สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 755 พี่หญิงน้องหญิงพร้อมหน้าพร้อมตา
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 755 พี่หญิงน้องหญิงพร้อมหน้าพร้อมตา
บทที่ 755 พี่หญิงน้องหญิงพร้อมหน้าพร้อมตา
บทที่ 755 พี่หญิงน้องหญิงพร้อมหน้าพร้อมตา
ในลานหรรษา เจิ้งซูอวี้จัดเตรียมคนให้พาเด็ก ๆ ไปเล่นเครื่องเล่น ส่วนนางและมู่ซืออวี่นั่งอยู่ที่จุดพักผ่อน ชมภาพเปี่ยมชีวิตชีวาเบื้องหน้า
“ข้าเพิ่งกลับมาก็ได้ยินว่ามีคนมาหา ทีแรกข้านึกว่าเป็นผู้ที่อยากจะมาเป็นหุ้นส่วนกันจึงไม่ได้สนใจนัก นึกไม่ถึงว่าเพียงมาเดินตรวจตราที่นี่จะได้พบเจ้า นี่ไม่เรียกว่าใจสื่อถึงกันหรือ?”
“เจ้ากับนายท่านฉินยังคงราบรื่นดีกระมัง” มู่ซืออวี่หยอกเย้า “จากสีหน้าที่มีเลือดฝาดของเจ้าแล้ว ดูเหมือนจะไปได้ดีทีเดียว”
“ข้ามีผู้หนุนหลังอย่างเจ้า สกุลฉินขอแค่เพียงมีสมอง ล้วนรู้ว่าไม่ควรล่วงเกินข้า” เจิ้งซูอวี้เอ่ย “กล่าวไปแล้วที่สกุลฉินยอมรับข้าง่ายดายก็เป็นเพราะเจ้า ไม่เช่นนั้น ข้าที่เป็นเพียงเด็กกำพร้าซึ่งตัดขาดจากสกุลเจิ้ง ผู้เฒ่าในสกุลฉินเหล่านั้นย่อมต้องดูถูก ครานี้เจ้าจะรั้งอยู่ในเมืองฮู่เป่ยนานเพียงใด? เหตุใดจู่ ๆ กลับมาเล่า? เมืองหลวงเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือ?”
“หลายปีมานี้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมาย นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะจะคุยกัน อีกประเดี๋ยวตามข้ากลับไปเถิด เย็นนี้ข้าจะทำอาหารสักสองสามอย่าง พวกเราพี่หญิงน้องหญิงจะดื่มกันสักจอก ถึงตอนนั้นข้าจะค่อย ๆ บอกเจ้าว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองหลวงบ้าง”
“เอาสิ!” เจิ้งซูอวี้กอดแขนมู่ซืออวี่เอาไว้ “จริงสิ เจ้ายังจำหงซูได้หรือไม่?”
“จำได้ นางไม่ได้ไปจากที่นี่แล้วหรือ?”
“เมื่อเดือนก่อนข้าได้รับจดหมายจากนาง นางได้พบกับบุรุษที่ดีคนหนึ่ง ทั้งสองแต่งงานกัน ตอนนี้มีลูกสาวสองขวบแล้ว”
“นับว่าเป็นขมสิ้นหวานตามโดยแท้”
“นั่นน่ะสิ”
สองสามชั่วยามต่อมา เด็ก ๆ จำใจต้องจากลานหรรษาไป
ลู่จื่อชิงนั่งอยู่ข้าง ๆ เจิ้งซูอวี้ เรียกน้าเจิ้งครั้งแล้วครั้งเล่า ทำเอาคนถูกเรียกยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้
เจิ้งซูอวี้กอดลู่จื่อชิง แล้วมองลู่จื่ออวิ๋นที่อยู่ตรงข้าม “พริบตาเดียว เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ก็เติบใหญ่แล้ว พวกเราก็แก่เฒ่าลงเรื่อย ๆ เวลาไม่เคยหยุดนิ่งเลยจริง ๆ”
“น้าเจิ้ง ท่านยังคงเหมือนเมื่อก่อน ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ยังคงพูดจาน่าฟังเช่นเคย” เจิ้งซูอวี้เอ่ยยิ้ม ๆ “เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ปักปิ่นแล้วกระมัง? มีตัวเลือกที่เหมาะสมแล้วหรือยัง?”
