง ในพระราชวัง ซ่างกวนจิ่นซิ่วเอื้อมมือออกไปรองเกล็ดหิมะแล้วเอ่ยกับหลีเซียงที่อยู่ข้าง ๆ “หิมะตกแล้ว ใกล้ปีใหม่แล้วสินะ หลีเซียง เจ้าว่าญาติผู้พี่ข้าตอนนี้เดินทางถึงที่ใดแล้ว”
“กลับไปยังอาณาจักรเฟิ่งหลินต้องใช้เวลาหลายเดือน เกรงว่าจะกลับถึงบ้านไม่ทันปีใหม่เพคะ” หลีเซียงเอ่ย “พระนางฮองเฮา สวมเสื้อคลุมเถิดเพคะ! วันนี้อากาศหนาวยิ่งนัก”
“ข้าไม่กลัวหนาว”
ขันทีเล็กคนหนึ่งเดินเข้ามาด้านใน “ฮองเฮา บ่าวได้ยินว่าฝ่าบาททรงพระประชวรแล้ว”
“ทรงพระประชวรหรือ?!” หลีเซียงเอ่ยถาม “ท่านหมอหลวงว่าอย่างไร?”
“บ่าวไม่อาจสอบถามมาได้ ฝ่าบาทไม่ชอบให้คนสอดแนมเรื่องพระองค์ คราก่อนมีนางกำนัลลอบสอบถามที่อยู่ของฝ่าบาท นางแสร้งทำเป็นพบฝ่าบาทในอุทยานหลวงโดยบังเอิญจึงสูญเสียตาไปข้างหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
ซ่างกวนจิ่นซิ่วสั่นไปทั้งตัว
นางพอจะได้ยินเหตุการณ์นี้มาบ้างเช่นกัน ครานั้นนางรวบรวมความกล้าที่จะนำอาหารไปให้ฟ่านหยวนซี คิดจะให้เขาได้ลิ้มลองอาหารบ้านเกิดที่นางทำ หลังจากได้ยินว่ามีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น นางก็หวาดกลัวจนอาหารหล่นลงพื้นกระจัดกระจาย ไม่กล้าไปที่นั่นอีก
“ฮองเฮา ท่านไม่ใช่นางกำนัลเล็ก ๆ ท่านเป็นฮองเฮา ฮองเฮาเพียงหนึ่งเดียวของฝ่าบาทนะเพคะ” หลีเซียงเอ่ย “ฝ่าบาททรงพระประชวรแล้ว ผู้อื่นไม่มีคุณสมบัติที่จะสอบถาม แต่ท่านมีนะเพคะ!”
หลังจากเข้าวังมานานถึงเพียงนี้ ฝ่าบาทและฮองเฮายังไม่ทันได้ร่วมหอ หลีเซียงร้อนใจเจียนตายแล้ว
ถึงแม้จะยังไม่มีพระสนมคนอื่น ๆ แต่หากฮองเฮาของพวกนางยังไม่ยอมเปิดใจเช่นนี้ ไม่แน่ฝ่าบาทอาจถูกนางกำนัลเหล่านั้นยั่วยวนได้ทุกเมื่อ
“พี่หญิงหลีเซียงกล่าวได้ถูกต้องนะพ่ะย่ะค่ะ บ่าวก็คิดเช่นนั้นจึงได้มารายงานข่าวนี้กับฮองเฮาทันที”
ซ่างกวนจิ่นซิ่วเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว เช่นนั้นข้าจะไปดูสักหน่อย”
“บ่าวจะไปเตรียมเกี้ยวเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ!”
ซ่างกวนจิ่นซิ่วมายังพระที่นั่งอี้เจิ้งที่ฟ่านหยวนซีมักนั่งตรวจฎีกา
เมื่อนางมาถึง ทั่วทั้งพระที่นั่งกำลังตื่นตระหนก หัวหน้าขันทีเอ่ยด้วยความกระวนกระวายใจ “รีบหา ต้องหาให้พบ!”
“กงกง เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
“พระนางฮองเฮา” หัวหน้าขันทีคุกเขล่าลงทันที “ฝ่าบาทหายไปแล้วขอรับ บ่าวกำลังส่งคนออกไปตามหา”
“ฝ่าบาทไม่ได้ออกไปนอกวังหรือ?” ซ่างกวนจิ่นซิ่วคิดว่าเขาคงเป็นฮ่องเต้ที่ชอบออกไปนอกวังบ่อยที่สุดในพงศาวดาร ในเมื่อหาในวังไม่พบ เช่นนั้นก็คงออกไปเที่ยวเล่นนอกวังแล้ว
นางเริ่มน้อยอกน้อยใจขึ้นมาบ้าง
เหตุใดไม่มาเล่นกับนางเล่า?
นางก็อยากออกไปนอกวังเช่นกัน!
