สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 745 เข้าไปศาลาว่าการ
บทที่ 745 เข้าไปศาลาว่าการ
บทที่ 745 เข้าไปศาลาว่าการ
มู่ซืออวี่ยืนรออยู่ที่ประตูศาลาว่าการ ไม่นานนัก ชายวัยกลางคนท่าทางเคร่งขรึมผู้หนึ่งก็เดินออกมา ประกบมือคำนับนางด้วยท่าทีที่ไม่ได้ดูเย่อหยิ่งและไม่ได้ถ่อมตนจนเกินไป
“ฮูหยินอัครมหาเสนาบดีเดินทางมาไกล ข้าน้อยกลับไม่ได้ออกมารอต้อนรับหน้าประตู”
“นายอำเภอกู่ ข้าเพียงแค่มาสอบถามเรื่องคดีผู้อาวุโสของข้า ไม่ได้มีความหมายอื่นใด นายอำเภอกู่โปรดอำนวยความสะดวก” มู่ซืออวี่เอ่ยอย่างสุขุม
“ฮูหยิน เชิญข้างใน”
“ขอบคุณ”
นายอำเภอกู่พามู่ซืออวี่เข้ามารับรองที่ศาลาว่าการ
ผู้คนที่ผ่านไปมาล้วนมองฉากตรงหน้า พากันคาดเดาต่าง ๆ นานาว่าสตรีนางนี้คือผู้ใด
“เหตุใดข้ารู้สึกว่าคนผู้นั้นคุ้นตานักเล่า?”
“ดูจากบารมีของนางและผู้คุ้มกันที่มีจิตสังหารตามอยู่ด้านหลังแล้ว นางจะต้องเป็นฮูหยินผู้สูงศักดิ์เป็นแน่ เจ้าจะเคยพบนางได้อย่างไร?”
“ข้ารู้สึกคุ้นหน้าเล็กน้อยจริง ๆ เพียงแต่นึกไม่ออก”
“ขี้โม้นะเจ้า! เพ้อเจอจนแทบลอยขึ้นฟ้าแล้ว”
ชายชราผู้หนึ่งแบกสัมภาระเดินผ่านมา เขามองใบหน้าด้านข้างของสตรีผู้นั้น จู่ ๆ ก็หยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน
“ยืนโง่ทำอะไรอยู่ตรงนี้?” หนิวเหมยสังเกตเห็นว่ามู่ต้าซานไม่ยอมขยับจึงเร่งเขาอย่างหมดความอดทน “เร็ว ๆ เข้า!”
ในตอนนี้แม้ว่ามู่ต้าซานจะยืนอยู่ตรงหน้ามู่ซืออวี่ก็เกรงว่าจะจำไม่ได้แล้ว
ส่วนหนิวเหมย สตรีผู้นั้นที่แต่งกับเขา ดูราวกับอายุห้าสิบหกสิบปี เมื่อเทียบกับถงซื่อแล้วนับว่าความเยาว์ห่างกันโข
“สามี เมียเก่าของท่านทำความผิดมหันต์ นางถูกจับไปขังคุกแล้ว ภายหน้าคงไม่อาจใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไร้กังวลประหนึ่งสตรีสูงศักดิ์อีก รู้สึกโล่งใจมากใช่หรือไม่?” หนิวเหมยอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “คราก่อนข้าไปหาหมอที่โรงหมอของพวกเขา ทุกคนล้วนเป็นคนรู้จักมักคุ้นกัน ข้าขอให้พวกเขาจ่ายยาให้ข้าโดยไม่คิดเงิน นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะไม่ยินยอม คนตระหนี่เช่นนี้ย่อมถูกฟ้าลงโทษ ผ่านมาไม่นาน สุดท้ายก็ได้รับผลกรรมแล้วจริง ๆ”
“เจ้าไปรักษาอาการเจ็บไข้จะไม่ต้องจ่ายค่ายาได้อย่างไร?” มู่ต้าซานขัดนางอย่างหมดความอดทน “บ้านเราก็ไม่ใช่ไม่มีเงิน เหตุใดต้องทำเรื่องขายขี้หน้าเช่นนี้?”