แม่นางเช่นนี้ ไม่รู้ว่าสกุลใดจึงจะคู่ควร ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสถานะบิดาผสมกับความมั่งคั่งของมารดานาง ในโลกนี้มีเพียงไม่กี่สกุลที่เหมาะสมกับลู่จื่ออวิ๋น
“ไม่รีบร้อน” มู่ซืออวี่เอ่ย “แม่นางสกุลเราต้องรั้งอยู่อีกหลาย ๆ ปี”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เจิ้งซูอวี้กลับมาเป็นมือขวาเช่นเคย นางคืนกิจการทั้งหมดในเมืองฮู่เป่ยให้มู่ซืออวี่ ฮูหยินลู่ผ่อนคลายอยู่ที่เมืองฮู่เป่ยระยะหนึ่ง
เพียงไม่นาน วันเวลาก็ผ่านไปสี่เดือนแล้ว
ระหว่างนี้มู่ซืออวี่ไม่ได้รับจดหมายจากลู่อี้แม้เพียงฉบับเดียว
ข้างกายนางมีลูกน้องของเซี่ยคุนหลายคน นางให้พวกเขาติดต่อลู่อี้หรือเซี่ยคุนหลายครั้ง จดหมายก็ส่งไปแล้ว ทว่ายังไม่มีการตอบกลับใด ๆ
“ฮูหยิน ได้ยินว่านายท่านฉินได้รับบาดเจ็บแล้วเจ้าค่ะ” ซางจือเดินเข้ามาจากข้างนอก “ท่านอยากไปดูหน่อยหรือไม่เจ้าคะ?”
“เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด?”
“เพิ่งเกิดเจ้าค่ะ” ซางจือเอ่ย “นายท่านฉินนำคาราวานไปทำการค้าเมื่อหนึ่งเดือนก่อนและยังไม่กลับมา ฮูหยินเจิ้งวางแผนจะให้ผู้สอดแนมของสกุลฉินไปสืบหาข่าว แต่นายท่านฉินพาร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับมาก่อน”
“ข้าจะไปดูเขาเสียหน่อย”
เรื่องนี้เกี่ยวกับเจิ้งซูอวี้ มู่ซืออวี่ย่อมต้องไปดู
สกุลฉิน
ระยะนี้พ่อบ้านได้พบมู่ซืออวี่บ่อยแล้ว เมื่อเห็นนางมาจึงเชิญให้เข้าไปทันที
“นายท่านฉินของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“บนร่างกายมีบาดแผลหลายจุด หนึ่งในนั้นใกล้ตำแหน่งหัวใจ โชคดีที่พลาดไป ไม่เช่นนั้นอาจไม่ได้กลับมาทั้งที่ยังมีชีวิต ครานี้นายท่านของพวกเราได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคดีที่สามารถรักษาชีวิตน้อย ๆ เอาไว้ได้ขอรับ”
“ฮูหยินของพวกเจ้าอยู่ข้างในกระมัง?”
“อยู่ขอรับ ฮูหยินไม่เคยผละไปจากข้างกายนายท่านเลย”
“เอาละ ข้าจะเข้าไปเอง”
มู่ซืออวี่เดินตรงเข้าไปในเรือน
สาวใช้เปิดม่าน แล้วตะโกนเข้าไปด้านใน “ฮูหยินลู่มาแล้วเจ้าค่ะ”
เจิ้งซูอวี้ผู้ที่กำลังร้องไห้อยู่ข้างในปาดน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้า ลุกขึ้นแล้วมองไปทางประตู เมื่อเห็นมู่ซืออวี่มาเพียงลำพัง นางจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างไรเสียบาดแผลของฉินเหวินหานก็น่ากลัวอยู่มาก เด็ก ๆ อาจจะตกใจเอาได้
“เจ้ามาได้อย่างไร?”
“เกิดเรื่องใหญ่เพียงนี้ ข้าจะไม่มาได้อย่างไรเล่า?”
มู่ซืออวี่เหลือบมองฉินเหวินหานที่อยู่บนเตียง ฝ่ายหลังมีสีหน้าไม่น่ามองเท่าใดนัก
“ท่านหมอว่าอย่างไรบ้าง?”
“ท่านหมอบอกว่าไม่มีบาดแผลสาหัสปางตาย ทว่าการหนีเอาตัวรอดครั้งนี้ของเขาทำให้ร่างกายข้างในได้รับความเสียหาย เขาต้องพักฟื้นสักระยะหนึ่ง ไม่ควรออกไปทำการค้าในช่วงสองปีนี้ ถึงแม้ท่านหมอจะไม่เอ่ย ข้าก็ไม่อาจให้เขาไปได้อยู่ดี สกุลฉินมีคนมากมาย เหตุใดต้องให้เขาวิ่งไปวิ่งมาเช่นนี้? ตอนนี้เขาไม่ได้เป็นเด็กหนุ่มแล้ว อีกทั้งยังไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน”
“เขาควรพักผ่อนแล้วจริง ๆ จะได้อยู่เป็นเพื่อนเจ้ากับลูก”
ฉินเหวินหานส่งเสียงร้องแสดงความเจ็บปวดออกมา
เจิ้งซูอวี้รีบนำน้ำมาป้อนที่ปากเขา เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับลำคอที่แห้งผาก
มู่ซืออวี่คอยพยุงอยู่ข้าง ๆ
“ครั้งนี้ได้รับความเสียหายหนักใช่หรือไม่?”
