สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 762 เกิดกบฏแล้วจริง ๆ
บทที่ 762 เกิดกบฏแล้วจริง ๆ
บทที่ 762 เกิดกบฏแล้วจริง ๆ
ณ พระราชวัง เมืองหลวง
ฟ่านหยวนซีพลิกฎีกาในมือของเขา จากนั้นจึงโยนมันให้เฉินกงกงที่อยู่ตรงข้าม แล้วเอ่ยว่า “เอาให้พวกเขาดู”
เฉินกงกงประคองฎีกาด้วยมือทั้งสอง ก่อนจะส่งให้ขุนนางที่อยู่ใกล้ที่สุด
เหล่าขุนนางผลัดกันดูฎีกาด่วนจากระยะทางห่างออกไปแปดร้อยลี้นี้
“โจวเสียงเฟยบังอาจยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าจะกล้ากบฏจริง ๆ”
“ฝ่าบาท กระหม่อมยินดีนำกองทัพเข้าสู่สนามรบพ่ะย่ะค่ะ” ซูเซิ่งก้าวออกมาร้องขอให้ฟ่านหยวนซีรับสั่ง
“ฝ่าบาท อัครมหาเสนาบดีและใต้เท้าฉีล้วนไม่อยู่ หรือว่าพวกเขาจะไปยังเมืองถงหยางแล้วพ่ะย่ะค่ะ?” ขุนนางเฒ่าผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
“หากท่านอัครมหาเสนาบดีและใต้เท้าฉีไม่ได้ค้นพบสิ่งผิดปกติ กองทัพของโจวเสียงเฟยคงเข้าใกล้เมืองหลวงและเราคงถูกปิดหูปิดตาจนตามืดบอดแล้ว”
“กระหม่อมยินดีที่จะออกรบพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมก็ยินดีพ่ะย่ะค่ะ”
“เอาละ” ฟ่านหยวนซีโบกมือไปมาเพื่อหยุดบรรดาขุนนาง “ยังไม่มีข่าวอะไรจากท่านอัครมหาเสนาบดีและใต้เท้าฉี ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับพวกเขา ท่านแม่ทัพซู ท่านพาคนล่วงหน้าไปติดต่อกับอัครมหาเสนาบดีและใต้เท้าฉีใกล้ ๆ เมืองถงหยางก่อนเถิด”
“กระหม่อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านแม่ทัพเฟิง ท่านนำทหารห้าหมื่นนายไปยังเมืองฮู่เป่ย ส่วนท่านแม่ทัพหวัง ท่านนำทหารห้าหมื่นนายไปที่เมืองหลูหยาง”
“กระหม่อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
ลู่ฉาวอวี่ก้าวออกมาแล้วเอ่ยกับฟ่านหยวนซี “ฝ่าบาท ได้โปรดให้กระหม่อมไปกับแม่ทัพเฟิงด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น จะวิ่งไปขโมยผลงานของขุนนางฝ่ายบู๊ด้วยเหตุใด?” ฟ่านหยวนซีเอ่ยอย่างใจเย็น “บิดาเจ้าอยู่ที่เมืองถงยางเป็นตายร้ายดีอย่างไรยังไม่แน่นอน เจ้าเป็นบุตรชายคนโตของสกุลลู่ สกุลลู่ยังต้องการการสนับสนุนจากเจ้า เวลาเช่นนี้อย่าได้วิ่งวุ่นไปทั่ว”
“มารดา น้องสาว และน้องชายของกระหม่อมล้วนอยู่ที่เมืองฮู่เป่ย ในเวลาเช่นนี้กระหม่อมอยากอยู่กับพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย
“เหลวไหล!” ฟ่านหยวนซีขมวดคิ้ว “ไม่ต้องไป”
