สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 72 ฉาวอวี่ตกหน้าผา
บทที่ 72 ฉาวอวี่ตกหน้าผา
บทที่ 72 ฉาวอวี่ตกหน้าผา
ทันทีที่ถังซื่อนั่งลง ผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ นางก็เผยท่าทางรังเกียจ
“พี่สะใภ้ถัง ไม่กลับไปอาบน้ำหรือ?”
“นั่นสิ ถงซื่อกลับไปแล้ว ป่านนี้คงกำลังอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ท่านไม่กลับไปล้างตัวหรือ?”
ถังซื่อบีบตะเกียบแน่น ใบหน้าบิดเบี้ยวจนดูน่ารังเกียจ
แม่เฒ่าเจียงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกล่าวอย่างกระวนกระวายใจ “นั่งงงอะไรอยู่? จะให้เราทานอาหารทั้งที่เจ้ามีสภาพเช่นนี้หรือ? คิดว่าเราจะกินต่อไปได้หรือ?”
ถังซื่อยืนขึ้น ก่อนจะเดินจากไปด้วยความโกรธ
ทันทีที่ถังซื่อเดินออกไป ผู้คนมากมายก็ลุกขึ้นคว้าจานหมูตุ๋น
แม่เฒ่าเจียงหยิบตะเกียบขึ้นมา จานที่เดิมทีมีหมูนับสิบชิ้น ตอนนี้กลับหายไปแล้วห้าชิ้น
“ป้าเจียง ไม่เห็นหรือว่าพวกเรายังไม่ได้กิน?”
“เจ้าจ่ายเงินใส่ซอง ข้าเองก็จ่ายเงินใส่ซองเช่นเดียวกัน เหตุใดข้าจึงต้องเกรงใจพวกเจ้า? พวกเจ้าไม่ได้กินก็เป็นเพราะว่าพวกเจ้าช้าเองไม่ใช่หรือ จะโทษข้าด้วยเหตุใด?” ปากของแม่เฒ่าเจียงเต็มไปด้วยคราบน้ำมัน
ปกติแล้วแม่เฒ่าเจียงเป็นที่เกลียดชังของผู้คน การกระทำของนางในวันนี้ ได้สะสมความเกลียดชังขึ้นไปเรื่อย ๆ
“หากพูดถึงเรื่องฝีมือในการทำอาหาร ฝีมือของมู่ซืออวี่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่านางจะมีฝีมือดีเช่นนี้ แต่ข้าก็ไม่ได้แปลกใจนัก เพราะบ้านของข้าอยู่ใกล้กับบ้านของตระกูลลู่ ข้ามักได้กลิ่นหอมโชยของอาหารตลอดทั้งวันจนทำให้แทบน้ำลายไหล ครั้งหนึ่งลูกผู้หิวโหยของข้าถึงขั้นไปยังหน้าประตูบ้านของนาง เอาแต่จ้องมองอย่างน่าเวทนา แต่มู่ซืออวี่ก็ไม่ได้ใจร้าย พอนางเห็นเด็กน้อยที่กำลังหิวโซก็ยื่นเนื้อให้เขาสองชิ้น”
“มู่ซืออวี่ก็มีจิตใจเมตตาไม่น้อย!”
“เพราะอารมณ์โกรธ นางเลยดูก้าวร้าว ถึงจะจัดการกับถังซื่อแบบนั้น แต่นางก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้าย เทียบกับบางคนแล้ว นางยังมีจิตใจเมตตายิ่งกว่าเสียอีก ลองสังเกตดูเสื้อผ้าที่ถงซื่อสวมใส่ดูสิ นั่นเป็นเสื้อผ้าที่มู่ซืออวี่ซื้อให้ นางยังซื้อรองเท้าใหม่ให้เสี่ยวหานด้วย วันนี้สองแม่ลูกสวมใส่เสื้อผ้ากับรองเท้าใหม่ทั้งชุดเลย”
“ลู่อี้โชคร้ายจริง ๆ ที่ต้องแต่งงานกับหญิงเช่นนี้ ในตอนแรกลู่อี้กับลู่เซวียนก็น่าเวทนาอยู่แล้ว ลู่อี้ยังต้องล่าสัตว์เพื่อหาเลี้ยงชีพ ตอนนี้เขายังต้องดูแลแม่และน้องชายของภรรยาอีก เรื่องนี้ไม่ทำให้เกิดปัญหาระหว่างพวกเขาใช่หรือไม่?”