“ท่านว่าข้า!” หนิวเหมยจ้องมู่ต้าซานเขม็ง “ท่านเองก็ไม่ก้มดูตัวเองบ้างเล่า ดีไม่ได้แม้เพียงครึ่งของท่านหมอจูด้วยซ้ำ หรือท่านยังคิดถึงเมียเก่าผู้นั้นอยู่? ข้าจะบอกให้ว่าผู้ใดล้วนรังเกียจข้าได้ แต่ท่านเป็นคนสุดท้ายที่ควรทำเช่นนั้น ตอนที่ข้าแต่งให้ท่าน ข้ายังไม่เคยแต่งงานด้วยซ้ำ แต่ท่านกลับแต่งครั้งที่สองแล้ว ยังจะคิดรังเกียจข้าอีกหรือ? อีกอย่าง เห็นได้ชัดว่าหากประหยัดเงินได้ เหตุใดต้องนำเงินออกมา? พวกเราคุยกันดีแล้ว ขอเพียงแค่เก็บเงินได้ห้าร้อยตำลึงเงิน พวกเราจะรับลูกชายของพี่หญิงใหญ่ข้ามาเลี้ยง เขาจะได้คอยดูแลเรายามแก่เฒ่า ตอนนี้เก็บเงินได้แล้วสี่ร้อยกับอีกห้าสิบตำลึงเงิน ขาดเพียงห้าสิบตำลึงเงินก็จะรับเด็กคนนั้นมาเลี้ยงดูได้แล้วแท้ ๆ”
“ลูกชายของพี่หญิงใหญ่เจ้าผู้นั้นอายุสิบขวบแล้ว” มู่ต้าซานขมวดคิ้ว “ถึงแม้จะนำเขามาเลี้ยง ก็ไม่มีทางไม่รู้จักพ่อแม่ที่แท้จริงของตนเอง จะเห็นพวกเราสองคนเป็นตัวปลอมเสียมากกว่า”
“นั่นก็ดีกว่าตายโดยไม่มีลูกชาย!” หนิวเหมยเอ่ย “แน่นอนว่าท่านไม่อยากเลี้ยง เพราะยังคงคิดถึงลูกชายที่ได้เป็นขุนนางใหญ่โตผู้นั้นกระมัง! แต่แม้ท่านคิดถึงเขา ผู้อื่นเขาคงไม่คิดถึงท่าน ข้าได้ยินว่าทุกปีครอบครัวจูได้รับของขวัญปีใหม่ที่พวกเขาพี่สาวน้องชายส่งมาจากเมืองหลวง หากพวกเขาคิดถึงท่านจริง เหตุใดไม่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบท่านบ้างเล่า? ไม่ต้องเอ่ยถึงของขวัญปีใหม่ เพราะแม้กระทั่งผ้าผืนเล็ก ๆ สักผืนก็ยังไม่เคยส่งมา!”
