สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 753 ความจริงเป็นเช่นนี้
บทที่ 753 ความจริงเป็นเช่นนี้
บทที่ 753 ความจริงเป็นเช่นนี้
นายท่านอวี๋ถอนหายใจเบา ๆ “ฮูหยินท่านนี้ แม้ว่าท่านหมอจูจะมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่หมอไม่อาจรักษาตนเองได้ ดวงตาพร่ามัวกะทันหันก็เป็นเรื่องธรรมดา คงไม่ได้จะบอกว่าพวกเราตั้งใจฆ่าเขากระมัง?”
“แม่นางฟางหัว เจ้าพูดต่อเถอะ” มู่ซืออวี่ผายมือให้ฟางหัว
ฟางหัวไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทว่าเมื่อเห็นบรรยากาศตึงเครียดในตอนนี้ นางก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้ว
“แม่นางฟางหัว เจ้าเพียงบอกมาว่าเกิดอะไรขึ้นก็พอ ไม่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นที่นี่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า เมื่อเจ้าเดินออกไปจากประตูนี้ เจ้าก็จะยังเป็นสตรีดีงามที่ใช้ชีวิตตามปกติ”
“จู่ ๆ ท่านหมอจูก็มองไม่ชัด ท่านหมอผางบังเอิญอยู่ที่บ้านจึงเชิญเขามาปรึกษา ท่านหมอจูและท่านหมอผางเป็นสหายเก่าแก่กัน ทั้งสองจึงปรึกษากันเรื่องอาการของฮูหยิน ท่านหมอจูมองไม่เห็น ทว่าอาศัยคำบอกเล่าของท่านหมอผาง ท้ายที่สุดจึงสรุปว่าฮูหยินของพวกเราป่วยด้วยโรคนี้”
“ดังนั้น หมายความว่าท่านหมอจูสรุปว่าฮูหยินของพวกเจ้าเป็นกามโรคโดยอาศัยคำบอกเล่าของท่านหมอผางใช่หรือไหม?”
“เจ้าค่ะ”
“ตั้งแต่ตอนนี้ไป ผู้ใดเป็นคนจ่ายยาให้ฮูหยินของพวกเจ้า?”
“ท่านหมอจูเจ้าค่ะ”
“ท่านหมอจูมองไม่ชัด แล้วผู้ใดเป็นคนจ่ายยา?”
“บ่าวไปที่โรงหมอของท่านหมอจูพร้อมกับเทียบยาเพื่อรับยาจากศิษย์ของที่นั่นเจ้าค่ะ”
“หลังจากนั้นก็ต้มยา ภายหลังฮูหยินของพวกเจ้าจึงถูกพิษตาย”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ได้เร็วถึงเพียงนั้น แรกเริ่มยังอยู่ดี อาการป่วยของฮูหยินดีขึ้นไม่น้อย หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งเดือนครึ่ง ท่านหมอจูก็มาตรวจอาการฮูหยินเป็นครั้งที่ห้า ครั้งนี้จึงถึงแก่ชีวิตเจ้าค่ะ”
“ตอนนั้นดวงตาของท่านหมอจูยังมองไม่ชัดอยู่อีกหรือ?”
“เจ้าค่ะ”
“ท่านหมอจูมองไม่ชัดมาตลอดเลยหรือ?”
“ไม่เจ้าค่ะ เคยได้ยินท่านหมอจูบอกว่า เมื่อไม่กี่วันก่อนอาการดีขึ้นแล้ว ทว่าจู่ ๆ ก็ทรุดลงจนมองไม่เห็นแม้กระทั่งแสงสว่าง เดิมทีท่านหมอจูอยากให้เราไปเชิญท่านหมอคนอื่น เพียงแต่ฮูหยินของเราเชื่อเพียงท่านหมอจูเท่านั้น อย่างไรโรคนี้ก็ไม่ใช่โรคที่แพร่เชื้อได้ ท่านหมอจูค่อนข้างเข้มงวด ฮูหยินของพวกเราจึงเชื่อในตัวเขา ไม่ยินยอมเปลี่ยนเป็นหมอคนอื่นเจ้าค่ะ”
หลังจากฟังคำถามของมู่ซืออวี่มาเนิ่นนาน นายอำเภอกู่ก็เอ่ยขัดขึ้น “ฮูหยินสงสัยว่าดวงตาของท่านหมอจูถูกผู้อื่นทำร้ายหรือ?”
“ใต้เท้าช่างรอบรู้เสียจริง” มู่ซืออวี่เอ่ย “ดวงตาของท่านหมอจู บางครั้งก็ดีขึ้นและบางครั้งก็แย่ลง ทุกครั้งที่อาการแย่ลง ล้วนเป็นตอนมาที่จวนอิน นี่เป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ หรือ?”
