สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 754 ท่านหมอจูกลับมาแล้ว
บทที่ 754 ท่านหมอจูกลับมาแล้ว
บทที่ 754 ท่านหมอจูกลับมาแล้ว
ความจริงของคดีถูกเปิดเผย ท่านหมอจูจึงถูกปล่อยตัวออกจากคุก
หลายชั่วยามต่อมา ถงซื่อและมู่ซืออวี่พาเด็ก ๆ ไปต้อนรับการกลับมาของเขา
“ท่านอาจู พวกเขาไม่ได้รังแกท่านกระมัง?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“ต้องขอบคุณเจ้าแล้ว ข้าอยู่ข้างในกินอิ่มนอนหลับ อีกทั้งยังมีเวลาศึกษาตำราแพทย์ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าข้าสบายเพียงใด” ท่านหมอจูเอ่ย
“ในเมื่อข้างในสบายถึงเพียงนั้น ท่านก็กลับเข้าไปอยู่อีกครั้งเถอะ!” ถงซื่อรู้สึกรำคาญขึ้นมาแล้ว
“ไม่เอาหรอก ข้าคิดถึงพวกเจ้า ให้ข้าอยู่ข้างนอกจะดีกว่า!” ท่านหมอจูคว้ามือถงซื่อไปจับ “เหตุใดเจ้าจึงผ่ายผอมเพียงนี้? สีหน้าเจ้าดูไม่ดีเลย ป่วยแล้วหรือ? รีบมาให้ข้าตรวจดูเถิด”
ถงซื่อถอนมือออกจากการเกาะกุม ไม่ยอมให้เขาตรวจชีพจรได้
ทั้งสองคนยื้อยุดกันไปมา ผู้หนึ่งดึงอีกผู้หนึ่งสะบัดออก พวกเขายื้อยุดกันอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน มู่ซืออวี่กับสาวใช้และเด็ก ๆ ยืนชมละครดี ๆ อยู่ที่นั่น โดยไม่มีความคิดที่จะเร่งเร้าสองสามีภรรยาแม้แต่น้อย
“พอแล้ว เด็ก ๆ กำลังมองอยู่นะ ท่านก็ไม่รู้จักอายเสียบ้าง” ถงซื่อเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก่อน
ในที่สุดท่านหมอจูจึงได้ตรวจชีพจรของนางแล้วเอ่ยว่า “เจ้าโมโหถึงเพียงนี้ เพราะเป็นห่วงเรื่องข้าใช่หรือไม่?”
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว” มู่ซืออวี่กล่าว “ตอนที่ข้ากลับมา ท่านแม่ข้าก็นอนซมอยู่บนเตียง”
“ล้วนต้องขอบคุณนังหนูอวี่” ดวงตาของถงซื่อเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “ตาแก่คนนี้โง่ยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าจะทำความผิดพลาดเช่นนี้ได้ เกือบจะถูกคนใส่ร้ายเปล่า ๆ แล้ว”
“พวกเรากลับเข้าไปแล้วค่อย ๆ คุยกันเถอะ” มู่ซืออวี่เอ่ย
นักการผู้หนึ่งเดินออกมาจากศาลาว่าการ เขาเอ่ยกับมู่ซืออวี่ “ฮูหยิน ใต้เท้าของเราจะจัดงานเลี้ยง จึงเรียนเชิญฮูหยินไปร่วมงานขอรับ”
“รวบกวนบอกใต้เท้าของพวกเจ้าแทนข้าหน่อยว่า ข้ามาที่นี่เพราะเรื่องส่วนตัว ไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ตัวตน คำพูดเกรงใจเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องมี เรื่องที่ต้องแสดงความสุภาพก็ไม่จำเป็นต้องทำ เขาเพียงแค่ทำหน้าที่ของเขาให้ดีต่อไปก็พอ”
“ขอรับ”
“พวกเราไปเถอะ!” มู่ซืออวี่พาทุกคนจากไป
ท่านหมอจูอยู่ในคุกเป็นเวลานาน เรื่องแรกที่เขาต้องทำหลังจากกลับมาที่บ้านคือก้าวข้ามกระถางไฟ อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อขับไล่โชคร้าย
