สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 735 วางแผนทำร้ายผู้อื่นได้เก่งนัก
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 735 วางแผนทำร้ายผู้อื่นได้เก่งนัก
บทที่ 735 วางแผนทำร้ายผู้อื่นได้เก่งนัก
บทที่ 735 วางแผนทำร้ายผู้อื่นได้เก่งนัก
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ น้องสาวเจ้าเล่า?” มู่ซืออวี่เอ่ยถามลู่จื่ออวิ๋น
เมื่อลู่จื่ออวิ๋นปรากฏตัวขึ้น หลายคนล้วนหันมามองดูนาง
อย่างไรก็ตาม คุณหนูใหญ่ลู่คุ้นเคยกับสายตาเหล่านี้นานแล้วจึงแสร้งทำเป็นไม่สนใจ เมื่อได้ยินมู่ซืออวี่เอ่ยถามจึงตอบ “น้องหญิงอยู่นิ่งไม่ได้จึงไปเล่นอยู่ในสวนเจ้าค่ะ”
“มีคนตามไปหรือไม่?”
“วางใจเถอะท่านแม่” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ข้างกายน้องหญิงไม่เคยขาดคน เทียบกับคนข้างกายข้ายังมีมากกว่าเสียอีก”
“พวกเขาคอยปรนนิบัตินางเสียเมื่อไหร่? ต้องคอยปกป้องผู้ที่ถูกนางหมายหัวต่างหาก” มู่ซืออวี่เอ่ย “วันนี้มีคนมามาก ไม่รู้จริง ๆ ว่าผู้ใดจะถูกนางเล็งไว้อีก”
อย่างไรก็ตาม วันนี้ฉาวจิ่งกลับสงบยิ่ง
ลู่จื่ออวิ๋นเหลือบมองน้องน้อยที่ ‘ว่าง่ายและซื่อสัตย์’ ของนาง
แน่นอนว่ารูปโฉมของน้องน้อยนั้นดีมาก ทั้งยังหน้าตาประณีตยิ่งกว่าลู่ฉาวอวี่เสียอีก นี่เป็นเหตุให้ลู่จื่อชิงชอบจับเขา ‘แต่งตัว’ เพราะการเล่น ‘แต่งตัว’ กับน้องชายหน้าตาดีเช่นนี้ให้ความรู้สึกเหมือนได้รับชัยชนะจริง ๆ
ความรู้สึกคงเหมือนกับการมีตุ๊กตาหน้าตาดี ทั้งวันจึงเอาแต่อยากแต่งตัวให้ด้วยเสื้อผ้าสวย ๆ ทำทรงผมสวย ๆ จากนั้นค่อยเอาออกมาอวด
“อุแว้… อุแว้…” เสียงร้องไห้ของลูกดึงความสนใจซูจือหลิ่ว
ฮูหยินรองลู่รีบมาอุ้มลูกที่ร้องไห้ออกไปทันที
“ลูกสาวข้าขี้อายเล็กน้อย” ซูจือหลิ่วเอ่ย “ตอนนี้นางฉี่เสียแล้ว ขออภัยที่เสียมารยาท แม่นมพาคุณหนูออกไปล้างตัวหน่อย ไม่ต้องอุ้มนางออกมาแล้ว ให้นางนอนเถอะ!”
ลู่จื่อฮั่วถูกพาตัวไปแล้ว เหลือไว้เพียงลู่ฉาวหลีเท่านั้น
การตอบสนองของลู่ฉาวหลีแตกต่างจากพี่สาวของเขา ทารกน้อยมองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทีฉงนสงสัย มองแขกมากมายด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
แน่นอน เขาไม่เข้าใจว่าตอนนี้ตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ทว่าสีหน้าของเขาน่ารักยิ่ง ทำให้ฮูหยินทั้งหมดที่อยู่ตรงนี้ล้วนกล่าวคำชมและสรรหาคำอวยพรมากมายออกมา หากยังกล่าวเยินยอเขาเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าไม่นานทั่วทั้งเมืองหลวงคงได้รู้จักลู่ฉาวหลีในนามเด็กมากพรสวรรค์แล้ว
“เด็กคนนี้น่ารักจริง ๆ” ซ่างกวนจิ่นซิ่วเอ่ย “ข้านำสร้อยอายุยืนมาให้สองเส้น ไม่รู้ว่าพวกเขาจะชอบหรือไม่ แต่ไม่รังเกียจก็พอ”
ขณะที่กล่าวเช่นนั้น หลีเซียงที่อยู่ข้าง ๆ ก็นำกล่องใบหนึ่งออกมา กล่องใบนั้นประณีตเป็นอย่างมาก เมื่อดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วคงมีราคาแพง พอเปิดกล่องออกดูก็เห็นว่าข้างในมีสร้อยทองอายุยืน
