สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 76 ขอทาน
บทที่ 76 ขอทาน
บทที่ 76 ขอทาน
เมื่อออกมาจากภัตตาคารเจียงซื่อ อาหารมากมายที่ขนมาเต็มตะกร้าก็หายไป และถูกแทนที่ด้วยเงินกว่า 400 อีแปะในกระเป๋า
เมื่อถงซื่อได้เห็นเม็ดเงินที่ลูกสาวหาได้ด้วยตาของตัวเอง นางก็ตกตะลึง นึกว่าตนอยู่ในความฝัน
“ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่?”
นางแต่งงานมานับสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเงินมากมายถึงเพียงนี้ และเงินนั้นก็มาจากความสามารถของลูกสาวนางเอง
“ท่านไม่ได้ฝันไป นี่แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น” มู่ซืออวี่มองไปยังร้านขายของชำฝั่งตรงข้าม “ท่านแม่ เราไปซื้อของกันเถิด”
เนื่องจากถ้วยชามที่บ้านเก่าและแตกหมดแล้ว หากยังคงใช้ต่อไปอาจสร้างบาดแผลให้กับลูก ๆ ได้ ตอนนี้มีเงินเพียงพอแล้ว นางจึงคิดจะจับจ่ายข้าวของเครื่องใช้เข้าบ้าน
นอกจากถ้วยชามและเครื่องครัวแล้ว นางยังซื้อเหยือกขนาดเล็กอีกสองสามใบเพื่อนำไปหมักน้ำส้มสายชู ซอสถั่วเหลือง และเหล้าองุ่นด้วยตนเอง ทั้งยังมีข้าวของเครื่องใช้อื่น ๆ ที่จำเป็นอีกมากมายด้วย
“พอแล้ว เหตุใดจึงซื้อมากมายนัก? เก็บเงินไว้บ้างดีกว่า” ถงซื่อกล่าวด้วยความรู้สึกปวดใจ
“เอาไว้ข้าจะมาซื้ออีกครั้งเมื่อพ่อของเด็กทั้งสองกลับมา เราสองคนคงแบกของจำนวนมากกลับไปไม่ไหว” มู่ซืออวี่กล่าว “ข้าต้องซื้อเครื่องในหมูเพิ่ม ผู้จัดการร้านบอกว่าเขาต้องการมากกว่านี้ อันที่จริงร้านอาหารของพวกเขามีรถม้าไว้ขนส่งสินค้า พรุ่งนี้พวกเขาจะมาขนของที่สั่งจากเราเอง อันที่จริงข้าคิดจะขอติดรถพวกเขาเข้ามาในเมือง ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเต็มใจหรือไม่ ข้าจึงไม่เอ่ยสิ่งใด แต่หากทำเช่นนั้นได้ เราเองก็จะประหยัดและคลายปัญหาไปได้มาก”
“หากเข้าไปเองเราต้องเสียค่าเข้าเมืองหนึ่งอีแปะ แต่หากไปกับพวกเขา เราก็ไม่จำเป็นต้องจ่าย ประหยัดไปได้อีกทางหนึ่ง ดูเหมือนผู้จัดการร้านเองก็ใจดีไม่น้อย” ถงซื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม
มู่ซืออวี่ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของถงซื่อ
‘ความเกรงใจ’ เป็นคุณสมบัติที่มนุษย์พึงมี แม้เงินเล็กน้อยนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้จัดการร้าน แต่ความใจดีของเขาทำให้ผู้อื่นเอาเปรียบได้ง่าย ไม่น่าแปลกใจที่ถงซื่อถูกแม่เฒ่าเจียงรังแกมาตลอดหลายปี เพราะนางเป็นคนหูเบาและคิดง่าย ๆ เช่นนี้
“ท่านพี่ มีคนตามเรามา” มู่เจิ้งหานกระตุกชายเสื้อมู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่กำลังเลือกลำไส้ หัวใจ ปอด หาง และเลือดหมูเพื่อนำไปตุ๋นขาย เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เจิ้งหาน นางก็หันไปมองบุคคลทั้งสองที่เดินเข้ามาทันที
“เถ้าแก่ ข้าต้องการหมูจากร้านของท่านเป็นจำนวนมาก ท่านช่วยนำไปส่งที่บ้านของข้าได้หรือไม่?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม “ข้าอาศัยอยู่ในหมู่บ้านตระกูลลู่”
“ต้องการหมูจำนวนมากหรือ?” เจ้าของเขียงหมูถามด้วยความประหลาดใจ
“ใช่แล้ว ข้าต้องการทั้งหมดนี้ที่เลือกมา” มู่ซืออวี่กล่าว “ข้าได้ยินภรรยาของท่านพูดคุยกับป้าข้าง ๆ ดูเหมือนว่าครอบครัวของท่านจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านฉือโถว หมู่บ้านของท่านอยู่ห่างจากหมู่บ้านของข้าเพียงสองหมู่บ้าน”
“ใช่แล้ว เรามีเล้าหมูที่นั่น เรามักจะไปฆ่าหมูแต่เช้าตรู่แล้วนำมาขายที่นี่ แต่ดูเหมือนว่าท่านต้องการหมูเยอะเลยนะ จะนำไปทำสิ่งใดหรือ?”
