สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 747 คนผู้นี้แปลกเล็กน้อย
บทที่ 747 คนผู้นี้แปลกเล็กน้อย
บทที่ 747 คนผู้นี้แปลกเล็กน้อย
“บางทีคุณหนูอินผู้นี้ข้างนอกอาจเย็นชาแต่ข้างในอบอุ่น นางอาจผูกพันต่อมารดานาง ทว่าไม่ได้แสดงออก ไม่เช่นนั้นเหตุใดนางต้องอยู่ที่นี่เล่า?” ซางจือเอ่ย “ห้องนี้เคยเป็นของฮูหยินอิน อีกทั้งฮูหยินอินยังตายที่นี่ ถึงแม้นางจะเป็นญาติสนิทที่อาจรู้สึกไม่พอใจกัน แต่ดูแล้วนางไม่ยินดีแม้กระทั่งจะเปลี่ยนเตียงด้วยซ้ำ เห็นได้ว่าคุณหนูผู้นี้ไม่ได้ไม่พอใจมารดาของนางไปเสียทั้งหมด”
“อย่างนั้นหรือ?” มู่ซืออวี่พึมพำกับตนเอง
“เช่นนั้น เหตุใดนางจึงได้ประพฤติตัวแปลก ๆ เช่นนี้?”
“เมื่อเกิดเรื่องขึ้นในโลกหล้า นั่นย่อมต้องมีเหตุผลของมันอยู่”
อินซู่หลานปรากฏกายพร้อมกับผู้ติดตาม
เมื่อเห็นคนของทางการเหล่านี้ปรากฏตัวในห้องของตน สีหน้านางพลันบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม
นางออกคำสั่งอย่างไม่หลงเหลือความเกรงใจอีกต่อไป “หนึ่งชั่วยามผ่านไปแล้ว พวกเจ้าควรไปเสีย! ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นคนของทางการหรือไม่ ข้าจะไม่เกรงใจพวกเจ้าแล้ว!”
“ได้ยินว่าฮูหยินอินอบรมสั่งสอนลูกสาวอย่างเข้มงวด นางทุ่มเทฝึกเจ้าให้เป็นกุลสตรี อยากให้เจ้าสง่างามสูงศักดิ์ ทว่าดูจากความประพฤติของคุณหนูอินแล้ว เกรงว่าหากอวี๋ฮูหยินที่อยู่ในปรโลกรู้คงต้องผิดหวังเป็นแน่”
“นางอยากฝึกข้าให้เป็นกุลสตรี ข้าก็ต้องกลายกลายเป็นคนเช่นนั้นหรือ ข้าไร้บิดาตั้งแต่ยังเยาว์ ตอนที่นางพาข้าเข้าสังคม เคยคิดบ้างหรือไม่ว่ากุลสตรีเหล่านั้นลับหลังรังแกข้าเช่นไร? กุลสตรีหรือ? พวกนางก็เป็นเพียงแค่ผีร้ายหน้าซื่อใจคดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น!”
มู่ซืออวี่จ้องมองอินซู่หลาน
“ท่านจะมองข้าทำไม? ข้ารู้สึกแปลก ๆ ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว เจ้าอายุรุ่นราวคราวเดียวกับมารดาข้า เหตุใดศาลาว่าการจึงให้สตรีมากอายุผู้หนึ่งมาตรวจสอบคดีกัน?”
แววตาของมู่ซืออวี่มืดครึ้ม “แม่นางน้อย มารดาเจ้าไม่อยู่แล้ว ไม่มีผู้ใดสอนกฎเกณฑ์ เจ้าจึงคิดว่าตนเองจะทำอะไรตามใจชอบได้หรือ? หากเจ้ายังกล่าวถ้อยคำหยาบคายเช่นนี้ออกมาอีก ข้าจะสอนบทเรียนแทนมารดาเจ้าเอง”
อินซู่หลานตกใจกลัวสายตาเปี่ยมอำนาจของมู่ซืออวี่
คนผู้นี้ที่แท้เป็นใครกันแน่?
“วันนี้พอเท่านี้ พวกเราไปกันก่อนเถอะ!” มู่ซืออวี่เอ่ย “หากข้าพบเบาะแสใดจะกลับมาอีกครั้ง แม่นางน้อย คราวหน้าหากเจ้ายังโอหังเช่นนี้อีก ข้าจะสอนให้ก็ได้ว่าต้องรับรองแขกอย่างไร”
หลังออกมาจากจวนอิน มู่ซืออวี่ก็ขึ้นรถม้าไป
ซางจือเอ่ยกับเจ้าหน้าที่ทางการทั้งสอง “พี่ใหญ่สองท่านนี้ ลำบากแล้ว นี่เป็นรางวัลจากฮูหยินเรา หากได้ยินสิ่งใดหรือข่าวคราวใดที่เป็นประโยชน์ มาหาพวกเราที่จวนลู่ได้ทุกเมื่อ”
เมื่อนักการได้รับรางวัลก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขารีบตอบตกลงอย่างรวดเร็ว
ซางจือกลับขึ้นไปบนรถม้าแล้วเอ่ยกับมู่ซืออวี่ “ฮูหยิน จากนี้จะไปที่ใดเจ้าคะ?”