“นี่มีค่ามากเกินไปแล้ว” ซูจือหลิ่วเอ่ย “ขอบพระทัยฮองเฮาเพคะ”
ด้วยสถานภาพทางการเงินของสกุลลู่ หากพวกเขาต้องการสร้อยทองอายุยืนจะไม่มีได้อย่างไรเล่า? อย่างไรก็ตาม สร้อยทองอายุยืนที่ฮองเฮาพระราชทานให้นั้นมีความหมายต่างออกไป
ต่อหน้าผู้คนมากมายเพียงนี้ ฮองเฮาทรงพระราชทานรางวัลแก่ฝาแฝดแรกเกิดของสกุลลู่ นี่หมายความว่าฮ่องเต้ยังคงให้ความสำคัญกับสกุลลู่เป็นอย่างสูงดังเช่นเมื่อก่อน หรืออาจยิ่งสำคัญกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
ทุกคนจึงกล่าวแสดงความยินดีเสียงดังกึกก้องอีกครั้ง
หลังจากบ่าวรับใช้อุ้มลู่ฉาวหลีออกไปแล้ว ทุกคนล้วนแยกย้าย มู่ซืออวี่จึงตระหนักว่าซูฟางหวาหายออกไปจากที่นั่นตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้
“เซวียนหวางเฟยอยู่ที่ใด?” มู่ซืออวี่เอ่ยถามซางจือที่อยู่ข้าง ๆ “ส่งคนไปตามหา จับตาดูนางไว้อย่าให้คลาดสายตา”
“เมื่อครู่นี้มีคนมากเกินไป ความสนใจของพวกเราล้วนอยู่ที่คุณชายน้อย ไม่ได้สนใจนาง บ่าวจะส่งคนไปตรวจสอบประเดี๋ยวนี้ และจะคอยจับตาดูนางอย่างใกล้ชิดเจ้าค่ะ”
ไม่นานนัก บ่าวรับใช้ก็มารายงานว่าเซวียนหวางเฟยกำลังชมดอกไม้อยู่ในสวนหลังบ้าน ไม่มีอะไรผิดปกติ
มู่ซืออวี่รู้สึกแปลกใจ หรือซูฟางหวาทราบแล้วว่าการกระทำของนางไร้ประโยชน์จึงยอมแพ้?
“เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ” หยางมามาเดินเข้ามาจากด้านนอก โน้มตัวเข้ามากระซิบที่ข้างหูมู่ซืออวี่ “คุณชายน้อยจวนเซวียนอ๋องไม่รู้ว่าเป็นอะไร มีผื่นขึ้นทั่วร่างกายแล้วเจ้าค่ะ”
ในตอนนี้เอง แม่นมที่ดูแลลู่ฉาวหลีก็วิ่งเข้ามาเช่นกัน
สีหน้าของนางตื่นตระหนก มองไปทางซูจือหลิ่วอย่างเป็นกังวล ราวกับอยากเอ่ยอะไรบางอย่างแต่ไม่กล้า
ฉากที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเมื่อครู่นี้เงียบลงทันที ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ล้วนคุ้นเคยกับการอ่านสีหน้า พวกนางมองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“เมื่อครู่นี้ที่สวนมีดอกไม้กำลังบานงดงามทีเดียว พวกเราไปดูกันเถอะ!” ฮูหยินผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมา
“จริงด้วย วันนี้อากาศดีจริง ๆ เหมาะแก่การออกไปอาบแดดข้างนอก พี่หญิงหวัง ท่านไม่รู้อะไร ข้าเพิ่งกลับมาจากสกุลเดิมของข้า ที่นั่นหนาวยิ่งนัก…”
เหล่าฮูหยินกล่าวสองสามคำแล้วเดินออกไปคนแล้วคนเล่า แม้จะมีสองสามคนที่อยากอยู่ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นต่อ ทว่าก็ถูกคนที่อยู่ข้าง ๆ ดึงออกไปแล้วเช่นกัน
ซ่างกวนจิ่นซิ่วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงรั้งอยู่
“ฮูหยิน คุณชายหลีมีผื่นขึ้นทั่วใบหน้าเลยเจ้าค่ะ”
“ผื่นแบบใด?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“เป็นผื่นแดงเจ้าค่ะ ขึ้นทั้งที่หน้า ลำคอ ที่มือ…” แม่นมทำท่าทางประกอบ “บ่าวกำลังให้นมตามปกติ ทว่าจู่ ๆ ก็เห็นผื่นแดงขึ้นตามตัวจำนวนมาก น่ากลัวจริง ๆ เจ้าค่ะ”
