สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 783 ฟื้นชีวิตกลไกในหุบเขา
บทที่ 783 ฟื้นชีวิตกลไกในหุบเขา
บทที่ 783 ฟื้นชีวิตกลไกในหุบเขา
เมื่อฉีเซียวตื่นขึ้นมาก็รับรู้ว่าพวกเขากลับมายังเมืองฮู่เป่ยแล้ว จึงเอ่ยถึงเรื่องที่จะกลับไปพักผ่อนที่จวนในเมืองหลวง
หลังจากลู่อี้ได้ยินข่าวก็รุดมาทันที เขาตบขาตนเองเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าเป็นเช่นนี้ยังกล้าเดินออกไปเพ่นพ่านข้างนอก ร่างกายท่านแค่เพียงอ่อนแอเล็กน้อยยังจะทำตัวราวกับเป็นสตรีตัวเล็ก ๆ”
ฉีเซียวเอ่ยด้วยความโมโห “จวนของท่านคนเข้า ๆ ออก ๆ มากมายเพียงนี้ ข้าจะพักผ่อนได้อย่างไร?”
“อยากพักผ่อนไม่ง่ายดายหรือ? ข้าจะให้คนไปสร้างเรือนเล็ก ๆ ในสวนหลังบ้านให้ท่านพักผ่อน เพียงแต่ข้าคิดว่าหากไม่ย้ายจะดีที่สุด ไม่เช่นนั้นท่านคงรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย เพราะสัมผัสไม่ได้ถึงกลิ่นอายของผู้คน”
มู่ซืออวี่ยกน้ำแกงปลาเข้ามา นางเอ่ยว่า “ปลาวันนี้ข้าฆ่าและปรุงด้วยตนเอง เพื่อให้ร่างกายของใต้เท้าฉีได้ฟื้นฟู อาหารสามมื้อของใต้เท้าฉี ข้าจะเป็นคนเตรียมให้”
“ฮูหยินมีเมตตายิ่งนัก ข้าน้อยย่อมปฏิเสธไม่ได้แล้ว” เพียงแค่ฉีเซียวยิ้มออกมา ใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็มีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ได้ดูไร้ชีวิตชีวาเหมือนเมื่อครู่นี้
“อันที่จริง ข้ายังต้องการความช่วยเหลือบางอย่างจากใต้เท้าฉี” มู่ซืออวี่เอ่ย “สามีข้าได้วาดกลไกบางส่วนออกมาแล้ว ทว่าอย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ ดังนั้นอาจตกหล่นบางอย่างไป ใต้เท้าฉีเชี่ยวชาญด้านกลไก อาจจะจดจำมันได้กระจ่างกว่า อย่างน้อยมุมมองที่พวกท่านสังเกตเห็นก็ย่อมแตกต่างกัน”
“ได้ ข้าจะวาด”
ลู่อี้จัดเตรียมโต๊ะตัวเตี้ยมาวางลงบนเตียงของฉีเซียว จากนั้นจึงเตรียมพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่งฝนหมึกให้
ฉีเซียวให้ลู่อี้ฝนหมึก ฝ่ายหลังแสยะยิ้ม ทว่ายังคงทำตามอย่างเชื่อฟัง
ผู้ใดให้ลู่อี้ติดค้างเขาเล่า?
หนี้น้ำใจในครั้งนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก ถูกสั่งให้ทำนู่นทำนี่สักสองสามวันจะนับเป็นอะไรไป?
ภาพที่ฉีเซียววาดออกมามีรายละเอียดชัดเจนกว่ามาก ต่างจากภาพที่ลู่อี้วาดซึ่งเป็นเพียงเปลือกนอกที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า เพราะฉีเซียวมองลึกเข้าไปถึงโครงสร้างภายในของกลไก
“ท่านออกแบบกลไกเช่นนี้ได้หรือไม่?”