“พอฮูหยินกล่าวเช่นนี้แล้ว ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่ท่านว่าจริง ๆ” ฟางหัวเอ่ย “เพียงแต่ ฮูหยินของพวกเราไม่ได้สงสัยอะไร”
“ฮูหยินของพวกเจ้าไม่สงสัย นั่นเพราะสหายของฮูหยิน คนงานที่ชื่อเจี่ยงลี่ผู้นั้นก็เป็นโรคนี้ พวกเจ้าคิดว่าโรคนี้แพร่มาจากเจี่ยงลี่กระมัง?”
ฟางหัวไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก
ถึงแม้ว่าเจ้านายจะตายไปแล้ว ทว่าอย่างไรฮูหยินอินก็เป็นสตรีผู้หนึ่ง คงไม่อยากให้ผู้อื่นมาตำหนินางลับหลัง
“ใต้เท้ากู่ คนของข้าพบท่านหมอผางแล้ว ให้เขาเข้ามาระบุตัวผู้ที่ซื้อตัวเขาเลยได้หรือไม่” มู่ซืออวี่กล่าว
“อนุญาต”
มู่ซืออวี่ส่งสัญญาณไปทางซางจือ
ซางจือออกไปทันที หลังจากนั้นไม่นาน นางก็เดินกลับเข้ามาพร้อมกับชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง
อินซู่หลานกำหมัดแน่น เหงื่อกาฬไหลลงจากหน้าผาก
ตอนนี้เอง ในที่สุดนางก็รู้ว่าตนกลัวแล้ว
ท่านหมอผางมองมู่ซืออวี่ จากนั้นก็หันไปมองนายอำเภอกู่ สุดท้ายจึงหันไปมองนายท่านอวี๋และอินซู่หลาน
“ท่านหมอผาง ท่านยอมรับผิดหรือไม่?” นายอำเภอกู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ข้าน้อยรู้ความผิดขอรับ” เมื่อท่านหมอผางเห็นการต่อสู้ครั้งนี้ เขาจะไม่เข้าใจสถานการณ์ได้อย่างไร เขาไม่กล้าเยิ่นเย้ออีก ยอมรับความผิดทั้งหมดแต่โดยดี “เป็นข้าน้อยที่โลภมากจนลืมหน้าที่ในฐานะหมอของตนไป ทำร้ายฮูหยินอินถึงตาย นับตั้งแต่ฮูหยินอินตายไป ข้าน้อยก็ไม่มีวันหลับตาลงอย่างสงบอีกเลย ตอนนี้ข้าน้อยอมเปิดปากเล่าทุกอย่างออกมาก็เพื่อให้ตนโล่งใจเท่านั้น”
“หากท่านเสียใจจริง ๆ ท่านต้องเป็นฝ่ายยอมรับผิด ไม่ใช่รอให้ข้าหาท่านพบถึงได้กลับตัวกลับใจ”
“ฮูหยิน ข้าน้อยมีลูกชายอายุเพียงเจ็ดขวบ เขาป่วยหนักต้องใช้ยาและคุณหนูอินก็ได้รับยานี้มาพอดี ข้าน้อยจึงทำได้เพียงฟังนางและวางแผนหลอกลวงเรื่องอาการป่วยของฮูหยินอิน”
“เจ้า!…” อินซู่หลานคว้าถ้วยน้ำข้าง ๆ ขว้างออกไป
“บังอาจ!” นายอำเภอกู่ขึ้นเสียงด้วยความโกรธ “ข้ายังอยู่ที่นี่ จะปล่อยให้เจ้าโอหังเพียงนี้ได้อย่างไร? นักการ จับนางไว้!”
