สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 727 นิสัยไม่เหมือนผู้อื่น
บทที่ 727 นิสัยไม่เหมือนผู้อื่น
บทที่ 727 นิสัยไม่เหมือนผู้อื่น
ณ จวนอัครมหาเสนาบดี มู่ซืออวี่ออกมาจากห้องของซูจือหลิ่ว กำลังจะไปที่ห้องครัวเพื่อดูน้ำแกงที่ทำวันนี้ แต่กลับได้ยินเสียงของลู่จื่อชิงดังมาก่อน
เสียงของลู่จื่อชิงค่อนข้างมีเอกลักษณ์ น้ำเสียงมีทั้งความอ่อนหวานตามแบบฉบับเด็กหญิงและมีความร่าเริงตามแบบฉบับเด็กชาย เสียงใสกระจ่างของนางดังข้ามเรือนมา
“แมลงตัวนี้น่าสนใจยิ่งนัก มันจะโตขึ้นเท่าเสี่ยวไป๋ รอมันโตเท่าเสี่ยวไป๋แล้ว พวกเราก็จะนอนกอดมันได้”
“มันเป็นแมลง ตัวโตเท่าเสี่ยวไป๋ไม่ได้” เสียงไม่คุ้นหูของเด็กคนหนึ่งดังขึ้น
“นั่นใคร?” มู่ซืออวี่เอ่ยถามซางจือ
ซางจือตอบ “คุณชายน้อยของผู้ตรวจการซ่งเจ้าค่ะ จวนพวกเขาอยู่ฝั่งตรงข้ามเรานี่เอง”
“ผู้ตรวจการซ่ง? ผู้ตรวจการซ่งที่ไม่รู้จักยืดหยุ่น ผู้ตรวจการซ่งที่ไม่ว่าผู้ใดก็กล้ายื่นฎีการ้องเรียนผู้นั้นน่ะหรือ? ข้าได้ยินว่าแม้แต่ท่านอัครมหาเสนาบดีลู่ของเรายังเคยถูกเขาร้องเรียนมาแล้ว”
“เป็นใต้เท้าที่ร้ายกาจผู้นั้นแหละเจ้าค่ะ เขาเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์เที่ยงธรรม แม้กระทั่งฝ่าบาทยังทำอะไรเขาไม่ได้”
“จวนฝั่งตรงข้ามราคาไม่น้อย ผู้ตรวจการซ่งโด่งดังเรื่องสองแขนเสื้อใสสะอาด*[1] เขามีกำลังซื้อหรือ?”
“ฮูหยินผู้นั้นของเขาเป็นผู้ทำการค้าเช่นกันเจ้าค่ะ อีกทั้งกิจการยังไปได้ดีทีเดียว”
มู่ซืออวี่เข้าใจขึ้นมาแล้ว “ที่แท้ก็มีภรรยาดี”
พวกนางสองคนแอบชะโงกหน้าออกไปมองเด็ก ๆ ที่กำลังเล่นอยู่ในสวน
นอกจากลู่จื่อชิง ลู่ฉาวจิ่ง และเซี่ยเสี่ยวอันแล้ว เด็กตัวอ้วนกลมอีกคนคงเป็นลูกของผู้ตรวจการซ่ง
ลู่จื่อชิงหลอกผู้อื่นไม่สำเร็จจึงรู้สึกอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา นางเท้าสะเอวแล้วเอ่ยกับเด็กตัวอ้วนผู้นั้น “ซ่งหานจือ วันนั้นเจ้าบอกว่าข้าเป็นลูกพี่ เจ้าก็ต้องเชื่อฟังคำพูดของข้าสิ เจ้าจะกลืนน้ำลายตัวเองหรือ?”
ซางจือเดาะลิ้น “คุณหนูรองช่างร้ายกาจจริง ๆ อายุน้อยเพียงนี้ยังรู้จักสำบัดสำนวนแล้ว”
มู่ซืออวี่ “…”
พี่ชายพี่สาวของนางช่วยงานครอบครัวได้มากมายตั้งแต่ยังเยาว์ ด้านการเล่าเรียนเขียนอ่านทั้งสองคนก็ยอดเยี่ยมยิ่ง
นอกจากนี้ เมื่อฟังจากวาจาที่กล่าว ลู่จื่อชิงดูเหมือนเด็กหญิงที่ใดกัน?
“ไม่ใช่! ท่านพ่อข้าบอกว่า ชายชาตรีหนึ่งคำหลุดจากปาก สี่ม้ายากตามกลับคืน”
“เช่นนั้น หากข้าบอกว่าแมลงตัวนี้สามารถโตเท่าเสี่ยวไป๋ได้ เจ้าจะเชื่อหรือไม่?”