“ไม่ได้”
“ด้วยฝีมือของท่าน หากท่านไม่ถูกพิษ ท่านจะแก้กลไกนี้ได้หรือไม่?”
“อาจต้องใช้เวลา อีกทั้งยังไม่อาจทำได้ในระยะเวลาเพียงสั้น ๆ กลไกนั้นอันตรายมาก หากข้าแก้มันช้าเกินไป เดิมทีก็ไม่มีโอกาสให้ข้ารอดชีวิตไปแก้มันแม้แต่น้อย”
“เช่นนั้น ข้าจะนำไปตรวจดูก่อน พวกท่านค่อย ๆ คุยกันเถิด”
สองสามวันต่อมา ลู่ฉาวอวี่ก็กลับไปยังเมืองหลวงพร้อมกองกำลังส่วนหนึ่ง
ด้านครอบครัวสกุลหวง ถงซื่อและท่านหมอจูเตรียมอาหารพื้นเมืองรสเลิศมากมายให้ลู่ฉาวอวี่นำกลับไปฝากสหายที่นั่น สำคัญที่สุดคือมอบมันให้กับมู่เจิ้งหาน
หลังจากลู่ฉาวอวี่กลับไป ชีวิตในเมืองฮู่เป่ยก็กลับมาดำเนินตามปกติ ราวกับสงครามที่แสนโหดร้ายนี้ไม่เคยเกิดขึ้น
ภายในสวน ฉีเซียวนั่งอยู่บนรถเข็น เบื้องหน้ามีกระดานหมากล้อม คู่แข่งของเขาคือลู่อี้ผู้ที่เข้าสู่สถานะเกษียณเร็วกว่ากำหนด
“หมู่นี้ฮูหยินออกไปแต่เช้าตรู่กลับมาก็มืดค่ำ ดูเหมือนจะงานรัดตัวยิ่งนัก!”
“มีเมื่อใดที่ฮูหยินไม่งานรัดตัวเล่า?” ลู่อี้คุ้นชินกับเหตุการณ์นี้มานานแล้ว
หากจะกล่าวว่าเขาผู้ที่เป็นอัครมหาเสนาบดีของบ้านเมืองต้องรับผิดชอบทุกอย่าง ทว่าเมื่อเทียบกับฮูหยินของเขาแล้ว นางก็แทบไม่ต่างกันเลย เรื่องนี้ไม่ได้กล่าวเกินความเป็นจริงนัก
“เบี้ยหวัดทั้งปีของใต้เท้าลู่ไม่ได้มากมายเท่าที่ฮูหยินทำได้ในหนึ่งวันกระมัง?” ฉีเซียวเอ่ย “ท่านได้รับการเลี้ยงดูจากฮูหยิน รู้สึกอย่างไรหรือ?”
“ท่านอิจฉารึ? อิจฉาไปก็ไร้ประโยชน์ ใต้หล้านี้ไม่มีสตรีผู้ใดมีไหวพริบทางการค้าเท่าฮูหยินข้าแล้ว ท่านคงทำได้เพียงอิจฉาอยู่ข้าง ๆ เช่นนี้ต่อไป”
ฉีเซียว “…”
อีกฝ่ายเป็นถึงอัครมหาเสนาบดีของบ้านเมือง เขาไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือไร?
