สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 724 ปีใหม่มาถึงพร้อมการจากลา
บทที่ 724 ปีใหม่มาถึงพร้อมการจากลา
บทที่ 724 ปีใหม่มาถึงพร้อมการจากลา
เซี่ยคุนและฉีเซียวยังมีเรื่องต้องจัดการ ลู่จื่ออวิ๋นจึงทำได้เพียงรออยู่ที่เมืองซื่อไห่ให้พวกเขาจัดการเรื่องราวเสร็จก่อนค่อยกลับไปพร้อมกัน
บังเอิญว่าช่วงนี้เป็นช่วงปีใหม่พอดี หิมะจึงตกลงมาอย่างหนัก ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยภาพการหวนกลับมาพบกัน
เซี่ยเฉิงจิ่นและลู่จื่ออวิ๋นใช้เวลาช่วงปีใหม่ด้วยกันในเมืองซื่อไห่ ทั้งสองผ่อนคลายไปกับบรรยากาศที่ไร้เรื่องราววุ่นวาย
เซี่ยคุนและฉีเซียวเห็นว่าปีใหม่นี้เป็นโอกาสอันดี ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงพาคนลอบเข้าไปในอาณาเขตของอาณาจักรเหลียง
ในเมืองซื่อไห่ไร้โจรชั่วช้าเลวทราม ราษฎรต่างเฉลิมฉลองปีใหม่ด้วยความกระตือรือร้นมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ดังนั้นในเมืองจึงเต็มไปด้วยแสงไฟและภาพฉากหลากสีสัน ใบหน้าของผู้คนเปี่ยมไปด้วยความหวังอันเปล่งประกาย
“นี่อะไร?” ลู่จื่ออวิ๋นเห็นเซี่ยเฉิงจิ่นสวมบางสิ่งลงบนมือนาง
เมื่อก้มหน้าลงไปจึงเห็นว่าเป็นกำไลวงหนึ่ง
กำไลวงนี้มีรูปร่างอย่างพระจันทร์เสี้ยว
เซี่ยเฉิงจิ่นสั่นกำไลที่ข้อมือตนแล้วเอ่ยว่า “ข้าก็มีแบบเดียวกัน”
“ไยท่านจึงมอบสิ่งนี้ให้ข้า?” ลู่จื่ออวิ๋นคิดจะถอดมันออก ทว่าถอดอย่างไรก็ถอดไม่ได้ ราวกับมีกลไกอะไรบางอย่างอยู่
ไม่ใช่ราวกับสิ ต้องมีแน่ ๆ!
คุณหนูใหญ่ลู่พยายามอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังคงถอดไม่ออก นางทำได้เพียงกล่าวด้วยความมั่นใจว่ากำไลวงนี้จะต้องมีกลไกอะไรบางอย่าง
“ถอดไม่ได้” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “ข้าเองก็ถอดไม่ได้เช่นกัน ขอเพียงแค่ใส่ก็จะถอดไม่ได้แล้ว”
“ท่านไม่กลัวว่าข้าจะโกรธหรือไร?” ลู่จื่ออวิ๋นจ้องมองเขา
“นีเป็นเพียงของขวัญชิ้นหนึ่ง” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “หากเจ้าไม่ชอบ ด้วยความสามารถของฮูหยินลู่ นางจะต้องถอดออกได้เป็นแน่ แต่เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ ข้ายังหวังว่าครั้งถัดไปที่พบเจ้า เจ้าจะยังคงสวมมันอยู่ เช่นนั้นข้าถึงจะมีความกล้าเอ่ยคำพูดที่ยังไม่ทันเอ่ยออกมาให้จบ”
ลู่จื่ออวิ๋นลังเลไปชั่วครู่ “เอาเถอะ อีกเดี๋ยวท่านก็ต้องกลับแล้ว สองสามวันนี้พวกเราก็มาเที่ยวเล่นให้สนุกเถอะ เรื่องอื่นไม่ต้องคิดมากแล้ว”
“ได้” เซี่ยเฉิงจิ่นสวมหมวกม่านโปร่งให้นางเพื่อกันลมและหิมะจากข้างนอก “ข้ารู้จักสถานที่หนึ่งซึ่งมีเหมยแดงงดงามเป็นพิเศษ”
หลายวันต่อมา เซี่ยเฉิงจิ่นจึงจากไปเช่นนั้น
ตอนที่ฉีเซียวมายังเมืองซื่อไห่ คนของเขาก็ตามมาด้วยตั้งแต่แรก เจ้าตัวจึงไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปยังเมืองซานหลินอีก แต่สามารถออกไปจากเมืองซื่อไห่ได้ทันที
ลู่จื่ออวิ๋นรั้งอยู่ที่เมืองซื่อไห่เพื่อรอให้ผู้อาวุโสทั้งสองกลับมา
ครึ่งเดือนต่อมา เซี่ยคุน ฉีเซียว และลูกน้องก็กลับมาพร้อมกับข้าวของมากมาย
