สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 75 พามู่เจิ้งหานเข้าเมือง
บทที่ 75 พามู่เจิ้งหานเข้าเมือง
บทที่ 75 พามู่เจิ้งหานเข้าเมือง
“แม่ฉาวอวี่!”
เหยาซื่อตะโกนเรียกจากด้านนอก
มู่ซืออวี่กินแป้งทอดไปสองชิ้น เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะเติมเต็มความหิวโหย นางปัดมือให้สะอาดแล้วเดินออกไปต้อนรับแขก
“ป้าเหยา”
มู่ซืออวี่จ้องมองเหยาซื่อด้วยความสงสัย
เหยาซื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เจ้าคงเหน็ดเหนื่อยมาก นี่เป็นของเล็ก ๆ น้อย ๆ แทนคำขอบคุณจากครอบครัวเรา รับไปเถิด!”
อาทิตย์อัสดง แสงสีทองสาดส่องดูงดงาม เหรียญทองแดงที่เหยาซื่อนำมาก็สะท้อนแสงสว่างไสวไปด้วย
“ข้าขอไม่รับไว้ เราก็คนกันเอง การช่วยเหลือเพียงเล็กน้อยไม่ได้ลำบากอะไรนัก จะให้ข้าเก็บเงินของท่านไว้ได้อย่างไร?” มู่ซืออวี่ปฏิเสธ
เหยาซื่อคว้ามืออีกฝ่ายไว้ไม่ยอมปล่อย “หากปฏิเสธ ข้าคงละอายเกินกว่าจะขอความช่วยเหลือจากเจ้าอีก นี่ไม่ใช่เงินมากมายอะไร ในเมื่อข้าเชิญพ่อครัวระดับปรมาจารย์มาทำอาหารก็ย่อมต้องจ่ายสิ!”
“แต่นั่นไม่เหมือนกัน” มู่ซืออวี่ยังคงปฏิเสธ
“รับไปเถิด ถ้าเจ้าไม่ยอมรับ ข้าจะโกรธมากนะ” เหยาซื่อกล่าว “เรื่องวันนี้น่าอายจริง ๆ”
“ป้าเหยา ท่านหมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าสาวในวันนี้หรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม “ข้าขอพูดความรู้สึกจากใจ เจ้าสาวพูดถูก นางคือผู้ที่เจ็บปวดที่สุดในเรื่องนี้ ท่านอย่าคล้อยตามคนอื่นแล้วดูถูกนางเลย”
“ข้าพยายามสุดกำลังเพื่อให้งานแต่งงานดำเนินไปอย่างดี แต่กลับต้องเสียหน้าเพราะการกระทำของนาง” เหยาซื่อขมวดคิ้ว
“จะอับอายขายหน้าหรือไม่ก็อยู่ที่ความคิดของท่าน ผู้อื่นไม่อาจมีผล เจ้าสาวคือดอกไม้แห่งหมู่บ้านตระกูลจาง แน่นอนว่ามีชายหนุ่มมากมายหมายปองนาง ทว่านางกลับไม่เลือกตกลงปลงใจกับชายใดเลย แต่เลือกที่จะแต่งงานเข้ามาในครอบครัวของท่าน การกระทำของเจ้าสาวแสดงให้เห็นแล้วว่าพี่ต้าจู้มีค่ากว่าผู้ใด ข้าเชื่อมั่นว่าเจ้าสาวรู้จักคิด สามารถเป็นภรรยาที่ดีให้กับพี่ต้าจู้ได้ ผู้อื่นเอ่ยวาจาไร้สาระมากมายเพราะปรารถนาในตัวนาง ท่านจะปล่อยหญิงที่จะเป็นภรรยาที่น่าชื่นชมไปอย่างนั้นหรือ?”