“เขาพาคนไปมากกว่าห้าสิบคน มีเพียงห้าคนที่รอดกลับมาได้” เจิ้งซูอวี้เอ่ย “ได้ยินว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นที่เมืองถงหยาง ระหว่างทางล้วนโกลาหล โจรออกปล้นสะดม”
“เมืองถงหยาง?!”
“ใช่แล้ว” เจิ้งซูอวี้เห็นท่าทางตกใจของนางจึงเอ่ยถาม “มีปัญหาอะไรหรือ?”
“ข้าไม่เคยบอกพวกเจ้า คนบ้านเราท่านนั้นไปเมืองถงหยาง ไม่มีความเคลื่อนไหวมาสี่เดือนแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “เรื่องนี้เป็นความลับ ในเมืองหลวง มีไม่กี่คนที่ล่วงรู้”
“หรือว่าเกิดอะไรขึ้น?” เจิ้งซูอวี้คาดเดา “ไม่ว่าอย่างไร ด้วยความสามารถของใต้เท้าลู่จะต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน การจะติดต่อเขานั้นไม่ง่าย เมื่อเขาจัดการเรื่องราวเสร็จแล้ว ย่อมต้องกลับมาหาเจ้าแน่”
มู่ซืออวี่เห็นว่าฉินเหวินหานปลอดภัยแล้วจึงกล่าวปลอบเจิ้งซูอวี้สองสามคำ รั้งอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงออกมาจากบ้านสกุลฉิน
นางให้หลายคนติดต่อลู่อี้กับเซี่ยคุน หากไม่ได้ผลก็ติดต่อหาฉีเซียวได้ อย่างไรเสีย ฉีเซียวและลู่อี้ก็อยู่ด้วยกัน
“นังหนูอวี่” ถงซื่อกัดเส้นด้ายให้ขาด แล้วมองไปทางนาง “หมู่นี้เจ้ากังวลใจอะไรใช่หรือไม่?”
“ไม่เจ้าค่ะ” มู่ซืออวี่ส่งยิ้มให้ “อากาศเริ่มหนาวแล้ว ข้าสงสัยว่าควรสร้างเตาผิงไฟหรือไม่”
“คืออะไรหรือ?” ถงซื่อไม่รู้จักแม้แต่น้อย
“เตาที่ทำให้อบอุ่นน่ะเจ้าค่ะ”
“ทุกวันนี้ทุกคนใช้เตียงเตา*[1] แล้ว ของเช่นนี้ไม่มีประโยชน์อะไรมากนักหรอก”
“จริงด้วย!” มู่ซืออวี่ตอบยิ้ม ๆ
นางไม่มีกะจิตกะใจคิดถึงของเหล่านี้แล้ว นางเพียงแค่ไม่อยากให้ถงซื่อกังวลจึงอ้างไปอย่างนั้น อันที่จริงนางกำลังคิดว่าหากเกิดเรื่องที่เมืองถงหยาง เมืองหลวงย่อมต้องได้รับข่าวแล้ว
“จริงสิ เจ้าอยากกลับไปดูที่ชนบทหรือไม่?” ถงซื่อเอ่ย “ที่นั่นยังมีบ้านของเจ้า”
“ตอนนั้นข้ามอบให้ท่านน้าแล้วไม่ใช่หรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้นมา “ข้าไม่กลับไปจะดีกว่า พวกท่านน้าจะได้ไม่กระอักกระอ่วน”
“เมื่อวานนี้ท่านน้าเจ้าเข้าเมืองมา ข้าบอกนางว่าเจ้ากลับมาแล้ว นางยังอยากมาพบเจ้า หากเจ้าไม่อยากพบ ข้าจะหาวิธีปฏิเสธให้” อย่างไรเสียตอนนี้สถานะของมู่ซืออวี่ก็ไม่ธรรมดาแล้ว หากไม่อยากพบ นั่นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ “ญาติผู้น้องทั้งสองของเจ้าแต่งงานกับสกุลดี ๆ เจ้ายังไม่ได้พบนางสินะ”
[1] เตียงเตา ประกอบด้วยสามส่วน คือ เตา เตียง และปล่องไฟ ส่วนของเตาใช้ประกอบอาหารได้ ตัวเตียงยังใช้อุ่นนั่งและนอนได้ หน้าที่หลักของเตียงเตาคือการทำความร้อนเพื่อป้องกันความหนาวเย็นในฤดูหนาว