เสี่ยวไป๋คือสุนัขที่พ่อบ้านเลี้ยงเอาไว้
“เพียงแต่ จะเป็นไปได้อย่างไรที่แมลง…”
“ดีนัก! ซ่งหานจือ เจ้ายังไม่เชื่อคำพูดลูกพี่ของเจ้าอีก”
มุมปากของมู่ซืออวี่กระตุก
ในขณะที่ซางจือกลั้นหัวเราะเต็มที่
“ซางจือเอ๋ย เจ้าเด็กคนนี้ใช่ลูกของข้าหรือไม่? เหตุใดนิสัยถึงได้แตกต่างจากพี่น้องขนาดนี้?”
“ฮูหยิน ยอมรับโชคชะตาเถอะเจ้าค่ะ นี่เป็นลูกที่ท่านคลอดออกมาเอง” ซางจือเอ่ย “คุณหนูรองของพวกเราน่ารักมากเลยนะเจ้าคะ!”
“น่ารัก… น่ารักทีเดียว นางถึงกับทำให้ลูกบ้านอื่นสับสนได้” มู่ซืออวี่ส่ายศีรษะเบา ๆ “ช่างเถอะ เจ้าไปช่วยปลอบคุณชายน้อยสกุลซ่งผู้นั้นให้ดีหน่อยก็แล้วกัน!”
คืนนั้นเอง ลู่อี้อยู่ในห้องตำราเป็นเวลานาน เมื่อเห็นว่าดึกมากแล้วแต่สามียังไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาที่ห้อง มู่ซืออวี่ที่รออยู่นานก็ทนไม่ไหว ตรงไปลากเขามาด้วยตนเอง
“ดูซิว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ท่านอัครมหาเสนาบดีลู่ถึงไม่แม้กระทั่งกลับไปที่ห้องของตนเอง” มู่ซืออวี่เปิดประตูเดินเข้าไป “หรือว่าในห้องตำรามีหญิงงามคอยปรนนิบัติ?”
“เหลวไหล” ลู่อี้เห็นนางจึงวางพู่กันในมือลง “ยังมีเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ทันได้จัดการ ตอนนี้เรียบร้อยแล้ว พวกเรากลับห้องเถอะ!”
“ได้ยินบ่าวบอกว่า ตอนที่ท่านกลับมาสีหน้าไม่สู้ดีนัก ราวกับถูกคนทำให้โกรธ แปลกจริง เป็นผู้ใดกันที่ทำให้ท่านอัครมหาเสนาบดีลู่โกรธได้? ข้ายิ่งนึกยิ่งสงสัยแล้ว”
“คนผู้นี้อยู่ใกล้ยิ่งนัก เขาอยู่ฝั่งตรงข้ามนี่เอง” ลู่อี้กล่าว “ข้าให้ฝ่าบาทถอนฝ่ายตรวจการนี่ไปเลยดีหรือไม่? คนเหล่านั้นรู้จักเพียงโต้เถียงทั้งวี่ทั้งวัน น่ารำคาญจริงเชียว”
“หากท่านเขียนฎีกาถึงฝ่าบาท ฝ่าบาทอาจถอดออกไปจริง ๆ ก็ได้ เพียงแต่นี่จะกลายเป็นความผิดร้ายแรง” มู่ซืออวี่นวดไหล่ให้ลู่อี้แล้วเอ่ยอย่างอบอุ่น “ฝ่ายตรวจการเป็นขุนนางที่รับผิดชอบในการทักท้วงตักเตือน การมีตัวตนของพวกเขามีทั้งผลดีและผลเสีย ผลดีคือสามารถทักท้วงตักเตือนคนที่ทำหน้าที่ไม่ดีได้ ผลเสียคือผู้ตรวจการไม่ได้มองทุกสิ่งได้ครอบคลุมเพียงนั้น ย่อมหลีกเลี่ยงที่จะมองคนเพียงผิวเผินไม่ได้”
มู่ซืออวี่โอบแขนรอบคอลู่อี้ โผล่หน้าออกมาจากด้านหลัง มองดูใบหน้าหล่อเหลาที่เริ่มมีริ้วรอยบ้างแล้ว “แทนที่จะปฏิเสธหมากกระดานนี้ ไม่สู้แก้หมากกระดานนี้เสียเลยเล่า”
“เจ้าหมายถึง…”
“วางตัวผู้ตรวจการสองคนลงในแต่ละกรมกอง พวกเขาจะได้เข้าใจกระบวนการทำงานของแต่ละกรมกองมากขึ้น หากพวกเขาต้องการร้องเรียนเรื่องใดจะต้องให้ผู้ตรวจการสองคนนั้นอนุญาตเสียก่อน คิดจะร้องเรียนเพียงผู้เดียวนั้นไม่ได้ ต้องได้รับการลงนามประทับตราจากทั้งสองคนพร้อมกันเพื่อให้มีผลบังคับใช้ เช่นนี้ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงการหลับหูหลับตาก่อคลื่นลมได้ ปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเองเสียก่อน”
“เช่นนี้ทำได้”
“ถูกหรือไม่? ผู้ตรวจการช่างเกียจคร้านยิ่ง หากไม่ให้พวกเขาทำอะไรบ้างก็จะรู้สึกว่าได้รับเบี้ยหวัดมาเปล่า ๆ กรมกองอื่นล้วนงานยุ่ง พวกเขาอยู่ว่าง ๆ พอดี เช่นนั้นก็ให้พวกเขาไปช่วยเถอะ!”