“ฮ่าฮ่า เจ้าช่างกล่าววาจาที่ไม่น่าให้อภัยเสียจริง”
ความกังวลที่เคยเผยอยู่บนใบหน้าของเหยาซื่อหายไปบ้างแล้ว
มู่ซืออวี่เห็นว่าเหยาซื่อไม่ใช่แม่สามีที่โหดเหี้ยมหรือดุร้ายจึงช่วยเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ผัวกับลูกสะใภ้จำเป็นต้องรักษาไว้ให้ดี ชีวิตสมรสจะได้ไม่ถูกทำลาย
“ในเมื่อเจ้าเอ่ยวาจาชื่นชมลูกสะใภ้ข้าได้ดีเช่นนี้ ก็จงเอาเงินนี้ไปเป็นค่าตอบแทนเถิด รับเอาไปเสีย”
เหยาซื่อยัดเงินจำนวน 20 อีแปะใส่มือมู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรับเงินนั้นไว้แล้วเฝ้ามองเหยาซื่อเดินจากไป
ในวันที่สอง มู่ซืออวี่เรียกถงซื่อมาเพื่อช่วยทำน้ำเต้าหู้
มู่ซืออวี่วางแผนที่จะทำน้ำเต้าหู้ด้วยตนเอง เพราะจะได้นำเอาฟองเต้าหู้ที่เหลือมาเก็บไว้เพื่อทำอาหาร
สำหรับการปรุงเนื้อตุ๋นนั้น นางซื้อวัตถุดิบทั้งหมดมาเรียบร้อยแล้ว และจะลงมือตุ๋นในวันนี้
“มู่ซืออวี่ผู้นี้ นางมีความสามารถมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร? กลิ่นนั่นคือกลิ่นแป้งทอดไส้ผักป่าไม่ใช่หรือ?”
“ไปเถิด! ครอบครัวนี้กินแบบนี้ พวกเขาจะไม่มีวันใช้หนี้หมดแน่ โชคร้ายของลู่อี้แล้วล่ะที่ได้แต่งงานกับหญิงเช่นนี้”
“แต่แม้จะเคยหลงผิด นางก็เป็นอัจฉริยะไร้ที่เปรียบ ฝีมือของนางไม่อาจมีผู้ใดเทียบได้ นางกินไปตั้งมากมายในงานแต่งแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงยังกลับมากินที่บ้านราวกับผีหิวโหย?”
ผู้คนมากมายที่เดินผ่านหน้าบ้านนางต่างพร่ำบ่น ก่อนจะจากไปด้วยความริษยา
“ท่านแม่ พรุ่งนี้ข้าขอเข้าไปส่งของในเมืองด้วยได้หรือไม่?” ลู่จื่ออวิ๋นจ้องมองมู่ซืออวี่อย่างมีความหวัง
มู่ซืออวี่ที่กำลังง่วนกับงานในมือกล่าวว่า “ได้สิ! อยู่ที่นี่ตลอดทั้งวันคงเบื่อสิท่า ได้ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ก็ดี”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นกอดแขนมู่ฉาวอวี่
“อย่าเพิ่งก่อกวน ข้ากำลังยุ่ง หากไม่ระวังน้ำมันอาจกระเด็นใส่เจ้าได้”
ลู่จื่ออวิ๋นปล่อยมือจากแขนมู่ซืออวี่ทันที
ลู่ฉาวอวี่ลังเลอยู่นานก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าจะดูแลน้องสาวเอง”
“เยี่ยม ข้ายุ่งมาก คงไม่อาจดูแลนางได้หรอก เจ้าช่วยดูแลนางแทนข้าด้วยก็แล้วกัน” มู่ซืออวี่กล่าว
ในระหว่างมื้ออาหารเย็น มู่ซืออวี่เรียกถงซื่อและมู่เจิ้งหานให้มารับประทานอาหารที่บ้านของนาง จากนั้นก็บอกพวกเขาว่าจะเดินทางเข้าไปในเมืองในวันรุ่งขึ้น
แววตาของมู่เจิ้งหานเปล่งประกายความอิจฉา “เช่นนั้นข้าจะไปตักน้ำและเก็บฟืนมาให้”
“เจ้าอยากไปกับเราหรือไม่?” มู่ซืออวี่ถาม นางไม่ได้เพิกเฉยต่อความอิจฉาในแววตาของมู่เจิ้งหาน
“ข้าไปได้หรือ?” มู่เจิ้งหานถามด้วยความยินดี
แต่เมื่อนึกได้ถึงบางสิ่ง เขาก็พลันส่ายศีรษะ “ไม่ไปแล้ว ข้าจะอยู่ช่วยทำงานบ้านให้ท่านที่นี่”
“เอาไว้ค่อยทำหลังจากเดินทางกลับจากในเมืองก็ยังไม่สาย ฉาวอวี่และจื่ออวิ๋นยังเด็ก เจ้าควรไปช่วยดูแลพวกเขา มีคนไม่ดีมากมายในเมืองที่อาจปองร้ายเรา หากไม่ดูแลให้ดี ลูกของข้าอาจถูกลักพาตัวได้ ลองถามฉาวอวี่ดูเถิด คราวก่อนอันตรายใช่หรือไม่?”
มู่เจิ้งหานจ้องมองลู่ฉาวอวี่
ลู่ฉาวอวี่พยักหน้าพลางตอบกลับ “อืม”
“คราวก่อนเกิดอะไรขึ้น?” ถงซื่อถาม “หากเป็นเช่นนั้น หานเอ๋อร์ดูแลคนเดียวได้หรือไม่? ต้องการให้ข้าไปด้วยหรือไม่?”