หลังจากได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นกับสกุลอิน ท่านหมอจูก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศก
“นายท่านอวี๋ผู้นั้นเป็นคนมีชื่อเสียงของที่นี่ ผู้ที่ทำการค้าคิดว่าเขาเป็นคนยุติธรรม ชาวบ้านธรรมดาคิดว่าเขาสุภาพ ไม่สร้างความลำบากให้ผู้คนเหมือนผู้มั่งมีคนอื่น ๆ ไม่เคยคิดว่าเขาจะเป็นพวกแสร้งเป็นคนดีเช่นนี้”
“เขาพร่ำบอกว่าทำไปเพราะความรัก อันที่จริง เรื่องเหล่านั้นล้วนเป็นข้ออ้างที่เขาใช้แก้ตัวเพราะการทำบาปของตน หากเขารักฮูหยินอินจริง เขาย่อมไม่ยินดีทำร้ายนางแม้แต่น้อย เขามีนิสัยโหดเหี้ยมทารุณ ไหนจะอินซู่หลานอีก นางอิจฉามารดาของตนเองจึงถึงกับลงมือทำร้ายมารดาเช่นนั้น” มู่ซืออวี่เอ่ย “คนพรรค์นี้เดิมทีก็ไม่ใช่มนุษย์ตั้งแต่แรกแล้ว”
“เมื่อมองดูโดยรวมแล้ว หลังจากอินซู่หลานคิดว่าเจี่ยงลี่เป็นกามโรค นางจึงคิดอุบายให้ฮูหยินอินคิดว่าตนก็เป็นกามโรคเช่นกัน เมื่อทำอย่างนี้ฮูหยินอินจะได้วางกิจการในมือลง แล้วส่งต่อทรัพย์สินสกุลอินให้นาง ยามนั้นนางกำลังลอบคบหากับนายท่านอวี๋ จึงต้องการจัดการทั้งสกุลอินร่วมกับเขา อย่างไรก็ดี สิ่งที่นางไม่รู้คือเจี่ยงลี่ไม่ได้เป็นกามโรคแม้แต่น้อย เป็นนายท่านอวี๋ที่วางหลุมพรางนี้ขึ้นมาทำให้นางเกิดความเข้าใจผิดเช่นนั้น ทุกย่างก้าวของอินซู่หลานล้วนมีนายท่านอวี๋คอยชักจูง มีเพียงขั้นสุดท้ายที่นายท่านอวี๋ลงมือเอง เพราะเขารู้ว่า ไม่ว่าอินซู่หลานจะโหดร้ายเพียงใดก็ไม่กล้าฆ่ามารดาของตน”
“พวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อ?” ถงซื่อเอ่ยถาม
“อินซู่หลานถูกจับขังคุก นางได้รับโทษจำคุกห้าปี ส่วนนายท่านอวี๋ได้รับโทษประหาร ประหารเดือนหน้าเจ้าค่ะ” ฉานอีกล่าว
“ท่านอาจู ตาท่านเป็นอย่างไรบ้าง? พวกเขาวางยาพิษท่าน ทว่าท่านไม่สังเกตเห็น ครั้งนี้ข้าคิดว่าท่านที่เป็นท่านหมอเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวงแล้ว ไม่รู้ว่าจะยังมีคนไข้เชื่อใจท่านอยู่หรือไม่”
ท่านหมอจู “…”
เขาอยากจะกระอักเลือดเพราะคำพูดนั้น
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความจริง
เขาได้ชื่อว่าเป็นหมอผู้หนึ่ง แต่กลับถูกคนไข้วางยาพิษ ทั้งยังคิดว่าสายตาตนเองไม่ดีเพราะอายุมากแล้ว
เมื่อท่านหมอจูกลับมาที่บ้านแล้ว หากมู่ซืออวี่รั้งอยู่ต่อไปย่อมไม่สะดวก นางจึงพาเด็ก ๆ กลับไปยังจวนลู่
จวนลู่ที่เงียบเหงามาเป็นเวลานาน นึกไม่ถึงว่าจะมีคนเข้า ๆ ออก ๆ อีกครั้ง ถึงแม้จะมีเพียงรถม้าคันเดียวที่เทียวเข้าเทียวออก ชาวเมืองก็อดคาดเดาไม่ได้ เพียงแต่พวกเขาไม่เห็นผู้ใดจากสกุลลู่เท่านั้น จึงไม่กล้าถือการคาดเดานั้นเป็นจริงเป็นจัง
ณ ทางเข้าลานหรรษา มู่ซืออวี่และเด็ก ๆ กำลังจะเข้าไป แต่พวกเขากลับถูกคนเฝ้าประตูมาขวางเอาไว้ก่อน
“ฮูหยินท่านนี้ โปรดแสดงบัตรของพวกท่านได้หรือไม่?”
“ฮูหยินของพวกเรายังต้องแสดงบัตรผ่านเข้าประตูด้วยหรือ?”