“ลู่อี้นี่ใจกว้างนัก ข้าไม่เคยเห็นพวกเขามีปัญหาต่อกันเลย ข้ารู้สึกนะว่าความสัมพันธ์ในครอบครัวของพวกเขาไม่ได้เลวร้ายเลย”
“ป้าเจียง จะว่าไปแล้วแม่ฉาวอวี่ก็เป็นหลานสาวของท่านไม่ใช่หรือ หากพวกท่านไม่หันหลังให้กัน ท่านอาจได้รับส่วนแบ่งจากเสื้อผ้าและรองเท้าใหม่นะ”
เหล่าสตรีต่างพูดคุยพลางจ้องมองกันราวกับว่าไม่สนใจอะไรแล้ว
“เจ้าอิจฉาเสื้อผ้าและรองเท้าที่น่ารังเกียจนั่นหรือ? สามีของข้ากำลังจะเป็นเถ้าแก่ในไม่ช้า เมื่อวันนั้นมาถึง มีสิ่งใดบ้างที่เขาไม่อาจซื้อได้? ลูกคนที่สามของข้าก็ได้ทำงานกับคนใหญ่คนโต เงินเดือนของเขาก็มากกว่าผู้คนทั่วไปราวสองเท่า! ผู้ใดจะคิดอิจฉาครอบครัวนั้นกัน?” แม่เฒ่าเจียงกล่าวด้วยแววตาเย้ยหยัน
ถงซื่อออกจากตระกูลมู่ทำให้นางต้องทำไร่ทำสวนทุกวัน นอกจากปวดหลังแล้ว ตาก็ยังพร่ามัว สุขภาพย่ำแย่ลงอย่างต่อเนื่อง ใช่ว่าลูกสาวและลูกเขยจะดูแลนางได้ดี
มู่ต้าซานยกเหล้าขึ้นจิบ
หลายคนที่อยู่เคียงข้างรู้ดีว่าเขาสูญเสียภรรยาไป อีกทั้งยังขาดการติดต่อจากลูกชายและลูกสาว เขาจึงกลายเป็นคนรักสันโดษไปเสียแล้ว
“พี่ต้าซาน อย่าเพิ่งดื่มแต่หัววัน ทานอาหารก่อนเถอะ”
“ขอบใจ”
มู่ต้าไห่กล่าวตักเตือนว่า “จะดื่มรึ? หลังจากนี้ยังมีงานให้ต้องทำอีกมาก”
มู่ต้าซานรู้สึกโกรธเคืองในใจ โกรธทั้งตัวเอง แม่ และพี่ชาย แต่เขาก็ไม่ได้แสดงด้านที่แข็งกร้าวออกมา “ดื่มเหล้าเพียงหนึ่งจิบจะเป็นอะไรไป? หากไม่มีข้าแล้วการทำงานที่ว่าจะดำเนินไปไม่ได้หรือ? หากไม่มีข้า ทุกคนก็ใช้ชีวิตได้ตามปกตินั่นแหละ วันนี้เป็นวันแห่งความสุขของต้าจู้ เจ้าก็เป็นอีกคนที่อยากจะทำลายวันนี้หรือ?”
มู่ต้าไห่ดูถูกน้องชายผู้นี้มาโดยตลอด และนี่เป็นครั้งแรกที่น้องชายทำให้เขาอับอายต่อหน้าผู้คนมากมาย สีหน้าของเขาถึงกับซีดเผือด
“เช่นนั้นข้าก็จะไม่สนใจเจ้า ต่อให้ดื่มจนตายก็เป็นเรื่องของเจ้า”
มู่ซืออวี่ออกไปตามหาฉาวอวี่ นางตามหาในละแวกใกล้เคียงไม่พบจึงกลับไปหาที่บ้าน แต่สุดท้ายก็ยังไม่พบ นางสงสัยว่าเขาอาจไปเล่นกับเด็กในครอบครัวของลู่ต้าจู้ แต่เมื่อสอบถามดูแล้วก็ไม่มีผู้ใดพบเห็น
ขณะที่กำลังเดินทางกลับ นางก็พลันเห็นเด็กสองคนวิ่งลงมาจากบนภูเขาด้วยความตื่นตระหนก
“พวกเจ้าเห็นลู่ฉาวอวี่หรือไม่?” มู่ซืออวี่ถามเด็กทั้งสอง
สีหน้าของเด็กทั้งสองซีดเซียวยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินชื่อ ‘ลู่ฉาวอวี่’
เด็กคนหนึ่งที่มีรูปร่างผอมบางไม่อาจทนต่อการข่มขู่ของมู่ซืออวี่ได้ เขาจึงชี้ขึ้นไปบนภูเขาพลางเอ่ยว่า “เขาขึ้นไปบนภูเขา”
“เขาขึ้นไปทำอะไรบนภูเขา?” มู่ซืออวี่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างจึงเอ่ยถามต่อไปว่า “มีผู้ใดขึ้นไปบนภูเขาอีกบ้าง?”
“พวกเราพนันกันว่า ผู้ใดที่ขึ้นไปบนภูเขาเพื่อเก็บดอกไม้สีฟ้าจะได้เป็นหัวหน้า คนอื่น ๆ ต้องเชื่อฟังเขา”
“ดอกไม้ที่ว่านั้นหายากหรือ?”
“ยาก มันอยู่บนหน้าผา”
“แล้วฉาวอวี่ขึ้นไปบนภูเขาคนเดียวหรือ?”