“ใต้เท้า” นายท่านอวี๋ลุกขึ้นยืน “หลานเอ๋อร์ยังเด็กนัก ใต้เท้าได้โปรดยกโทษให้นางที่หุนหันพลันแล่นด้วย”
“นายท่านอวี๋ หากนางเป็นเด็กในสายตาท่าน เช่นนั้นเหตุใดเมื่อคืนมีความสัมพันธ์กับนางเล่า?” มู่ซืออวี่เอ่ย “อีกอย่าง ไม่ต้องรีบร้อนไป เพราะเรื่องนี้ยังไม่จบ”
“ท่านหมอผางถูกคุณหนูอินซื้อตัวจริง ๆ เพียงแต่ท่านหมอผางบอกว่า นางทำเพียงเพื่อหลอกลวงเรื่องอาการป่วยของฮูหยินอิน ส่วนผู้ที่วางยานั้น ยังมีอีกคน” มู่ซืออวี่มองนายท่านอวี๋ “ใช่หรือไม่? นายท่านอวี๋”
“ข้าน้อยไม่เข้าใจว่าฮูหยินหมายถึงอะไร”
“อีกไม่นานท่านก็จะเข้าใจ” มู่ซืออวี่กล่าว “บ่าวรับใช้ที่วางยาพิษตายไปแล้ว ผู้ตายไม่อาจให้การได้ ยานั้นนายท่านอวี๋ขึ้นเขาไปเก็บมาด้วยตนเองจึงไร้ซึ่งเบาะแสอื่น อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่ท่านเก็บสมุนไพร ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก ที่ตีนเขามีครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ ท่านไปขอหลบฝนที่นั่น บังเอิญครอบครัวนั้นเป็นหมอเท้าเปล่าในหมู่บ้าน เขาพอมีทักษะทางการแพทย์อยู่บ้างจึงได้จดบันทึกตัวยาของท่านลงไปหลังจากพบพวกมัน”
“หากนายท่านอวี๋ยังคงไม่เชื่อ ข้าสามารถเรียกครอบครัวนั้นมาต่อหน้าท่านได้ คงมีคนเคยพบเห็นท่านปรากฏตัวในหมู่บ้านมากกว่าหนึ่งคนเป็นแน่ ดังนั้นท่านย่อมไม่อาจลบร่องรอยของตนได้หมด”
“ท่านน้า ท่าน…” อินซู่หลานมองนายท่านอวี๋ด้วยความตกใจ “เป็นท่านจริง ๆ หรือ?”
“ให้ข้าเล่าเรื่องทั้งหมดนี้เถอะ!” มู่ซืออวี่เอ่ย “อย่างที่ข้าบอกไปก่อนหน้านี้ ฮูหยินอินเป็นคนงามจนชวนตะลึง แม้กระทั่งชายหนุ่มวัยเดียวกันกับคุณหนูอินยังอดที่จะตกหลุมรักนางไม่ได้ นับประสาอะไรกับนายท่านอวี๋ผู้ที่ผ่านคืนวันมาด้วยกันกับนางหลายปีเล่า นายท่านอวี๋พึงใจฮูหยินอิน ทว่าฮูหยินอินเห็นนายท่านอวี๋เป็นเพียงน้องชายเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ นายท่านอวี๋จึงกลายมาเป็นคนจิตใจมืดมน สาเหตุที่ท่านลงมือฆ่าเป็นเพราะคนงานที่ชื่อเจี่ยงลี่ ผู้ที่กลายมาเป็นชู้รักของฮูหยินอิน ท่านไม่อาจทนเห็นเรื่องนี้ได้จึงวางหลุมพรางขึ้นมา”
“เจี่ยงลี่ตายแล้ว ทว่าร่างของเจี่ยงลี่ยังอยู่ที่นี่ ผู้อื่นล้วนบอกว่าเขาตายเพราะกามโรค ทว่าจากที่ตรวจร่างกายของเจี่ยงลี่แล้ว พบว่าเขาไม่ได้เป็นคนไข้กามโรค ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่กุขึ้นมา ท่านหมอผาง ท่านมาอธิบายเถอะ! ท่านเป็นคนตรวจเจี่ยงลี่ใช่หรือไม่?”
“ใช่” ท่านหมอผางเอ่ย “นายท่านอวี๋ให้เงินก้อนหนึ่งกับข้าเพื่อให้ข้าโกหกใหญ่โตเช่นนี้”
“เหตุที่เจี่ยงลี่เชื่อว่าเขาติดโรคนี้เป็นผลงานของนายท่านอวี๋!”
“ไม่ผิด” นายท่านอวี๋ยิ้มบาง ๆ
บัดนี้เรื่องจบลงแล้ว เขาจึงหยุดหาข้อแก้ตัว ปล่อยให้เลยตามเลยและสารภาพออกมาตามความจริง
“ครั้งหนึ่ง ข้าพาเจี่ยงลี่ออกไปปรึกษาหารือเรื่องการค้า บังเอิญพวกเราไปปรึกษากันในหอโคมเขียว ข้าขอให้สตรีหอโคมเขียวทำให้เขาเมาและร่วมเตียงกับเขาชั่วระยะหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็เริ่มมีอาการป่วย ข้าจึงพาเขาไปหาท่านหมอผาง ยามนั้นเจี่ยงลี่เชื่อใจข้ามาก ย่อมนึกไม่ถึงว่าข้าจะทำเรื่องทั้งหมดนี้”