“ใต้เท้าลู่น้อย ท่านวางใจเถอะ ข้าจะพาฮูหยินลู่ น้องสาว และน้องชายของท่านกลับมาได้อย่างปลอดภัยแน่นอน” แม่ทัพเฟิงกล่าว
ลู่เซวียนตบลงบนบ่าลู่ฉาวอวี่ “เชื่อฟังฝ่าบาท มารดาของเจ้าฉลาดเพียงนั้น ย่อมไม่เกิดอะไรขึ้นกับนางแน่นอน”
“ไม่ว่านางจะฉลาดเพียงใด นางก็เป็นเพียงสตรีอ่อนแอผู้หนึ่ง เมืองฮู่เป่ยไม่มีกองกำลังทหารรักษาการ ทั้งยังอยู่ใกล้กับเมืองถงหยาง ในสายตาของขุนนางกบฏเหล่านั้น เมืองฮู่เป่ยเปรียบเสมือนขุมสมบัติชั้นดี หากพวกเขาคิดจะก่อกบฏ พวกเขาย่อมต้องการใช้เงินอย่างเร่งด่วน ดังนั้นเมืองฮู่เป่ยย่อมเป็นเป้าหมายแรกที่ต้องยึดครองของกบฏ” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “ข้าจะไปพาพวกเขากลับมาเมืองหลวงด้วยตนเอง”
“ใต้เท้าลู่น้อยกตัญญูรู้คุณ ฝ่าบาทควรให้เขาได้แสดงความกตัญญูนี้ออกมา” เซวียนอ๋องประกบมือแล้วเอ่ยขึ้น
“เซวียนอ๋องห่วงใยเพียงนี้ ไม่สู้ให้เซวียนอ๋องเดินทางไปสักเที่ยวเถอะ!” ฟ่านหยวนซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“กระหม่อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
หลังประชุม ฟ่านหยวนซีให้แม่ทัพเฟิง แม่ทัพซู และแม่ทัพหวังรั้งอยู่ นอกจากนี้ยังเรียกตัวลู่ฉาวอวี่ ลู่เซวียน เวินเหวินซง และขุนนางคนสำคัญอีกหลายคนมา
“เหตุฝ่าบาทจึงปล่อยให้เซวียนอ๋องไปที่เมืองฮู่เป่ยเล่าพ่ะย่ะค่ะ?” ท่านแม่ทัพซูเอ่ย “คนผู้นี้จิตใจทะเยอทะยาน ไม่อาจประมาทได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
“ย่อมเป็นเพราะจิตใจทะเยอทะยานของเขา ข้าจึงมอบโอกาสนี้ให้อย่างไรเล่า” ฟ่านหยวนซีเอ่ย “ข้าเก็บเขาไว้ใต้จมูกจึงไม่มีโอกาสทำสิ่งใด เขากลายเป็นตัวปัญหามาโดยตลอด”
“ฝ่าบาทต้องการให้ระหว่างทาง…”
“จับตาดูเขา หากเขากล้าทำลายแผนการของพวกเรา ข้าอนุญาตให้เจ้าฆ่าก่อนแล้วค่อยรายงานภายหลัง” ฟ่านหยวนซีเอ่ยกับแม่ทัพเฟิง
“ฝ่าบาท ไม่รู้ว่าต่อไปจะเตรียมการเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ฟ่านหยวนซีหารือเรื่องแผนการรับมือกับขุนนางของเขาจนกระทั่งดึกดื่น ระหว่างนั้นเฉินกงกงก็นำอาหารมาให้ ผ่านไปพักหนึ่ง ข้ารับใช้ในวังหลวงก็เก็บถ้วยและตะเกียบออกไป จากนั้นจึงนำโต๊ะทรายเข้ามาแทน ฮ่องเต้และขุนนางหารือเรื่องเขตแดนอยู่ในพระตำหนัก
จนกระทั่งขุนนางออกจากไปจากพระตำหนัก ซ่างกวนจิ่นซิ่วผู้ที่ยืนอยู่ด้านนอกจึงเดินนำบ่าวเข้ามา
ฟ่านหยวนซีกำลังตรวจทานฎีกา เมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าจึงเอ่ยโดยไม่รั้งรอ “อย่าให้ผู้ใดมารบกวนข้า ออกไปซะ!”