ณ ศาลาว่าการ ข่าวที่มู่ซืออวี่ได้รับมาจากนายอำเภอกู่ไม่ได้แตกต่างอะไรกับที่ถงซื่อกล่าว
“ข้าอยากพบท่านอาจู”
“ข้าน้อยจะส่งคนไปนำทางฮูหยิน เพียงแต่ฮูหยิน หากท่านถามเรื่องนี้กระจ่างแล้ว โปรดอย่าได้มาก้าวก่ายคดีนี้อีก” นายอำเภอกู่เอ่ยอย่างเที่ยงตรง ไม่ไว้หน้าผู้ใดทั้งสิ้น
“หากเป็นความผิดของท่านอาจูจริง แน่นอนว่าข้าย่อมไม่เข้าไปก้าวก่ายการไต่สวนของท่าน” มู่ซืออวี่เอ่ย “บ้านเมืองมีกฎหมาย ครอบครัวมีกฎสกุล ฮูหยินผู้นี้ย่อมเคารพกฎเกณฑ์”
มู่ซืออวี่ตามนักการเข้าไปในคุก
“ท่านหมอจู มีคนมาเยี่ยมท่าน”
ท่านหมอจูนึกว่าเป็นถงซื่อหรือศิษย์ทั้งสองจึงเงยหน้าขึ้นมอง
เมื่อเขาเงยหน้าจึงเผยให้เห็นใบหน้าโทรม ๆ ใบหน้าหนึ่ง
“เจ้าคือ…” ท่านหมอจูตกตะลึง “แม่ฉาวอวี่…”
มู่ซืออวี่ยิ้มบาง ๆ “ไม่ได้พบกันเสียนาน ท่านอาจู”
“นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว” ท่านหมอจูถอนหายใจ “นึกไม่ถึงว่าพบกันอีกครา พวกเราจะพบหน้ากันที่นี่ เจ้าเจอแม่เจ้าหรือยัง? ตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ได้พบแล้ว” มู่ซืออวี่ไม่ได้ปิดบังสิ่งใด เอ่ยออกไปตามความเป็นจริง “นางกลัดกลุ้มเพราะเรื่องนี้จนล้มหมอนนอนเสื่อ ทว่าลูกศิษย์ของท่านสองคนนั้นล้วนดีนัก พวกเขาคอยดูแลนาง จัดยาให้นาง”
“เด็กสองคนนั้นมีความตั้งใจดีถึงได้เป็นลูกศิษย์ปิดประตูของข้า” ลูกศิษย์ที่รับมาก่อนหน้า เมื่อพวกเขาศึกษาครบถ้วนกระบวนความแล้วล้วนจากไป ไม่ได้รั้งอยู่ในเมืองฮู่เป่ย ทว่าไปอยู่ที่อื่นเปิดร้านศึกษาสมุนไพร
“ท่านอาจู พวกเรามาคุยกันเรื่องคดีนี้เถอะ!” มู่ซืออวี่เอ่ย “ท่านเป็นท่านหมออาวุโสแล้ว เรื่องจ่ายยาผิดนี้ไม่ควรเกิดขึ้น ท่านแน่ใจหรือว่าท่านจ่ายยาผิดจริง ๆ? ตอนนั้นมีอะไรน่าสงสัยหรือไม่?”
“ตาข้าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย วันนั้นโรคตาข้ากำเริบจึงมองเห็นพร่ามัว ทว่า ยาเหล่านั้นข้าเตรียมไว้ดีแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ตรวจสอบให้ถี่ถ้วน ข้าเพียงแค่นำไปต้มที่ห้องครัว เพราะยานั้นต้องต้มและควบคุมไฟให้ดี คนที่ไม่ชำนาญด้านการแพทย์ไม่อาจทำได้ หากทำผิดพลาด ยาจะไม่ออกฤทธิ์ เช่นนั้นก็จะลำบากเปล่า ๆ ข้าจึงต้มด้วยตนเองนับตั้งแต่ต้นจนจบ จากนั้นจึงให้บ่าวรับใช้ส่งเข้าไปในห้องให้ฮูหยินผู้นั้นดื่ม ฮูหยินดื่มยานั้นไปไม่นานก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดแล้วตายทันที คนในจวนนางเข้าควบคุมข้าแล้วแจ้งทางการ พวกเขาเชิญท่านหมออีกผู้หนึ่งมาตรวจสอบร่วมกับอู่จั้วจึงพบว่าในยานั้นมีพิษเช่นเดียวกับพิษในร่างผู้ตาย”