เมื่อมองดูลู่อี้ทำท่าทีโอ้อวดเช่นนั้นแล้ว ฉีเซียวยิ่งไม่สบอารมณ์กว่าเดิม
“ไม่เล่นแล้ว” ฉีเซียวโยนเบี้ยในมือทิ้ง แล้วเข็นรถเข็นของตนเข้าไปในห้อง “มองท่านแล้วข้ารู้สึกหมดอารมณ์”
ลู่อี้เอ่ยค้าน “นั่นเป็นสิ่งที่ท่านขอเอง ข้าไม่ได้ยั่วยุท่าน ท่านยั่วยุตนเองต่างหาก”
“นายท่าน ใต้เท้าฉี ฮูหยินเรียนเชิญเจ้าค่ะ” เจ๋อหลานเดินเข้ามา
ซางจือและฉานอีกลับมาอยู่ข้างมู่ซืออวี่ดังเดิม ทว่าชิงไต้และเจ๋อหลานก็ยังอยู่เช่นกัน เดิมทีมู่ซืออวี่มีสาวใช้เพียงสองคน บัดนี้มีเพิ่มขึ้นอีกสองคนแล้ว สาวใช้ทั้งสี่ต่างก็ทำหน้าที่ของตนและเป็นลูกน้องที่เก่งกาจที่สุดของมู่ซืออวี่
“ฮูหยินให้พวกเราไปที่ใดหรือ?”
“นายท่านและใต้เท้าเพียงแค่ตามบ่าวมาก็พอเจ้าค่ะ” เจ๋อหลานเอ่ยด้วยท่าทีนอบน้อม
ลู่อี้เดินเข้าไปหาฉีเซียว ช่วยเข็นรถให้เขาและเดินตามเจ๋อหลานไป
ฉีเซียวเห็นท่าเดินกะโผลกกะเผลกของลู่อี้จึงกล่าวเหน็บแนม “ข้าว่านะ ผู้ที่นั่งอยู่บนรถเข็นนี้ควรเป็นท่านมากกว่า ไม่อย่างนั้นท่านมานั่ง แล้วให้ข้าไปเข็นให้เป็นอย่างไร? ข้าเพียงแค่ร่างกายอ่อนแอเล็กน้อย เดินเพียงไม่กี่ก้าวย่อมไม่มีปัญหา”
“ใต้เท้าฉีอายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว รอกลับไปยังเมืองหลวง ข้าจะขอให้ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้ใต้เท้าฉี ข้าว่าฝ่าบาทจะต้องทรงโสมนัสที่จะพระราชทานสตรีให้ท่านเป็นแน่ บุตรสาวเสนาบดีหลี่เป็นอย่างไร? หรือว่าจะเป็นน้องสาวของเจี๋ยตู้สื่อหวัง?”
ฉีเซียว “…”
สุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์
หากจะถามว่าจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของเขาคือสิ่งใด ก็คงมีเพียงเรื่องนี้
ถึงแม้จะใช้คนในสกุลมาข่มขู่เขา ฉีเซียวก็จะไม่แม้แต่ขมวดคิ้ว แต่หากเป็น…
เขาไม่ต้องการมีสตรีมาสร้างความวุ่นวายในชีวิต
“นายท่าน ใต้เท้า เบื้องหน้าคือสถานที่ที่ฮูหยินของเราต้องการให้พวกท่านเข้าไปเจ้าค่ะ”
“ข้างในคืออะไร? ห้องใต้ดินหรือ?”
“พวกท่านเข้าไปก็จะทราบเองเจ้าค่ะ”
ลู่อี้เข็นฉีเซียวลงไปในห้องใต้ดิน
ทันทีที่เข้าไป ลูกศรจำนวนมากก็พุ่งออกมาจากผนัง
ลู่อี้รีบชักกระบี่ออกมาจากเอว ปัดป่ายลูกศรเหล่านั้นทิ้ง
ฉีเซียวเองก็ยกกระบี่อ่อนขึ้นมาต้านเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ลูกศรเหล่านั้นไม่มีหัว เพียงพุ่งเข้าใส่ร่างกายเท่านั้น ไม่ได้ถึงกับเป็นอันตรายต่อจุดตายของพวกเขา มิฉะนั้นหากจู่ ๆ มีลูกศรมากมายเพียงนี้พุ่งออกมา ถึงแม้พวกเขาจะมีสามเศียรหกกรก็เกรงว่าจะหลบไม่พ้น
“เหตุการณ์นี้ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก” ลู่อี้เอ่ย
“ตอนที่พวกเราเพิ่งเข้าไปในหุบเขา กลไกแรกที่พวกเราต้องเผชิญเป็นค่ายลูกศร ตอนนั้นพวกเรานำคนไปห้าสิบคน ในค่ายลูกศรนี้มีถึงสิบห้าคนที่ติดอยู่ในนั้น”
“ใช่! มิน่าเล่าข้าจึงรู้สึกคุ้นเคย”
“ข้าได้ฟื้นชีวิตกลไกในหุบเขาขึ้นมาโดยอาศัยภาพที่พวกท่านวาด” มู่ซืออวี่เดินออกจากที่ซ่อน
“ฮูหยิน เจ้าหมายความว่าข้างหน้ายังมีกลไกแบบต่าง ๆ อยู่อีกหรือ?”