“พวกเราไปดูที่จวนฉินเถอะ!” มู่ซืออวี่เอ่ย “กลับมานานเพียงนี้แล้ว ยังไม่ได้บอกกล่าวซูอวี้เลย หากนางรู้ว่าข้ากลับมาแล้วไม่ไปหา นางจะต้องโกรธข้าเป็นแน่”
“เจ้าค่ะ”
ซางจือไปแจ้งกับสารถีแล้วกลับมานั่ง
“ซางจือ เมื่อครู่นี้เจ้าพบอะไรที่น่าสงสัยหรือไม่?”
“ฮูหยินหมายถึง…”
“ตอนที่ข้ายืนอยู่หน้าเตียง ยามคุณหนูจินเดินเข้ามาสีหน้าของนางดูร้อนใจนัก ถึงแม้จะเป็นเพียงชั่วพริบตาเดียว ข้าก็ยังสังเกตเห็นได้ อีกอย่างข้าวของทั่วทั้งห้องล้วนถูกเปลี่ยนหมด แม้กระทั่งผ้าม่านยังเปลี่ยน แต่กลับไม่ได้เปลี่ยนเตียง ข้าลองมองดูเตียงหลังนั้นแล้ว มันค่อนข้างเก่าทีเดียว เกรงว่าจะใช้การมาไม่น้อยกว่าสิบปี ด้วยรสนิยมที่ชอบความหรูหราฟู่ฟ่าของนางตั้งแต่หัวจรดเท้า คุณหนูนั่นไม่ควรจะเก็บเตียงไว้”
“บางทีนางอาจทำใจปล่อยมารดาไปไม่ได้ มารดานางนอนบนเตียงหลังนั้น บนเตียงคงยังมีกลิ่นอายฮูหยินอินหลงเหลืออยู่กระมังเจ้าคะ!”
“วิธีรำลึกถึงคนผู้หนึ่งมีมากมายก่ายกอง ดูจากความโอหังของนาง สายตาที่คมกริบและฝีปากที่กล้าแกร่ง นางดูเหมือนสตรีน่าสงสารผู้ที่เพิ่งเสียมารดาไปตรงไหนกัน? เหตุใดข้ารู้สึกว่านางได้ปลดปล่อยตนเองเล่า?”
“ดูเหมือนคุณหนูอินผู้นี้น่าสงสัยขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ต่อไปพวกเรายังต้องตรวจสอบนางหรือไม่เจ้าคะ?”
“ตรวจสอบเถอะ! ข้าอยากรู้นักว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับจวนอิน อีกทั้งยังอยากรู้ว่าคุณหนูอินผู้นั้นกำลังทำอะไรกันแน่ เจ้าไปตรวจสอบทุกสิ่งที่น่าสงสัยออกมาให้ข้าหน่อย”
ณ จวนฉิน
ซางจือเอ่ยสองสามคำกับบ่าวรับใช้หน้าประตู แล้วเอ่ยกับมู่ซืออวี่ “บ่าวรับใช้จวนฉินบอกว่านายท่านฉินกับฮูหยินไม่อยู่ที่จวนเจ้าค่ะ สกุลฉินเกิดเรื่อง ทั้งสกุลจึงต้องรุดไปยังบ้านหลัก พวกเขาออกไปราว ๆ เจ็ดถึงแปดวันได้แล้ว ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อใดเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นพวกเรากลับจวนลู่ก่อนเถอะ”
นางไม่ได้กลับมาดูสักพัก ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนไปเพียงใดแล้ว
หลังจากทั้งครอบครัวจากไป จวนลู่เหลือบ่าวรับใช้ไว้ไม่มากนัก แน่นอนว่าคนในครอบครัวนางและสหายล้วนอยู่ที่นี่ อาจกลับมาเยี่ยมเยือนบ้างเป็นบางครั้ง ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าของไร้ชีวิตเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร
ขณะที่มู่ซืออวี่กลับมา ฉานอีกำลังนำบ่าวรับใช้ไปทำความสะอาดเรือน
บ่าวรับใช้สิบกว่าคนยกกระถางต้นไม้ นำพวกมันกลับไปวางไว้ที่ตำแหน่งเดิม
“ฮูหยิน พวกท่านกลับมาแล้ว” ฉานอีหมุนตัวกลับมาเห็นมู่ซืออวี่ จึงเอ่ยกับบ่าวรับใช้คนอื่น ๆ “นี่คือเจ้าบ้านของพวกเราฮูหยินลู่”