เสียงฝีเท้าหยุดลง
ซ่างกวนจิ่นซิ่วยืนอยู่กลางพระตำหนัก ไม่ได้เดินหน้าแต่ก็ไม่ได้ถอยหลัง
ฟ่านหยวนซีสังเกตว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงเงยหน้าขึ้นมอง
“เหตุใดเป็นเจ้า?” เมื่อเห็นว่าเป็นซ่างกวนจิ่นซิ่ว เขาจึงวางพู่กันในมือลงแล้วเอ่ยอย่างใจเย็น “ดึกเพียงนี้แล้ว เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร?”
“ข้าทำอาภรณ์ชุดหนึ่ง อยากให้ฝ่าบาทลองดูเพคะ หากไม่พอดีจะได้ปรับแก้ได้” ซ่างกวนจิ่นซิ่วเอ่ย มือกำชุดนั้นไว้แน่น
“เช่นนั้นเหตุใดยังไม่เอามาอีก?” ฟ่านหยวนซีลุกขึ้นยืน
ซ่างกวนจิ่นซิ่วค่อย ๆ ก้าวเข้าไป ทาบเสื้อในมือลงตรงหน้าฟ่านหยวนซีเพื่อลองวัดขนาด
“เอวใหญ่ไปหน่อย” ซ่างกวนจิ่นซิ่วพูด “ข้าจะทำการปรับแก้ให้เพคะ”
“อืม”
“เช่นนั้นหม่อมฉัน…”
“ช้าก่อน” ฟ่านหยวนซีนำจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากตู้ “จดหมายนี้ส่งมาจากครอบครัวเจ้า วันนี้ข้ายุ่งมากจึงลืมส่งให้”
ดวงตาของซ่างกวนจิ่นซิ่วเปล่งประกาย นางรับจดหมายไปแล้วหมอบกายคำนับ จากนั้นก็ถกกระโปรงตนเองขึ้นมาแล้ววิ่งออกจากพระตำหนักไป
ฟ่านหยวนซีหยักยกมุมปากขึ้น แล้วเอ่ยเบา ๆ “ดูเหมือนฮองเฮาของแผ่นดินที่ใดกัน?”
โชคดีที่เขาไม่โปรดสตรีจึงไม่มีแผนจะรับสตรีเข้าวังหลัง ไม่เช่นนั้น ไม่ช้าก็เร็วฮองเฮาน้อยผู้นี้จะต้องตายเพราะการต่อสู้แย่งชิงในวังหลังอย่างแน่นอน
ซ่างกวนจิ่นซิ่วเพิ่งมาถึงพระตำหนัก นางให้หลีเซียงปิดประตู
ขณะที่หลีเซียงกำลังปิดประตู นางก็เปิดจดหมายออกแล้ว จากนั้นจึงอ่านจดหมายที่ครอบครัวเขียนมาให้อย่างตั้งใจ
“ฮองเฮา ในจดหมายเขียนอะไรหรือเจ้าคะ?”
“มารดาข้าบอกว่าทุกอย่างที่บ้านเรียบร้อยดี ข้าไม่ต้องกังวล พวกเขายังกล่าวว่าอาณาจักรเฟิ่งหลินไม่ค่อยสงบสุขนัก ไม่เช่นนั้นนางและบิดาคงมาหาข้าแล้ว”
“ไม่ค่อยสงบหมายถึง…”
“ฝ่าบาทไร้อำนาจ ขุนนางโฉดขึ้นสู่อำนาจ ทว่าพวกเขายังต้องเกรงกลัวจิ่นอ๋องผู้แข็งแกร่ง จิ่นอ๋องก็คือผู้ที่มาส่งข้าแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ผู้นั้น เมื่อก่อนเขาเติบโตที่นี่”
“บ่าวรู้จักเจ้าค่ะ ยามนั้นเขาเป็นซื่อจื่ออู่อันโหว” หลีเซียงถอนหายใจ “ชีวิตจิ่นอ๋องไม่ง่ายดายเลย ตอนนั้นเขาถูกมองว่าเป็นผู้ทรยศจึงต้องหนีกลับไปยังอาณาจักรเฟิ่งหลิน นึกไม่ถึงว่าชีวิตในอาณาจักรเฟิ่งหลินจะไม่ได้ดีนักเช่นกัน”
“อย่างไรก็ตาม อีกไม่นานเรื่องคงจบลงแล้ว” ซ่างกวนจิ่นซิ่วเอ่ย “เขาจะชนะแน่นอน”
“ไม่ต้องเอ่ยถึงอาณาจักรเฟิ่งหลิน พวกเราทางนี้ก็ไม่สงบไม่ต่างกัน วันนี้ฝ่าบาทและใต้เท้าทุกท่านหารือกันกระทั่งดึกดื่นเพราะแม่ทัพชายแดนในเมืองถงหยางคิดกบฏ ท่านอัครมหาเสนาบดีและใต้เท้าฉีไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร ยังติดต่อไม่ได้”
“เช่นนั้นพวกฮูหยินลู่เล่า?”
“ตอนนี้ฮูหยินลู่อยู่ที่เมืองฮู่เป่ยเพคะ” หลีเซียงเอ่ย “บ่าวเพิ่งรู้เรื่องนี้ เดิมทีการออกจากเมืองหลวงของท่านอัครมหาเสนาบดีและใต้เท้าฉีเป็นความลับ ตอนนี้เมืองถงหยางตกอยู่ในความวุ่นวายโกลาหล ที่อยู่ของพวกเขาจึงได้เปิดเผยออกมา”
“มิน่าเล่าเมื่อครู่ฝ่าบาทถึงได้เคร่งเครียดนัก ใบหน้าไม่มีแม้กระทั่งรอยยิ้ม” ซ่างกวนจิ่นซิ่วพึมพำกับตนเอง
“ฮองเฮา ปกติฝ่าบาทมีรอยยิ้มด้วยหรือเพคะ?” หลีเซียงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อนัก
รอยยิ้มบนใบหน้าของฮ่องเต้ฮุ่ยนั้นน่าสะพรึงกลัวเสียมากกว่า เพราะมันหมายความว่าจะต้องมีคนโชคร้าย หากอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างตอนนี้ต่างหากจึงจะปกติ เพราะนั่นหมายความว่าคนเบื้องล่างล้วนยังปลอดภัย
ถึงแม้ว่าฟ่านหยวนซีจะไม่ได้ทำเรื่องที่โหดร้ายอีกแล้ว ทว่าสิ่งที่เขาทำในตอนนั้นยังคงทิ้งเงาไว้ในใจผู้คนมากมาย ในสายตาของปุถุชนคนทั่วไป เขายังคงเป็นฮ่องเต้เจ้าอารมณ์ ดังนั้นโปรดอย่าเผลอไปหมิ่นพระเกียรติเป็นอันขาด
“ฮองเฮา…” ขันทีน้อยเดินอุ้มแมวตัวหนึ่งเข้ามา “จู่ ๆ เจ้าหยกก็แน่นิ่งไปพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าหยกเป็นแมวที่ซ่างกวนจิ่นซิ่วเลี้ยงเอาไว้
ซ่างกวนจิ่นซิ่วเดินเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้ยังดี ๆ อยู่เลย เหตุใดถึงได้ป่วยได้เล่า?”
นางรับเจ้าหยกจากอ้อมแขนของขันทีน้อย
ทันใดนั้นเอง ขันทีน้อยก็ดึงกริชออกมาจากแขนเสื้อของเขา หมายจะแทงซ่างกวนจิ่นซิ่ว
เมื่อแสงสีเงินวูบไหวขึ้นเป็นประกาย หลีเซียงจึงรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางรีบผลักฮองเฮาออก แล้วเตะขันทีน้อยที่ริจะลอบสังหารผู้เป็นนายทันที