ในขณะนี้ยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเนื้อตุ๋นที่มู่ซืออวี่นำมาขายนั้นปรุงจากเครื่องในหมู อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้คนส่วนใหญ่แล้ว ตราบใดที่อาหารมีรสชาติดี สิ่งอื่นก็ไม่สำคัญ
มู่ซืออวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่จำเป็นต้องรู้ถึงเรื่องนั้น หากท่านสามารถหาเครื่องในหมูเหล่านั้นให้ข้าได้ ข้าก็จะยอมจ่ายในราคาที่ยุติธรรม ห้าอีแปะต่อหนึ่งชั่ง ท่านคิดอย่างไร?”
ก่อนที่เจ้าของเขียงหมูจะทันได้เอ่ยสิ่งใด หญิงที่อยู่เคียงข้างเขาพลันแทรกขึ้นว่า “ได้แน่ สามีของข้าเลี้ยงสัตว์ไว้มากมาย การหาเครื่องในเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องยาก”
หลังจากพูดคุยกับเจ้าของเขียงเนื้อและภรรยาของเขาแล้ว มู่ซืออวี่จึงนำครอบครัวของนางเดินทางกลับ
บุคคลทั้งสองที่เดินเข้ามาในร้านยังคงติดตามมู่ซืออวี่ แต่เมื่อเห็นว่านางเดินไปยังทิศทางของศาลาว่าการ พวกเขาก็ไม่กล้าติดตามไป
“คนพวกนั้นเป็นผู้ใดกัน?” ถงซื่อเอ่ยถามด้วยความหวาดกลัว
“ปล่อยพวกเขาไป เรากลับบ้านกันเถิด”
ลู่ฉาวอวี่จ้องมองไปด้านหลังเป็นครั้งคราว แววตาของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
ชายทั้งสองยังคงติดตามมา เพียงแต่พวกเขาหลบซ่อนได้เป็นอย่างดีจึงไม่ถูกค้นพบ
ทว่าลู่ฉาวอวี่สำรวจโดยรอบอย่างระมัดระวังจึงสังเกตเห็น และเมื่อจ้องมองมู่ซืออวี่ที่ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่อง สีหน้าของเขาก็ครึ้มลง
“เหตุใดเจ้าจึงไม่เดินต่อเล่า?” มู่ซืออวี่เอ่ยถามเมื่อเห็นลู่ฉาวอวี่หยุดเดิน “เจ้าเหนื่อยหรือไม่? หรืออยากให้ข้าช่วยอุ้ม?”
มู่ซืออวี่กล่าวด้วยความลังเล ลูกชายตัวน้อยผู้นี้ไม่เคยแสดงความอ่อนแอหรือเหน็ดเหนื่อยให้นางเห็นมาก่อน
ลู่ฉาวอวี่เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าต้องการเงิน 10 อีแปะ”
มู่ซืออวี่รู้สึกประหลาดใจต่อสิ่งที่ลูกชายพูด แต่ก็หยิบเงินออกมาให้เขา 10 อีแปะโดยไม่ลังเล
“เจ้าอยากจะซื้อสิ่งใด ไปซื้อเถิด ข้าจะรออยู่ตรงนี้”
“อืม”
ลู่ฉาวอวี่รับเงินแล้วเดินจากไป ถงซื่อกล่าวด้วยความไม่พอใจทันที “ให้เงินเขามากมายเช่นนั้นได้อย่างไร?”
มู่ซืออวี่มอบเงินอีก 10 อีแปะให้กับมู่เจิ้งหาน “หานเอ๋อร์ นำเงินนี้ไปซื้อของที่ต้องการเถิด หากไม่มีก็เก็บไว้ก่อน”
“ไม่เอา” มู่เจิ้งหานปฏิเสธ
“ฟังข้าพูดให้ดี นี่คือการทำธุรกิจ ในอนาคตข้าต้องเรียกให้เจ้าและท่านแม่มาช่วยเหลืออีก แม้จะเป็นพี่น้องก็ต้องได้รับค่าตอบแทน จะปล่อยให้เจ้าทำโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้ เป็นอย่างที่ข้าคาดคิดไว้ หากให้มากกว่านี้เจ้าต้องไม่ยอมรับแน่ งั้นข้าจะจ่ายอย่างยุติธรรม เจ้ากับท่านแม่จะได้รับวันละ 10 อีแปะ”
“ข้าไม่ต้องการ” ถงซื่อกล่าวด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “เจ้าเป็นลูกสาวของข้า จะให้ข้ารับเงินจากเจ้าได้อย่างไร?”