“ใช่” มู่ซืออวี่เอ่ย “แต่วางใจเถิด ข้าเพียงแค่ยึดหลักการของมันเท่านั้น ไม่ได้สร้างให้ทำร้ายคนเหมือนกลไกต้นแบบ”
“เจ้าอยากให้พวกเราเข้าใจหลักการทำงานของกลไก แล้วไปสำรวจหุบเขานั้นอีกครั้งหรือ?” ลู่อี้เข้าใจความหมายของมู่ซืออวี่ทันที
“ถูกต้อง” มู่ซืออวี่เอ่ย “พวกท่านไม่ได้บอกหรือว่าหุบเขาแห่งนั้นใหญ่มาก สามารถใช้ฝึกคนนับหมื่นได้ในเวลาเดียวกัน กล่าวอีกอย่างคือ ที่นั่นเป็นฐานที่มั่นของพวกมัน แปลว่าจะต้องทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้เป็นแน่ แน่นอนว่าพวกท่านไปสร้างความโกลาหลที่นั่นและแหวกหญ้าให้งูตื่นแล้ว พวกมันย่อมย้ายออกไป แต่ในเมื่อพวกมันอยู่ที่นั่นนานเพียงนั้น จะต้องทิ้งเบาะแสบางอย่างไว้แน่นอน”
“ฮูหยินกล่าวไม่ผิด พวกเราต้องไปตรวจสอบที่นั่นอีกครั้ง” ลู่อี้เอ่ย “ไม่ว่าข้างในจะถูกเก็บกวาดจนว่างเปล่าหรือไม่ ก็จะต้องมีบางสิ่งบางอย่างเหลือไว้ให้เราศึกษาอย่างแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาลองดูอีกครั้งเถิด” ฉีเซียวเอ่ย “ฮูหยิน ในเมื่อท่านสร้างกลไกเหล่านี้ขึ้นมา ท่านคงคิดหาวิธีที่จะแก้มันได้แล้ว”
“หมู่นี้ข้ากลัวเหลือเกินว่าผมข้าจะขาวโพลนไปเสียก่อน โชคดีที่ข้าไม่ทำให้ตนเองผิดหวังจึงคิดหาวิธีทะลวงมันออกมาได้” มู่ซืออวี่เอ่ย “เริ่มจากค่ายลูกศรนี้…”
กลไกทั้งหมดมีสิบสี่กลไก ค่ายลูกศรในชั้นแรกแรกดูเหมือนจะอันตราย ทว่าจริง ๆ แล้วมันทะลวงได้ง่ายที่สุด จากนั้นจึงจะเพิ่มระดับความยากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ดี ในเมื่อภายในหุบเขามีคนจำนวนมาก จึงไม่อาจทำให้กลไกพวกนี้ไร้ทางแก้ ไม่เช่นนั้นอาจจะทำร้ายคนของตนเข้าโดยบังเอิญ เห็นได้ชัดว่ากลไกแต่ละแบบล้วนมีทางถอย ขอแค่เพียงจับหลักของมันได้ ย่อมสามารถหลบเลี่ยงได้อย่างปลอดภัย