“ดังนั้น ท่านยอมรับผิดแล้วหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“บางทีอาจเป็นเพราะข้าไม่ได้ตรวจดูให้ถี่ถ้วนตอนรับสินค้ามาจึงไม่รู้ว่าภายในยานั้นมียาพิษซ่อนอยู่ เป็นเหตุให้เกิดความผิดมหันต์ในครั้งนี้ นี่เป็นความผิดข้า ข้าจะไม่ยอมรับได้อย่างไร? ข้าฝึกฝนทักษะการแพทย์มาหลายปี พบเห็นการพลัดพรากจากลาเพราะความตายมาไม่น้อย… โรคที่ไม่อาจรักษาได้เหล่านั้นเป็นความเจ็บปวดในใจข้า แต่ครั้งนี้… ความผิดพลาดของข้าเป็นบาปมหันต์!” ท่านหมอจูก้มมองฝ่ามือตนเองแล้วเอ่ย “มือคู่นี้ที่ใช้ฝึกฝนการแพทย์และรักษาคน แปดเปื้อนไปด้วยเลือดของผู้บริสุทธิ์ ลบล้างไม่ได้แล้ว”
“ท่านอาจู ข้ามียามาสองห่อ ท่านช่วยข้าดูเถอะ!” มู่ซืออวี่ส่งสายตาให้ซางจือ
ซางจือส่งยาทั้งสองห่อให้
ท่านหมอจูเปิดยาห่อแรก บอกชื่อตัวยาออกมาอย่างเชี่ยวชาญ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
เห็นได้ชัดว่าตัวยานั้นถูกสับเป็นชิ้น ๆ แล้ว
จากนั้นจึงเปิดห่อที่สองออก ห่อนี้ก็เป็นตัวยาที่แตกละเอียดเป็นชิ้น ๆ เช่นเดียวกัน เพียงแต่ไม่ได้มีเพียงหนึ่งชนิด ทว่ามีถึงสาม
มิหนำซ้ำตัวยาทั้งสามชนิดนี้ยังค่อนข้างคล้ายกันอีกด้วย
โดยเฉพาะตัวยาที่เกี่ยวกับราก หากถูกสับเป็นชิ้น ๆ แล้ว ย่อมแยกแยะได้ไม่ง่าย
แต่ท่านหมอจูบอกชื่อของมันออกมาได้ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังแยกพวกมันออกจากกันได้ด้วย เห็นได้ว่าท่านหมออาวุโสเช่นเขา ถึงแม้จะมองไม่เห็นก็ยังสามารถแยกแยะความแตกต่างได้โดยใช้เพียงการดมกลิ่นด้วยจมูก
“ท่านอาจู ตอนนั้นท่านได้กลิ่นตัวยาหรือไม่?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“ข้าคุ้นชินกับการดมกลิ่นพวกมันแล้ว โดยเฉพาะยามตาพร่ามองไม่ชัด ข้าพึ่งการดมกลิ่นกับการได้ยินของข้าเป็นส่วนใหญ่” ท่านหมอจูอับจนปัญญา “นึกไม่ถึงว่าจะยังทำผิดพลาด”
“ท่านอาจู ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าทักษะการแพทย์ของท่านอาจไม่มีปัญหาอะไร และท่านอาจไม่ได้ฆ่าผู้อื่นเพราะความผิดพลาด” มู่ซืออวี่เอ่ย “ขนาดตัวยาที่สับละเอียดเช่นนี้ท่านยังได้กลิ่น ทั้งยังแยกความแตกต่างของพวกมันได้ พวกข้าแม้ตาจะมองเห็นได้ชัดเจนกลับแยกไม่ออกแม้แต่น้อย ถึงท่านจะมองไม่ชัด แต่ก็ยังดีกว่าพวกเรา เหตุใดต้องสงสัยการตัดสินใจของตนเองด้วยเล่า?”
“เป็นเช่นนั้นจริง ๆ หรือ?” ท่านหมอจูคลางแคลงใจ “เพียงแต่ ศาลาว่าการตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว กลับตรวจสอบเบาะแสอื่นออกมาไม่ได้เลย”