ทุกคนค้อมคำนับ
“ซื้อมาใหม่หรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“จวนใหญ่เกินไปเจ้าค่ะ คนที่เรานำมาเดิมทีก็ไม่เพียงพอ บ่าวจึงถือวิสาสะไปซื้อบ่าวรับใช้ใหม่มา ตอนฮูหยินจะกลับไปที่เมืองหลวง หากท่านคิดว่าผู้ใดใช้การได้ก็นำกลับไปด้วย ผู้ใดเกียจคร้าน เห็นว่าใช้การไม่ได้ก็ขายกลับคืนนายหน้า”
ขณะที่ฉานอีกล่าวเช่นนั้น บ่าวรับใช้นับสิบคนพลันกระวนกระวายขึ้นมา
มู่ซืออวี่นั้นแต่ไหนแต่ไรไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายการจัดการคนของฉานอีและซางจือจึงไม่ได้เอ่ยขัดคำขู่ของนาง
นางเอ่ยว่า “คืนนี้ไปทานมื้อค่ำที่จวนจูก็แล้วกัน”
“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
ตราบใดที่คดีของท่านหมอจูยังไม่ได้รับการแก้ไข มู่ซืออวี่ก็ไม่อาจวางใจลงได้
“ฉานอี ซางจือ พวกเจ้าไปสอบถามมาหน่อยว่าฮูหยินอินผู้นั้นป่วยเป็นโรคอะไร”
“เรื่องนี้คงมีเพียงท่านหมอจูที่รู้กระมังเจ้าคะ?”
“ฮูหยินอินเป็นคนไข้เก่าของท่านหมอจู ท่านหมอจูคงมีบันทึกการรักษานาง เจ้าเพียงแค่ไปหาศิษย์สองคนนั้นและนำบันทึกการรักษามาก็เป็นอันใช้ได้แล้ว”
หลี่หู่หัวหน้าผู้คุ้มกันเดินเข้ามาข้างในแล้วเอ่ยกับมู่ซืออวี่ “ฮูหยิน ข้าน้อยหาท่านน้าจวนอินผู้นั้นพบแล้วขอรับ”
“อืม หาเจอที่ใด?”
“เขากำลังเจรจาการค้าอยู่จริง ๆ ขอรับ”
“อย่าเพิ่งทำให้เขาตกใจ ตรวจดูว่าระยะนี้เขาทำเรื่องอะไรบ้าง จากนั้นค่อยถามผู้คนว่าเขาเป็นคนเช่นไร”
คืนนั้น มู่ซืออวี่ให้ถงซื่อดื่มยา จากนั้นจึงพยุงนางเดินสองสามก้าว ก่อนที่ตนเองจะหมดแรงนั่งลงไปบนเตียง
“เจ้าวิ่งวุ่นทั้งวันแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงข้า กลับไปพักผ่อนเถอะ! ข้าเห็นเจ้ากลับมาก็ไม่ได้กังวลเพียงนั้นแล้ว นอกจากนี้ได้ยินบ่าวบอกว่าท่านหมอจูอยู่ดีมีสุข อีกทั้งเจ้ายังส่งอาหารรสเลิศแปดอย่างจากภัตตาคารไปให้เขา อย่างไรคดีนี้ก็ตรวจสอบมาห้าวันแล้ว การสืบหาเบาะแสล้วนไม่ง่ายเลย เจ้าก็ไม่ต้องรีบร้อนเพียงนั้น พักผ่อนก่อนเถอะ”
มู่ซืออวี่มาไกลจากเมืองหลวง เดิมทีก็เดินทางมาอย่างรีบเร่ง ท้ายที่สุดเมื่อมาถึงบ้านเกิด นางที่เป็นมารดาไม่เพียงไม่ได้ทำอาหารดี ๆ ให้ลูก แต่กลับสร้างปัญหาให้ลูกเสียอีก
ถึงแม้มู่ซืออวี่จะไม่ได้เอ่ย แต่มารดาอย่างนางย่อมมองออกว่าอีกฝ่ายกำลังลำบากเพียงใด ด้วยเหตุนี้ถงซื่อจึงรู้สึกไม่สบายใจและปวดใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อมองลูกสาว
ผู้อื่นกล่าวว่ามู่ซืออวี่มีความสามารถและแข็งแกร่ง แต่พวกเขาไม่รู้ว่าถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรีที่อ่อนแอผู้หนึ่งเช่นกัน
“ข้าไม่เหนื่อย” มู่ซืออวี่กล่าว “ในที่สุดข้าก็ได้กลับมาแล้ว ท่านยังจะไล่ข้าไปอีก วางใจเถอะ ข้าไม่เคยทำให้ตนเองลำบาก”