“ท่านแม่ หากท่านไม่ยอมรับเงินจากข้า ข้าจะจ่ายราคาสูงขึ้นเพื่อจ้างผู้อื่นมาช่วยเหลือ แทนที่จะนำเงินไปจ้างผู้อื่นที่อาจจะขโมยสูตรปรุงเนื้อตุ๋นของข้า ข้าจ้างท่านแม่เสียยังดีกว่า”
มู่ซืออวี่ใช้คำพูดเกลี้ยกล่อมเพื่อให้ถงซื่อและมู่เจิ้งหานรับเงินจากนางคนละ 10 อีแปะ อีกทั้งยังบอกเหตุผลที่นางมอบเงินให้แก่ลู่ฉาวอวี่
เมื่อลู่ฉาวอวี่เดินไปได้ไม่นาน เขาก็พบกับขอทานคนหนึ่งนั่งอยู่
“ข้ามีเงินจำนวน 10 อีแปะ ท่านช่วยข้าทำบางสิ่งได้หรือไม่?”
ขอทานผู้นั้นเงยหน้าขึ้น จ้องมองเด็กชายด้วยดวงตาสีเข้มภายใต้ผมอันยุ่งเหยิง ดูราวกับหมาป่าที่โดดเดี่ยวและดุร้าย พร้อมจะกระโจนใส่ลู่ฉาวอวี่ได้ทุกเมื่อ
ลู่ฉาวอวี่ก้าวถอยหลังทันทีตามสัญชาตญาณ ความตื่นตระหนกปรากฏชัดบนใบหน้า
อย่างไรก็ตาม เขายังคงพยายามจ้องมองอีกฝ่ายอย่างแน่วแน่ “ครั้งที่แล้วข้าช่วยท่านไว้ คราวนี้ท่านควรตอบแทนข้า ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังมีเงินที่จะนำมามอบให้เพื่อเป็นค่าตอบแทน ไม่ได้ให้ท่านทำโดยเปล่าประโยชน์”
มู่ซืออวี่เขย่งเท้า ชะเง้อมองจากในระยะไกล “เด็กคนนั้นไปถึงไหนกัน? เหตุใดถึงยังไม่กลับมา?”
“ข้ากลับมาแล้ว!” ลู่ฉาวอวี่ตะโกนพลางวิ่งออกมาจากตรอกแห่งหนึ่ง
“กลับมาแล้วหรือ?” มู่ซืออวี่จ้องมองไปยังฝ่ามือที่ว่างเปล่าของเขา
หือ?
ไม่ได้ซื้อสิ่งใดอย่างนั้นหรือ?
เกิดคำถามขึ้นมากมายในหัว แต่เมื่อนึกถึงบุคลิกแปลกประหลาดของเด็กชายผู้นี้ นางจึงตัดสินใจที่จะไม่เอ่ยถาม
“เช่นนั้นพวกเรากลับกันเถิด!” มู่ซืออวี่กล่าว
ถงซื่อและมู่เจิ้งหานต่างได้รับเงินจากมู่ซืออวี่คนละ 10 อีแปะ
นี่เป็นครั้งแรกที่ถงซื่อได้รับเงินจากลูกสาว แม้จะทำให้นางรู้สึกประหลาดใจและสับสนในตอนแรก แต่ความรู้สึกเหล่านั้นก็ถูกแทนที่ด้วยความสุขในไม่ช้า
ณ มุมถนน ชายสองคนล้มลงกับพื้นพลางคร่ำครวญ
“ให้ตายเถอะ เจ้า… เจ้าเป็นผู้ใด?”
“นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องจ่ายเพื่อชดเชยข้า”
เสียงแหบห้าวดังขึ้น
น้ำเสียงของบุคคลผู้นี้ราวกับไม่ได้พูดมาเป็นเวลานาน
การแสดงออกของเขาดูไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง เขาคือชายขอทานที่มีรูปร่างสูงและแข็งแรงที่ลู่ฉาวอวี่พบเมื่อครู่นี้
ขอทานก้มลงฉีกกระเป๋าที่เอวของตน กำเศษกระเป๋าไว้ในมือพลางจ้องมองพวกเขาอย่างเย็นชา