“ไปพร้อมกับเถี่ยโถว”
“แล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงลงมาจากบนภูเขา?” มู่ซืออวี่จ้องมองเด็กทั้งสองด้วยสายตาเฉียบคม
“เพราะเราหวาดกลัวสัตว์ร้ายบนภูเขา ฮึก…” เด็กคนหนึ่งกล่าวพลางร่ำไห้
มู่ซืออวี่ไม่เสียเวลาอีกต่อไป นางวิ่งขึ้นไปบนภูเขาทันที
ภูเขานี้ไม่ใหญ่นัก ตำแหน่งของหน้าผาก็หาได้ไม่ยาก นางเดินไปตามทางที่เคยมาเพื่อค้นหาลูกชาย
“ฉาวอวี่… ลู่ฉาวอวี่…”
“ฉาวอวี่ ได้ยินข้าหรือไม่? เถี่ยโถว หากได้ยินก็ตอบข้าด้วย”
มู่ซืออวี่ตะโกนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงของใครบางคนตอบกลับอย่างกระวนกระวาย “พวกเราอยู่ที่นี่ เร็วเข้า ฉาวอวี่จะทนไม่ไหวแล้ว…”
ณ ขอบหน้าผา เถี่ยโถวจับมือลู่ฉาวอวี่ไว้แน่นพลางกล่าวว่า “ฉาวอวี่ อย่าปล่อยมือข้า ข้าได้ยินเสียงของแม่เจ้าแล้ว”
ใบหน้าของลู่ฉาวอวี่แดงก่ำเพราะออกแรงมากเกินไป แววตาของเขาเผยความงุนงง “แม่ข้ารึ…”
“ใช่แล้ว แม่ของเจ้ากำลังมา ข้าได้ยินเสียงนาง” เถี่ยโถวกล่าวอย่างกระวนกระวาย “อย่าปล่อยมือข้า อย่าปล่อย…”
“นางเป็นเพียงแม่ที่ให้กำเนิดเรามา แต่นางไม่เคยรักเรา แม่เช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร? ข้าไม่มีแม่…” เมื่อหวนนึกถึงอดีต ความมุ่งร้ายก็ฉายชัดในแววตาของลู่ฉาวอวี่ “ต่อให้ข้าตกลงไปแล้ว คิดว่านางจะเสียใจหรือ?”
“อย่าทำให้ข้ากลัวสิ!” เถี่ยโถวเบิกตากว้าง “หากทำเช่นนั้น พ่อแม่ข้าต้องทุบตีข้าจนตายเป็นแน่”
“ฉาวอวี่!” มู่ซืออวี่วิ่งเข้ามาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นพอดี
เถี่ยโถวจับหินไว้แน่นด้วยมือข้างหนึ่ง ในขณะที่มืออีกข้างของเขาดึงลู่ฉาวอวี่ที่กำลังห้อยอยู่ข้างล่าง
ร่างของลู่ฉาวอวี่ลอยอยู่ท่ามกลางอากาศ โดยมีป่าขนาดใหญ่อยู่เบื้องล่าง
เมื่อเห็นมู่ซืออวี่รีบวิ่งเข้ามาจนรองเท้าหลุดหาย ลู่ฉาวอวี่ก็โผล่หัวขึ้นมาจากบนหน้าผา
นางมาแล้ว!
นางเป็นห่วงเขาด้วยหรือ?
เนื่องจากมู่ซืออวี่เป็นผู้ใหญ่แล้ว และลู่ฉาวอวี่ก็ไม่ได้มีน้ำหนักตัวมากนัก นางจึงช่วยเถี่ยโถวดึงเขาขึ้นมาได้
รอยฟกช้ำปรากฏทั่วร่างกายของลู่ฉาวอวี่ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงนัก
มือของเถี่ยโถวได้รับบาดเจ็บ เขาทำได้เพียงสูดลมหายใจด้วยความเจ็บปวด
มู่ซืออวี่กอดลู่ฉาวอวี่ไว้แน่นพลางกล่าวเสียงสั่น “เด็กโง่ เจ้าไม่อยากมีชีวิตต่อแล้วหรืออย่างไร เช่นนั้นก็บอกข้า ข้าจะได้ช่วยสนองให้ เหตุใดถึงมาที่นี่แล้วทำให้ข้าต้องกลัวด้วย ข้ากลัวแทบตายอยู่แล้ว ข้าต้องล้มลุกคลุกคลานเพื่อมาหาเจ้า รู้หรือไม่ว่าอันตรายมากแค่ไหน? เด็กโง่! เจ้าคิดว่าตนเองเป็นแมวเก้าชีวิตหรืออย่างไร…”
เสียงพร่ำบ่นด้วยประโยคเดิมถูกกล่าวซ้ำไปซ้ำมา ทั้งยุ่งเหยิง สับสน และไร้เหตุผลเป็นอย่างยิ่ง
ทว่า…
แววตาของลู่ฉาวอวี่ราวกับปรากฏแสงสว่าง
เด็กวัยนี้สามารถจดจำและเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย เพียงแค่เขาไม่พูดถึง
ปมในใจนั้นไม่ง่ายนักที่จะคลี่คลาย แต่ความโกรธแค้นที่เคยมีในใจก็คลี่คลายลงบ้างแล้ว