เดิมทีทางเข้าลานหรรษาไม่จำเป็นต้องใช้บัตร แต่เมื่อคนมากมายหลั่งไหลมาที่นี่เรื่อย ๆ เพื่อชมความครื้นเครง อีกทั้งยังเห็นมันเป็นจุดหมายปลายทางที่ต้องมาเยี่ยมชม หากเพียงแค่นั้นย่อมไม่เป็นไร
อย่างไรก็ตาม เมื่อคนมาที่นี่มากขึ้นเรื่อยย่อมมีปัญหามากมายตามมาเช่นกัน ดังนั้นมู่ซืออวี่จึงได้ตั้งกฎใหม่ขึ้นมา นั่นคือ บัตรสำหรับผู้ใหญ่ราคาสิบอีแปะ สำหรับเด็กราคาห้าอีแปะ หลังจากจ่ายค่าบัตรผ่านประตูจึงจะเข้าไปเล่นเครื่องเล่นได้
กฎใหม่เพิ่งประกาศออกไป เป็นไปดังคาด คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาเยี่ยมชมความครื้นเครงจึงทยอยลดลง ทำให้ง่ายต่อการจัดการด้านในมากยิ่งขึ้น
“ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ของเพียงแค่ต้องการเข้ามา ท่านต้องจ่ายค่าบัตรผ่านประตู” คนงานเอ่ย “ฮูหยิน ท่านดูไม่คุ้นหน้าเลย คงเพิ่งมายังเมืองฮู่เป่ยกระมัง ถึงได้ไม่เข้าใจกฎของเรา ข้าจะแนะนำท่านว่าชุดราคาใดจึงจะคุ้มค่าที่สุด ข้าเห็นว่าท่านมีลูกหลายคนทีเดียว หากท่านเลือกชุดนี้จะประหยัดเงินได้ไม่น้อย”
“ได้ เช่นนั้นเจ้าแนะนำข้าเถอะ!” มู่ซืออวี่ห้ามการตอบสนองของซางจือ นางยิ้มแย้ม อีกทั้งยังให้คนงานผู้นั้นแนะนำ
คนงานผู้นั้นมีคารมคมคายเป็นอย่างยิ่ง
มู่ซืออวี่ฟังเขาแนะนำเครื่องเล่นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะจบง่าย ๆ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“ฮูหยิน ท่านตั้งใจจะอาศัยอยู่ที่เมืองฮู่เป่ยถาวร หรือเพียงแค่มาพักอยู่ที่นี่เพียงสองสามวันขอรับ?”
“นี่เกี่ยวข้องอะไรด้วยหรือ?”
“แน่นอน หากฮูหยินอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน เช่นนั้นก็สามารถสมัครสมาชิกอายุหนึ่งปีเพื่อการเล่นเครื่องเล่นแบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง เล่นนานได้เท่าที่ต้องการ แต่หากฮูหยินมาที่นี่เพียงไม่กี่วันก็สมัครบัตรสมาชิกรายอาทิตย์ได้ ทว่าบัตรรายอาทิตย์จะมีการจำกัดจำนวนครั้ง พวกเรายังมีบัตรรายเดือน บัตรอายุสามเดือน บัตรครึ่งปี…”
“นางไม่ต้องใช้บัตรอะไรทั้งสิ้น” เสียงใสกระจ่างดังขึ้น
มู่ซืออวี่หันกลับไปเห็นสตรีที่กำลังเดินมาหา
“ผู้ดูแลเจิ้ง” คนงานรีบคำนับเจิ้งซูอวี้ทันที
เจิ้งซูอวี้พยักหน้าให้คนงานแล้วเอ่ยกับเขา “ท่านนี้คือเจ้านายของพวกเรา เจ้าของลานหรรษาแห่งนี้”
คนงานมองมู่ซืออวี่ด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็กลายเป็นตื่นกลัว เขารีบขอโทษอย่างรวดเร็ว “ขออภัยขอรับ เจ้านาย ผู้น้อยนึกว่าเป็นผู้มาใหม่ ไม่รู้ว่า…”
“ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ถือสา นอกจากนี้เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ข้าไม่ได้กลับมาหลายปี เจ้าไม่รู้จักข้า แน่นอนว่าต้องเห็นข้าเป็นแขกทั่วไป ดูจากสถานการณ์เมื่อครู่นี้ เจ้าเป็นคนที่รับผิดชอบหน้าที่ได้ดียิ่ง ทำงานให้ดีเถอะ ข้าประทับใจเจ้ายิ่งนัก”
“ขอบคุณเจ้านายที่กล่าวชม” คนงานผู้นั้นตื่นเต้นจนยากจะข่มใจ
เจ้าของลานหรรษาแห่งนี้ราวกับเป็นตำนาน คนมากมายได้ยินเรื่องเกี่ยวกับนาง แต่ไม่เคยพบนางมาก่อน ตอนนี้เขาไม่เพียงแต่ได้พบ ทว่ายังได้รับคำชมจากนางอีกด้วย เขามีความสุขราวกับมีดอกไม้ไฟระเบิดอยู่ในอก
“เจ้าชื่ออะไร?” เจิ้งซูอวี้เอ่ยถาม
“ถานต้าฝูขอรับ”
“ข้าจะจำชื่อเจ้าไว้ ทำงานให้ดี” เจิ้งซูอวี้พยักหน้าแล้วหันไปกล่าวกับมู่ซืออวี่ “นี่คือชิงเอ๋อร์กับฉาวจิ่งหรือ? อยากไปเล่นหรือไม่?”
“เมืองหลวงไม่มีลานหรรษาขนาดใหญ่ปานนี้ เรือนพักผ่อนบนภูเขาที่ข้าสร้างมีลานหรรษาเล็ก ๆ แต่ไม่ได้มีเครื่องเล่นอะไรมากมาย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงอยากจะเล่นสนุก”