“ฮูหยินของข้า เจ้าฉลาดยิ่งนัก”
“ท่านเพียงแค่สับสนไปชั่วขณะเท่านั้น” มู่ซืออวี่เอ่ย “อุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่จะเอาชนะท่านได้อย่างไร?”
เรื่องราวมีหนทางแก้ไขแล้ว ความหนักอึ้งในใจของลู่อี้ลดลงไปกว่าครึ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อเอ่ยถึงผู้ตรวจการซ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เขายังคงกัดฟันด้วยความเกลียดชัง
วันถัดมา มู่ซืออวี่คุยกับซูจือหลิ่ว หลังจากดูลู่จื่อฮั่วและลู่ฉาวหลีอยู่พักหนึ่งแล้วก็ไป
นางตั้งใจว่าจะไป ‘เรือนกรุ่นฝัน’ เพื่อตรวจดูยอดขายระยะนี้สักประเดี๋ยว
ถึงแม้ว่าตอนนี้มู่ซืออวี่จะเป็นเถ้าแก่เนี้ยที่ส่งต่องานให้ลูกน้องรับผิดชอบ และดูแลเพียงงานสำคัญ ๆ แต่นางก็ไม่ละเลยกิจการในร้าน สิ่งที่ควรรู้ล้วนรู้ทั้งสิ้น
“ฮูหยิน ฮูหยินซ่งที่อยู่ตรงข้ามมาเยี่ยมเยือนขอรับ”
“ฮูหยินผู้ตรวจการซ่งหรือ?”
“ขอรับ”
มู่ซืออวี่เอ่ยกับฉานอีที่อยู่ข้าง ๆ “ดูเหมือนวันนี้ข้าจะไปที่ร้านไม่ได้แล้ว เจ้าไปแทนข้าสักเที่ยวเถอะ! จริงสิ ครอบครัวนายท่านรองมีเรื่องน่ายินดี เจ้ามอบเงินมงคลให้ทุกคนหน่อย ถือเสียว่าเป็นการมอบความสุข”
“เหล่าคนงานต้องดีใจแน่เลยเจ้าค่ะ!” ฉานอีเอ่ย
“ซางจือ เจ้าไปเชิญฮูหยินซ่งเข้ามา”
ซางจือเป็นสาวใช้คนสนิทของมู่ซืออวี่ นี่ถือเป็นการแสดงท่าทีของนาง การให้บ่าวรับใช้คนอื่นเชิญฮูหยินซ่งเข้ามากับการให้ซางจือไปเชิญฮูหยินซ่งเข้ามา สองอย่างนี้มีความหมายต่างกัน
ไม่นานนัก ซางจือก็พาฮูหยินหน้าตางดงามผู้หนึ่งเข้ามา
“ข้าน้อยคารวะฮูหยินอัครมหาเสนาบดี”
“ฮูหยินซ่ง ไม่ต้องมากพิธี นั่งลงเถอะ” มู่ซืออวี่ส่งยิ้มให้
อีกฝ่ายตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้น ข้าน้อยเคารพเทียบไม่ได้กับเชื่อฟังแล้ว”
“วันนี้ฮูหยินซ่งมา…”
“พวกเราเพิ่งย้ายมาที่นี่ไม่นานนัก ครั้งก่อนคิดจะมาเยี่ยมเยือน ได้ยินว่าฮูหยินไม่ได้อยู่ที่จวนจึงไม่อยากรบกวน วันนี้นับว่าพบฮูหยินแล้วจึงอยากจะมาเยี่ยมเสียหน่อย หวังว่าคงไม่ได้ทำให้การของฮูหยินล่าช้า”
“มิได้ ข้ายินดียิ่งที่ได้พบกับฮูหยิน” มู่ซืออวี่เอ่ย “เพียงแต่ แม้ข้ากับฮูหยินเพิ่งจะได้พบกัน ทว่าคุณชายน้อยจวนท่านกลับเป็นแขกของบ้านเราบ่อย ๆ ทั้งยังดูเหมือนเขาจะเข้ากันได้ดีกับลูกสาวบ้านข้า”
“หานจือหรือ! ข้าได้ยินมานานแล้วว่าหานจือมีสหายใหม่ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นคุณหนูจวนอัครมหาเสนาบดี”
[1] สองแขนเสื้อใสสะอาด หมายถึง ขุนนางมือสะอาด