“คุณหนู ข้าได้ยินจากทหารที่ตามไปปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ พวกเขากล่าวว่าเบี้ยเลี้ยงทหารของทางอาณาจักรเหลียงถูกขโมย แม้แต่เสบียงก็ไม่เว้น” ติงเซียงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าฉีและแม่ทัพเซี่ยใช้อาวุธที่เหลือจากค่ายอินทรีย์ดำ กำลังคนกว่าครึ่งก็เคยอยู่ในค่ายอินทรีย์ดำมาก่อน อาณาจักรเหลียงกล่าวว่าเป็นฝีมือทหารของพวกเรา แต่ไม่อาจหาหลักฐานใด ๆ มาได้ ข้ายังได้ยินว่าเหล่าคหบดีผู้มั่งคั่งในเมืองไป๋เยวี่ยก็ถูกปล้นเช่นกัน พวกเขาขวางอยู่หน้าศาลว่าการเมืองไป๋เยวี่ยเพื่อร้องขอคำอธิบาย บอกว่าแม้กระทั่งโจรป่าทางการก็จับไม่ได้ ทำให้พวกเขาต้องเสียหายอย่างหนักเช่นนี้”
“ข่าวคราวของเจ้าช่างไวยิ่งนัก” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “คนทางเมืองไป๋เยวี่ยคงรู้แล้วว่าที่ลงมือคราวนี้เป็นกองกำลังของพวกเรา พวกเขาไม่กล้าสร้างปัญหา เพราะเกรงว่าจะถูกพวกท่านลุงเซี่ยจับเอาไว้”
“ไร้หลักฐาน รู้ไปก็ไร้ความหมาย อย่างไรเสียทุกอย่างก็ต้องมีหลักฐานยืนยัน” ติงเซียงเอ่ย “จริงสิ เมื่อครู่นี้คนข้างกายแม่ทัพเซี่ยเพิ่งบอกว่าสามวันให้หลังพวกเราจะกลับเมืองหลวง”
“กลับเมืองหลวง?”
“ใช่แล้ว! บ่าวถามว่าเหตุใดไม่ใช่เมืองซานหลิน คนผู้นั้นบอกว่าแม่ทัพเซี่ยกำชับมาเช่นนี้”
“เช่นนั้นก็กลับเมืองหลวงเถอะ!” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย
ขุนนางที่จะมารับหน้าที่ที่เมืองซื่อไห่มาถึงก่อนที่เซี่ยคุนจะจากไป
ขุนนางพลเรือนหนึ่งคน แม่ทัพหนึ่งคน
อีกทั้งแม่ทัพผู้นั้นยังเป็นรองผู้บัญชาการของท่านแม่ทัพซูเซิ่ง
หลังจากฟ่านหยวนซีขึ้นครองราชย์ ขุนนางฝ่ายลู่อี้ก็ได้รับตำแหน่งที่สำคัญ หากยามนี้ลู่อี้ต้องการกบฏ เกรงว่าครั้งนี้คงไม่ยากแล้ว
อย่างไรก็ตาม ฟ่านหยวนซี ฮ่องเต้องค์ใหม่ที่เลื่องชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมกลับไม่ได้ทุกข์ร้อนจาก ‘ความหวาดระแวง’ ที่ฮ่องเต้ส่วนใหญ่มักเผชิญแม้แต่น้อย เขากลับวางใจมอบอำนาจมากมายเพียงนั้นให้ลู่อี้
หลายวันต่อมา ท่ามกลางลมและหิมะ เซี่ยคุนและฉีเซียวยังคงพาลู่จื่ออวิ๋นกลับไปยังเมืองหลวง
เพราะปีใหม่เพิ่งผ่านพ้นไป ทุกสิ่งทุกอย่างจึงยังคงคึกคักเป็นอย่างมาก การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้รีบร้อน สองผู้อาวุโสจึงพาหนึ่งแม่นางน้อยเที่ยวเล่นระหว่างทางไปพลาง ๆ
เซี่ยคุนข้างกายเหน็บกระบี่ ด้านหลังมีทหารของตนติดตาม
ฉีเซียวไม่ได้พกกระบี่มาด้วย ทว่าเครื่องแต่งกายของหน่วยลับนั้นเด่นเป็นสง่าเกินไป อีกทั้งหน้ากากที่เขาสวมใส่ก็น่ากลัวยิ่งนัก นอกจากนี้ ข้างหลังเขายังมีลูกน้องในเครื่องแต่งกายเช่นเดียวกันตามมาเป็นพรวน ผู้คนรอบ ๆ จึงพร้อมใจกันแหวกทางให้เมื่อพบเห็น
แม่นางน้อยที่อยู่ด้านหน้าพาสาวใช้ไปซื้อข้าวของด้วยความดีอกดีใจ เมื่อนางเห็นสิ่งใดที่น่าสนใจก็จะหยุดดู ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่านางไม่ค่อยได้ออกมาเที่ยวเล่นข้างนอก มิหนำซ้ำครั้งนี้ยังได้พบเห็นทิวทัศน์สวยงามมากมายที่นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน
“ท่านอาฉี แหวนหยกนี้งามมาก เข้ากับบุคลิกของท่านได้ดียิ่ง”
มันเป็นแหวนหยกสีดำวงหนึ่ง แกะสลักด้วยราชสีห์สีแดง