เอาเถอะ! นับตั้งแต่วันนั้นที่เขาพานางออกไปนอกวัง เดิมทีซ่างกวนจิ่นซิ่วก็อยากเป็นฝ่ายแสดงน้ำใจ สร้างสัมพันธไมตรีเป็นสหายเที่ยวเล่นกับเขา ทว่านับตั้งแต่เหตุการณ์นางกำนัลเกิดขึ้น นางก็เกิดอาการกลัวขึ้นมา จึงไม่ได้คว้าโอกาสเอาไว้อีกต่อไป
“บ่าวถามทหารยามหน้าประตูวังแล้วขอรับ ฝ่าบาทไม่ได้ออกจากวัง” หัวหน้าขันทีกลัดกลุ้มแทบตาย
“เช่นนั้นปกติฝ่าบาทชอบไปที่ใด?”
“เรื่องนี้…” หัวหน้าขันทีสั่นศรีษะ
เขาไม่เพียงเป็นฮ่องเต้ที่ชอบออกไปนอกวัง แต่ยังเป็นฮ่องเต้ที่ชอบไปไหนมาไหนคนเดียว เมื่อเดินอยู่รอบ ๆ พระราชวังก็มักจะอยู่ตามลำพัง ไม่ชอบให้คนติดตาม ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดล่วงรู้ความชอบของเขา
“แยกกันหาเถอะ! อย่างไรเสียก็ยังอยู่ในพระราชวัง”
ซ่างกวนจิ่นซิ่วรู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย ฮ่องเต้ไปที่ใดกันแน่?
ด้วยเหตุนี้ นางจึงช่วยค้นหาอีกแรง
“ที่นี่คือ…”
“ฮองเฮา ที่นี่คือพระตำหนักเซียวเหยาพ่ะย่ะค่ะ” หลีเซียงเอ่ย “สัตว์เลี้ยงตัวโปรดของฝ่าบาทอยู่ที่นี่”
“จริงสิ เหตุใดข้าไม่คิดถึงที่นี่กันนะ?” ซ่างกวนจิ่นซิ่วเอ่ย “เป็นไปได้ว่าเขาอาจอยู่ที่นี่”
“แต่…” หลีเซียงยังคงกลัวเล็กน้อย “ที่นี่มีเพียงฝ่าบาทและบ่าวที่ดูแลสัตว์เข้าไปได้นะเพคะ เพราะสัตว์ป่าเหล่านั้นไม่ได้ถูกขังไว้ หากพวกเราเข้าไป เกรงว่าพวกมันอาจจะกินพวกเราเข้าไปในคำเดียวเอาได้”
“เช่นนั้น…” ซ่างกวนจิ่นซิ่วคว้าเสื้อของหลีเซียงเอาไว้ “เจ้าเข้าไปถามบ่าวรับใช้ที่เป็นคนดูแลสัตว์ทีว่าฝ่าบาทอยู่ที่นี่หรือไม่”
“บ่าวจำได้ว่าบ่าวรับใช้ที่ดูแลสัตว์เหล่านั้นอาศัยอยู่ในเรือนเล็ก ๆ ไม่ไกลออกไปเพื่อที่จะได้ดูแลสัตว์เหล่านี้ได้สะดวก” หลีเซียงเอ่ย “ฮองเฮาอย่าได้เข้าไปนะเพคะ ระวังพวกมันจะทำร้ายท่าน บ่าวจะรีบไปรีบมาเจ้าค่ะ”
“ได้”
หลังจากหลีเซียงไปแล้ว ซ่างกวนจิ่นซิ่วแนบตัวลงบนรอยแยกของประตูแล้วมองเข้าไปข้างใน
“เหตุใดไม่มีสิ่งใดเลยเล่า?”
ข้างในเป็นเพียงลานโล่งกว้าง นอกจากหิมะขาวโพลนแล้วก็ไม่เห็นสิ่งใดอีก
แอ๊ด! ประตูเปิดออก ทั้งตัวของนางหล่นเข้าไปข้างใน
สีหน้าของซ่างกวนจิ่นซิ่วเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกราวกับต้องการบอกว่า ‘ชีวิตน้อย ๆ นี้จบสิ้นแล้ว’
ตุ้บ! นางล้มลงกับพื้น
“เจ้าคิดจะนอนอยู่ที่นี่นานเพียงใด?” เสียงแผ่วเบาไร้เรี่ยวแรงเสียงหนึ่งดังขึ้น “หรือเจ้าคิดว่าการใช้ผืนฟ้าเป็นผ้าห่ม ใช้หิมะเป็นเสื่อนอนนั้นดูน่าสนใจจึงอยากนอนอยู่ที่นี่ไปชั่วกาลนาน?”
“ฝ่าบาท…” ซ่างกวนจิ่นซิ่วเงยหน้าขึ้น เห็นว่าเบื้องหน้ามีบุรุษสูงใหญ่ผู้หนึ่งยืนอยู่
“หนาวเกินไป ลุกไม่ขึ้นเพคะ”
อันที่จริงเป็นเพราะนางสวมใส่อาภรณ์หนาเกินไปต่างหาก
ตอนออกมา หลีเซียงสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ให้นางที่สวมเสื้อผ้าหนาเตอะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้นางถูกห่อไปทั้งตัว ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย