สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 768 ระเบิดหมดแล้ว
บทที่ 768 ระเบิดหมดแล้ว
บทที่ 768 ระเบิดหมดแล้ว
การสู้รบครั้งแรกจบลง เมืองฮู่เป่ยเองก็ต้องพักฟื้นเช่นกัน
ตอนนี้มีทหารได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ทั้งหมดล้วนได้รับการรักษาและทำแผลจากท่านหมอในเมือง
เวลาเช่นนี้ เหล่าราษฎรต่างร่วมมือร่วมใจกันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ไม่เพียงแต่ท่านหมอและคนจัดยาเท่านั้นที่เป็นฝ่ายลงมือช่วยเหลือ ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปยังช่วยกันทำหมั่นโถวและซาลาเปาส่งไปยังประตูเมืองเพื่อเป็นรางวัลให้แก่ทหารที่ออกไปสู้รบสังหารศัตรูด้วย
ทุกคนต่างรู้ดีว่าชะตากรรมของพวกเขานั้นเชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น
เมืองฮู่เป่ยเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง หากให้ทัพกบฏเหล่านั้นฆ่าฟันเข้ามา ถึงแม้ราษฎรจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ก็จะสูญเสียทุกสิ่งที่ตนมีในตอนนี้ไปเช่นกัน
นั่นเป็นกิจการที่ครอบครัวพวกเขาบากบั่นช่วยกันก่อร่างสร้างขึ้นมาเป็นเวลาหลายปี ผู้คนที่อื่นล้วนอิจฉาความเจริญรุ่งเรืองของเมืองฮู่เป่ย พวกเขาย่อมไม่ยินดีให้ผู้ใดมาทำลายชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองนี้
สายลับพบที่ตั้งค่ายของกองทัพกบฏแล้ว
เบื้องหน้าของมู่ซืออวี่มีโต๊ะทรายขนาดใหญ่โต๊ะหนึ่ง บนนั้นเป็นแผนที่จำลองภูมิศาสตร์ของเมืองฮู่เป่ย ในพื้นที่โล่งแห่งหนึ่งมีธงเล็ก ๆ ปักอยู่ ที่นั่นเป็นที่ตั้งค่ายของทัพกบฏ
“ห้าหมื่นคนนี้เป็นเพียงแนวหน้าของพวกเขา จะต้องมีทัพหลักตามมาอีกเป็นแน่” มู่ซืออวี่เอ่ย “เมืองถงหยางมีทหารหนึ่งแสนนายและพลเรือนในค่ายอีกสองแสนนาย ถึงแม้พวกเขาจะใช้กำลังคนบางส่วนโจมตีเมืองหลูหยาง หลังจากยึดเมืองหลูหยางแล้วยังต้องเหลือคนไว้คอยป้องกัน ทว่าไม่อาจเหลือเพียงคนจำนวนน้อยนี้ไว้สู้รบได้ เพียงแต่สิ่งที่ข้าไม่เข้าใจคือ โจวเสียงเฟยผู้นั้นเป็นแม่ทัพชายแดนของเมืองถงหยาง เขาอยู่ที่นี่ แล้วทัพหลักที่อยู่ข้างหลังผู้ใดเป็นผู้นำเล่า?”
“อาจารย์ หากแม่ทัพชายแดนเมืองถงหยางทำได้เพียงเป็นกองหน้า แม่ทัพใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังเขาผู้นั้นย่อมมีสถานะสูงกว่าเขา เกรงว่านี่จะไม่ใช่เพียงการกบฏธรรมดา อาจมีผู้อื่นถือโอกาสราดน้ำมันบนกองไฟ” หลี่กู่หยวนเอ่ย
“ผู้ใดที่ชักใยโจวเสียงเฟยอยู่เบื้องหลังยังไม่ต้องเอ่ยถึง พวกเรามาเผชิญหน้ากับปัญหาในยามนี้ก่อนเถิด เบื้องหลังจะต้องมีทัพหลักตามมาเป็นแน่ เพียงแค่จัดการกับกองหน้าเหล่านี้ก็ลำบากแล้ว หากทัพหลักตามมาสมทบ บุกโจมตีเมืองเต็มกำลัง เราจะเป็นฝ่ายถูกกระทำ พวกเราต้องคิดหาวิธีตัดกำลังคู่ต่อสู้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อจะได้เป็นฝ่ายครองความได้เปรียบ”
กลางดึก ทหารจำนวนหนึ่งร้อยนายออกจากเมืองฮู่เป่ยไปอย่างเงียบ ๆ
“นายท่านหลี่ พวกเราไม่ต้องรายงานฮูหยินให้ทราบล่วงหน้าก่อนหรือ? หากฮูหยินรู้ว่าเรากระทำโดยพลการ นางจะต้องโกรธมากอย่างแน่นอน!”
“ข้ารู้จักอาจารย์ของข้า นางจะไม่โกรธ” หลี่กู่หยวนเอ่ย “ขอเพียงแค่เราลงมืออย่างระมัดระวังและกลับเข้าเมืองอย่างปลอดภัย อย่างมาก อาจารย์ก็แค่เพียงตำหนิข้าสองสามครั้งเท่านั้น”
“นายท่านหลี่ ท่านเพิ่งได้รู้จักกับฮูหยินได้ไม่นาน เหตุใดถึงมั่นใจเพียงนี้”
“หากอาจารย์เป็นสตรีธรรมดาทั่วไป นางย่อมไม่สนใจทุกสิ่งที่นางกำลังทำในตอนนี้” หลี่กู่หยวนเอ่ย “หากพวกเราสร้างความดีความชอบ อาจารย์ย่อมตกรางวัลเราแน่ เจ้าเชื่อหรือไม่?”
“นายท่านหลี่กล่าวอะไรย่อมเป็นเช่นนั้น แน่นอนว่าพวกเราเชื่อท่านขอรับ”
ขณะที่มู่ซืออวี่กำลังเคลิ้มหลับ ลู่ซวิ่นก็ร้องเรียกนางจากด้านนอก
นางจึงเอ่ยถาม “มีเรื่องอะไรหรือ?”
ลู่ซวิ่นตอบ “ฮูหยิน หลี่กู่หยวนออกจากเมืองไปพร้อมทหารร้อยกว่านายแล้วขอรับ”
เมื่อได้ยินดังนี้ มู่ซืออวี่จึงลุกขึ้นนั่งทันที
“เขาคิดจะทำอะไร?”
“ข้าน้อยก็ไม่ทราบ”
มู่ซืออวี่เดินออกไปพลางแต่งกายให้เรียบร้อย
ชิงไต้และเจ๋อหลานอยู่ในห้องข้าง ๆ เมื่อพวกนางได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงรีบสวมเสื้อคลุมแล้วตามมู่ซืออวี่ออกไปทันที
“ไปนานเพียงใดแล้ว?”
“ครึ่งชั่วยามแล้วขอรับ”
มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว “ไปตอนนี้ก็ตามไม่ทันแล้ว ช่างเถิด รอฟังข่าวจากเขาอยู่ที่นี่ก่อน!”
ทหารถูกแบ่งออกเป็นหลายผลัด คอยผลัดเปลี่ยนเวรยามกัน เฝ้าสังเกตสถานการณ์ภายนอกอยู่ตลอดเวลา
มู่ซืออวี่มายังประตูเมือง เมื่อเห็นว่าทหารทุกคนล้วนมีพลังใจเต็มเปี่ยม อีกทั้งยังคอยจับตาดูสถานการณ์ภายนอก นางพึงพอใจกับท่าทีของพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง
ในยามเช่นนี้ ไม่อาจหย่อนยานได้แม้เพียงชั่วขณะโดยแท้จริง ไม่มีผู้ใดรู้ว่าอีกฝ่ายจะใช้แผนการอะไร ดังนั้นจึงควรระแวดระวังอยู่เสมอ
“คารวะฮูหยิน”
“ฮูหยิน!”
“ทุกคนทนลำบากสักหน่อย หากสงครามจบลงแล้ว พวกท่านจะต้องได้รับรางวัลอย่างแน่นอน”
“ขอบคุณฮูหยิน พวกเราไม่รู้สึกว่าลำบากเลยขอรับ”
“หากสามารถแบ่งเบาฮูหยินได้ พวกเราไม่รู้สึกลำบากเลยแม้แต่น้อย”
“พวกเรากำลังปกป้องครอบครัวและพวกพ้อง นี่เป็นสิ่งที่ควรกระทำอยู่แล้ว”
มู่ซืออวี่เลิกคิ้วแล้วหันไปมองลู่ซวิ่นที่อยู่ข้าง ๆ “หน่วยนี้ไม่เลว จดชื่อพวกเขาเอาไว้ เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ตกรางวัลให้พวกเขาตามคุณงามความชอบ”
“ขอรับ”
มู่ซืออวี่มองออกไปนอกเมือง
ลู่ซวิ่นจึงเอ่ยขึ้น “ฮูหยิน ท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด ข้าน้อยจะคอยดูอยู่ที่นี่ หากหลี่กู่หยวนกลับมา จะต้องให้เขาไปขอโทษฮูหยินอย่างแน่นอน”
“ถึงยามนี้ข้าก็นอนไม่หลับแล้ว” ฟ้าใกล้จะรุ่งสางเต็มที
ลู่จื่ออวิ๋นเดินเข้ามา ในมือนางถือเสื้อคลุมเอาไว้
“คุณหนู ท่านมาได้อย่างไรเจ้าคะ?” เจ๋อหลานรีบเข้าไปรับเสื้อคลุมจากนาง ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
มู่ซืออวี่เห็นลูกสาวคนโตจึงเอ่ยว่า “เหตุใดเจ้าตื่นแล้วเล่า?”
“อันที่จริง คืนนี้หลายคนคงนอนไม่หลับ” ลู่จื่ออวิ๋นยืนอยู่บนกำแพงเมือง ชี้ไปที่แสงไฟจากบ้านหลายพันครัวเรือน “ท่านแม่ท่านดูสิ วันนี้เมืองฮู่เป่ยงามเป็นพิเศษเลยนะเจ้าคะ”
ทั้งงามเป็นพิเศษ และเงียบสงัดไปในคราวเดียวกัน
ลู่จื่ออวิ๋นเติบใหญ่ขึ้นไม่น้อย ตอนนี้นางสูงกว่ามู่ซืออวี่ถึงครึ่งศีรษะแล้ว
มู่ซืออวี่มองดูบุตรสาวตรงหน้านางแล้วถอนหายใจ เวลาไม่เคยปรานีผู้ใดจริง ๆ
มู่ซืออวี่ยังจำตอนที่พบอีกฝ่ายเป็นครั้งแรกได้ นางเหมือนกับสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่ได้รับบาดเจ็บ ทำให้ผู้คนทั้งเศร้าโศกและสงสารในคราเดียวกัน หลังจากผ่านไปหลายปี ลู่จื่ออวิ๋นยิ่งโดดเด่นมากขึ้นทำให้ผู้เป็นแม่ทั้งสุขใจและภาคภูมิใจยิ่งกว่าตอนประสบความสำเร็จด้วยตนเสียอีก
ปัง! เสียงระเบิดดังแว่วมา
หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า
ทุกคนมองออกไปไกลสุดสายตา
“เจ้าเด็กคนนั้นช่างกล้ายิ่งนัก” มู่ซืออวี่เอ่ย “ไม่ใช่ข้าไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้ เพียงแต่อีกฝ่ายมีคนนับหมื่น ยากที่คนของพวกเราจะแทรกซึมเข้าไปได้ นึกไม่ถึงว่าเขากลับกล้าทำเรื่องใหญ่โตเพียงนี้จริง ๆ”
“ท่านแม่ เกิดระเบิดเช่นนั้น พวกเขาคงไม่เป็นอะไรกระมัง?”
“หลี่กู่หยวนมีมารดาที่แก่ชราผู้หนึ่ง เพื่อนางแล้ว หากเขาไม่มั่นใจย่อมไม่บุกเข้าไปแน่นอน”
ค่ายกบฏอยู่ค่อนข้างไกลจากเมืองฮู่เป่ย ตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำ ที่นั่นสะดวกต่อการตั้งค่าย ทั้งยังลอบโจมตีได้ไม่ง่าย
ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ยังได้ยินเสียงเสียดแก้วหู แสดงให้เห็นว่าที่นั่นคงไม่สงบสุขเท่าใดนัก
ฟ้าสว่างแล้ว
แสงแห่งรุ่งอรุณสาดส่องลงมา
“พวกเราสองแม่ลูกไม่ได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันนานเพียงใดแล้ว?”
“นานมากแล้วเจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ก่อนหน้านี้ท่านแม่มักจะตื่นขึ้นมาทำงานแต่เช้าตรู่ ในขณะที่ลูกมักจะเกียจคร้าน”
“ฮูหยิน พวกเขากลับมาแล้วขอรับ” ลู่ซวิ่นชี้ไปทางนอกเมืองแล้วเอ่ยขึ้น
มู่ซืออวี่มองไปตามทิศทางที่ลู่ซวิ่นชี้ไป
“ดูเหมือนพวกเขาจะอารมณ์ดีทีเดียว”
“นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้เป็นฝ่ายเสียเปรียบ นับว่าเป็นข่าวดี”
ลูกศิษย์คนใหม่ผู้นี้ ระยะนี้เขาติดตามนางอยู่บ่อยครั้ง มู่ซืออวี่จึงพอเข้าใจเขาขึ้นหลายส่วน
หลี่กู่หยวนโหดเหี้ยมและมากเล่ห์ ทำสิ่งที่ผู้อื่นนึกไม่ถึงเสมอ และไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้
ตราบใดที่เจ้าเด็กคนนี้ไม่ใช่ศัตรูของนาง อันที่จริงเขาก็ดูน่ารักอยู่ไม่น้อย
อีกฟากหนึ่ง ณ ค่ายกบฏ
ทั่วทุกหนแห่งเละเทะยุ่งเหยิง
โจวเสียงเฟยตรวจสอบเศษซากที่ระเนระนาดอยู่ทั่วพื้นดิน ดวงตาของเขาแดงก่ำ
“ท่านครับ ทุ่นระเบิดของพวกเรา…” ลูกน้องของเขาวิ่งเข้ามารายงาน
“พวกเจ้าล้วนเป็นขยะหรือไร?! มีคนลอบเข้ามาในค่ายทหาร อีกทั้งยังแตะต้องทุ่นระเบิด พวกเจ้ายังไม่รู้ตัว? เช่นนี้ พวกเจ้าจะไปทำอะไรกินได้?!”
โจวเสียงเฟยเตะผู้ใต้บังคับชาปลิวออกไป
โชคยังดีที่มีทุ่นระเบิดไม่มากนัก ทั้งหมดมีเพียงยี่สิบชุดเท่านั้น ในการรบครั้งแรก เพื่อที่จะข่มขวัญจึงใช้ไปแล้วห้าชุด
ผลคือ อีกสิบห้าชุดที่เหลือกลับไม่ได้ใช้ทำร้ายศัตรู แต่ใช้ทำร้ายฝ่ายตนเองเสียได้