ราชสีห์ไม่ได้สื่อถึงเพียงอำนาจ แต่ยังทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงความมั่งคั่งด้วย
ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวว่ามันเหมาะกับบุคลิกของเขา นั่นเพราะรู้สึกว่าฉีเซียวให้กลิ่นอายของผู้สูงศักดิ์ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่เต็มไปด้วยรังสีสังหาร ถึงแม้เขาจะดูโหดเหี้ยม แต่นางก็รู้สึกได้ว่าท่านอาฉีผู้นี้จะต้องหน้าตาดีมากเป็นแน่
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ เจ้ามอบของขวัญให้เขาหรือ?” เซี่ยคุนขมวดคิ้ว ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
หากกล่าวถึงความรู้สึกแล้ว เขามองเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์มาตั้งแต่เล็กจนโต กระทั่งจนถึงบัดนี้เคยได้รับเพียงเสื้อผ้าและอาหาร ทว่าไม่เคยได้รับ ‘ของขวัญ’ เลย
ฉีเซียวรับไว้ แล้วหันกลับไปมองเซี่ยคุนอย่างท้าทาย “ของขวัญชิ้นนี้ดีที่สุดที่ข้าเคยได้รับ ขอบคุณอวิ๋นเอ๋อร์”
เซี่ยคุนกำลังโมโห ทว่าเดิมทีเขาก็ดูโหดเหี้ยมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หน้าตาโมโหเช่นนี้ดูไปแล้วจึงเหมือนอยากจะฆ่าใครสักคน
ลู่จื่ออวิ๋นหยิบจี้หยกชิ้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อของนาง โบกไปมาตรงหน้าเซี่ยคุน “สิ่งนี้ให้ท่านลุงเซี่ย แต่ข้าว่าลุงเซี่ยคงไม่ชอบมันนัก ดังนั้น…”
“ผู้ใดกล่าวว่าไม่ชอบเล่า?” เซี่ยคุนรับไปแล้วจึงเอ่ยว่า “จี้หยกชิ้นนี้คุณภาพดีไม่เลวเลย!”
แน่นอนว่าคุณภาพของจี้หยกต้องไม่เลว อย่างไรเสียลู่จื่ออวิ๋นก็มีสายตาแหลมคม สิ่งของธรรมดาย่อมไม่เข้าตานาง
“เมื่อครู่นี้ไม่เห็นเจ้าซื้อจี้หยก” เซี่ยคุนเอ่ย “นี่ซื้อมาตั้งแต่เมื่อใดหรือ?”
“เมืองซื่อไห่น่ะสิเจ้าคะ!” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ตอนที่เห็นลวดลายบนจี้หยกชิ้นนี้ ข้าก็คิดว่าเหมือนท่านลุงเซี่ยเป็นอย่างมากจึงซื้อมันมาด้วย”
ตอนนี้เองเซี่ยคุนถึงได้พบว่าลวดลายบนจี้หยกนั้นเป็นหมาป่าตัวหนึ่ง
แม้จะเป็นหมาป่า ทว่าท่าทีของมันเหมือนกับเขาจริง ๆ
ติงเซียงไม่อาจเข้าใจได้อีกต่อไป
ท่านขุนนางตำแหน่งใหญ่โตสองท่านนี้ นึกไม่ถึงว่าจะมีนิสัยราวกับเด็ก ๆ
ครึ่งเดือนให้หลัง พวกเขาก็กลับมาถึงเมืองหลวงได้ในที่สุด
ลู่จื่ออวิ๋นเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวง ส่วนซูจือหลิ่วก็เพิ่งออกมาจากในจวน
ยามนี้หิมะยังไม่ละลาย และเพราะท้องที่ใหญ่โต นางจึงแทบไม่ได้ออกมาด้านนอก แต่เมื่อได้ยินว่าลู่จื่ออวิ๋นกลับมาแล้ว ซูจือหลิ่วจึงมาถึงจวนอัครมหาเสนาบดีด้วยความระมัดระวัง
ในขณะที่เดินทางออกมาก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ ระหว่างทางรถม้าลื่นไถลไปครู่หนึ่งส่งผลให้นางตกใจ เด็กในท้องจึงเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
“เช่นนั้นตอนนี้อยู่ที่ใด?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถาม
“บ่าวรับใช้พาฮูหยินเข้ามาแล้วเจ้าค่ะ อีกประเดี๋ยวก็จะมาถึงเรือนหลักแล้ว”
“นายท่านรองก็มีห้องอยู่ในจวน พานางไปที่ห้องของนายท่านรอง” มู่ซืออวี่เอ่ย “เชิญหมอตำแยกับท่านหมอมาแล้วหรือไม่? รีบจัดการเรื่องเหล่านี้โดยเร็ว ส่งคนไปเชิญนายท่านรองมา!”