“ไปด้วยกันเถิด!” มู่ซืออวี่กล่าว “มีผู้ดูแลมากกว่าหนึ่งคนก็ต้องดีกว่าอยู่แล้ว”
วันรุ่งขึ้น พวกเขาหอบหิ้วเต้าหู้แห้งเจ็ดชั่ง ฟองเต้าหู้หนึ่งชั่ง และเครื่องในหมูตุ๋นอีกสองชั่งเข้าไปในเมืองตั้งแต่เช้าตรู่
เนื่องจากวันนี้ไม่ใช่วันที่มีตลาดนัด จึงไม่ค่อยมีผู้คนมากมายนัก
ถงซื่อจ้องมองทิวทัศน์โดยรอบ ค้นหาบริเวณที่คุ้นเคยจากภาพแห่งความทรงจำ
หลังจากแต่งงานมานานหลายปี นางมีโอกาสได้เข้ามาในเมืองเพียงสองครั้ง นั่นคือเมื่อครั้งที่ได้รับคำสั่งให้มาส่งของแก่มู่เจิ้งอี้ที่กำลังศึกษาอยู่
“พักเหนื่อยสักนิดดีหรือไม่?” มู่ซืออวี่ถาม
ถงซื่อไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย โลกภายนอกช่างกว้างใหญ่ ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายราวกับได้สัมผัสกับทิวทัศน์เช่นนี้เป็นครั้งแรก ความสุขเศร้าตลอดทั้งปีที่ผ่านมาถูกปัดเป่าไปจนหมดสิ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่ามู่ซืออวี่หอบเหนื่อย นางจึงเอ่ยว่า “ข้าเริ่มเหนื่อยแล้ว”
“เช่นนั้นเรามาพักกันสักนิดเถิด”
“ในเมืองสนุกหรือไม่?” มู่เจิ้งหานเอ่ยถามลู่ฉาวอวี่
“วันนี้ไม่ใช่วันที่มีตลาด คนไม่มากเท่าไหร่” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยตอบผู้เป็นน้า
“อ้อ” มู่เจิ้งหานรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
หลังจากนั่งพักราวครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็พลันมองเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินมายังประตูเมือง
“จ่ายภาษีเข้าเมืองด้วย” ทหารกลุ่มนั้นกล่าว
“ก่อนหน้านี้ไม่มีภาษีเข้าเมืองนี่นา” มู่ซืออวี่กล่าวด้วยความรู้สึกแปลกใจ
“ก่อนหน้านี้ไม่มี แต่ตอนนี้มีแล้ว กฎหมายเพิ่งบังคับใช้เมื่อวานนี้ ตอนนี้พวกเจ้าจำเป็นต้องจ่ายภาษีเข้าเมืองคนละหนึ่งอีแปะ เด็กสามคนนี้ยังเล็ก ข้าจะเรียกเก็บเพียงภาษีเข้าเมืองสำหรับผู้ใหญ่สองคนแทนก็แล้วกัน”
ถงซื่อกล่าวด้วยความทุกข์ใจ “หากข้ารู้เร็วกว่านี้ ข้าจะไม่มาให้เจ้าเสียเงินหรอก”
“เงินเพียงหนึ่งอีแปะไม่ได้มากมายอะไร ท่านเข้ามาในเมืองเพื่อช่วยข้าดูแลลูก ๆ หากไม่มีท่าน ทุกอย่างจะวุ่นวายมากกว่านี้ไม่ใช่หรือ? เงินเล็กน้อย ข้าจ่ายได้” มู่ซืออวี่กล่าวกับถงซื่อ
อย่างไรก็ตาม ด้วยการเรียกเก็บภาษีที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ดูเหมือนว่ายุคสมัยนี้จะไม่สงบสุขอย่างที่จินตนาการไว้แล้ว
ณ ภัตตาคารเจียงซื่อ เมื่อเห็นมู่ซืออวี่เดินเข้ามา ผู้จัดการร้านก็กล่าวทักทายนางด้วยรอยยิ้ม “ตรงเวลาจริงเชียว วันนี้มีหมูตุ๋นหรือไม่?”
แน่นอนว่าเขาสนใจหมูตุ๋นมากกว่าเต้าหู้แห้ง เพราะไม่ว่าเต้าหู้แห้งจะอร่อยเพียงใด ก็ถือเป็นอาหารที่ไม่ได้มีราคานัก หมูตุ๋นต่างหากที่ทำกำไรให้เขาได้มาก