หยางมามาที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอ่ยเช่นกัน “คุณชายน้อยจวนเซวียนอ๋องผู้นั้นก็เป็นเช่นนี้”
“หรือว่าจะเป็นโรคฝีดาษ?” บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ พูดขึ้น “อาการของโรคฝีดาษก็เป็นเช่นนี้ อีกทั้งผู้ที่ติดโรคส่วนใหญ่ล้วนเป็นเด็ก”
“ขั้นแรกเชิญท่านหมอมาดูก่อนเถอะ เรื่องนี้อย่าเพิ่งแจ้งผู้อื่นเพื่อไม่ให้ทุกคนแตกตื่น นอกจากนั้น ในเมื่อเกิดเรื่องกับคุณชายน้อยของเซวียนหวางเฟย เช่นนั้นก็เชิญเซวียนหวางเฟยมาดูเถอะ”
ซูฟางหวาไม่อาจเชื่อถือได้ นางใจร้ายกับฟ่านซู่เพียงนั้น ย่อมหวังว่าเขาจะตายอยู่ที่นี่ เพียงแต่นางมีบรรดาศักดิ์เป็นเซวียนหวางเฟย เรื่องนี้เกี่ยวกับทายาทจวนเซวียนอ๋องของพวกเขา แม้ไม่อยากบอกนางก็ต้องบอก
แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องรายงานเซวียนอ๋องฟ่านเหยี่ยนทันที
เมื่อได้ยินว่าลู่ฉาวหลีมีผื่นขึ้น ซูจือหลิ่วก็รีบวิ่งไปที่ห้องของเขาทันที
บ่าวรับใช้ไปแจ้งลู่เซวียนแล้ว
เมื่อซูจือหลิ่วรีบวิ่งกลับไปถึงเรือน บ่าวรับใช้กำลังอุ้มลู่ฉาวหลีที่กำลังร้องไห้อย่างทำอะไรไม่ถูก
ซูจือหลิ่วรุดเข้ามาคว้าตัวลูกไปอุ้มเอาไว้
ไม่นานลู่เซวียนก็มาถึง เผอิญเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของนางเข้าพอดี
เขาโอบนางจากด้านหลัง กันไม่ให้นางล้มหงายหลังลงไป เพราะถูกทำให้หวาดกลัวจนไม่อาจทนไหว
ถึงแม้ซูจือหลิ่วจะแข็งแกร่งราวเหล็ก ทว่าในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนหลังคลอด ร่างกายของนางย่อมไม่ทันกลับคืนสู่สภาพเดิม
“ใบหน้าหลีเอ๋อร์…”
“อย่าได้กังวลล่วงหน้า บางทีอาจเป็นเพียงอาการแพ้ทั่วไป รอท่านหมอมาตรวจดูว่าเป็นอย่างไรเถอะ”
แขกที่มาในวันนี้ไม่ได้ขาดท่านหมอ ท่านเจ้าสำนักแห่งสำนักหมอหลวงก็มาดื่มสุราเช่นกัน บ่าวรับใช้เชิญเจ้าสำนักและหมอหลวงคนอื่น ๆ อีกสามคนที่เชี่ยวชาญการตรวจรักษาเด็กมาที่เรือนหลัง
ฟ่านหยวนซีสังเกตว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงตามลู่อี้กับน้องชายไปด้วย
ซ่างกวนจิ่นซิ่วพบกับฟ่านหยวนซีตรงมุมหนึ่ง
ฟ่านหยวนซีผายมือมาทางนาง
ฮองเฮาน้อยมองไปรอบ ๆ พบว่ามีคนจำนวนมากกำลังจับจ้องมาทางนี้ นางคาดเดาว่าฟ่านหยวนซีคิดจะโอ้อวดให้ผู้อื่นเห็นจึงยื่นมือออกไปจับเขาอย่างว่าง่าย
ฟ่านหยวนซี “…”
เขาเพียงแค่คิดว่าตรงนี้แคบมากจึงผายมือให้คนโง่ผู้นี้เดินไปก่อน
นางเดินนำอยู่ด้านหน้าหนึ่งก้าว ส่วนเขาตามหลังอยู่ หากเขาเดินไปก่อนคงต้องรอให้นางเปลี่ยนตำแหน่งอีก เช่นนั้นก็จะยุ่งยากยิ่ง
ช่างเถอะ อย่างไรก็เกียจคร้านเกินกว่าจะอธิบายเรื่องเหล่านี้แล้ว
“เกิดอะไรขึ้น?” ฟ่านหยวนซีเอ่ยถาม
“ดูเหมือนบุตรชายเซวียนอ๋องและบุตรชายนายท่านรองลู่จะมีผื่นขึ้นทั้งคู่เพคะ” ซ่างกวนจิ่นซิ่วตอบ “ตอนนี้ยังไม่ทราบสถานการณ์ รอท่านหมอหลวงตรวจดูจึงจะทราบสาเหตุเพคะ”