สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 784 ลู่อี้จากไปอีกครั้ง
บทที่ 784 ลู่อี้จากไปอีกครั้ง
บทที่ 784 ลู่อี้จากไปอีกครั้ง
เป็นเวลาสิบวันติดต่อกัน ทั้งสามคนเข้าไปในกลไกยามกลางวันและออกมาในยามกลางคืน ทุก ๆ วันอาหารกลางวันของพวกเขาจะถูกยกเข้าไปในกลไกนั้น
ในที่สุดคนทั้งหมดก็เข้าใจการทำงานของมันอย่างถ่องแท้
อาการบาดเจ็บที่ขาของลู่อี้ค่อย ๆ ดีขึ้นหลังจากรักษามาระยะหนึ่ง ทว่าถึงตอนนี้เขาก็ไม่อาจอยู่เฉยได้อีกต่อไป และตั้งใจว่าจะพาลูกน้องที่ไว้ใจได้นับร้อยไปสำรวจหุบเขาอีกครั้ง
ถึงตอนนี้ มู่ซืออวี่ย่อมไม่ปล่อยให้เขาเข้าไปเสี่ยงเพียงลำพัง นางจึงเสนอตัวว่าจะไปด้วย
ลู่อี้จะเต็มใจให้นางแบกรับความเสี่ยงนี้ได้อย่างไร เขาจึงเอ่ยปฏิเสธ ผลที่ได้คือบ่าวรับใช้สกุลลู่ได้เป็นประจักษ์พยานการทะเลาะกันระหว่างนายท่านและนายหญิงของบ้านที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา ถึงขนาดที่ว่าลู่อี้ถูกไล่ให้ไปนอนที่ห้องรับรองแขก
“ท่านรออีกสักระยะหนึ่งเถอะ ถึงตอนนั้นข้าจะไปกับท่านเอง” ฉีเซียวกล่าว
“ท่านดูแลตนเองให้ดีเถอะ! ฮูหยินเคยบอกว่าคราแรกที่นางพบท่าน นางยังคิดว่าท่านเป็นสตรี จากที่ข้าดู หากท่านยังไม่ดูแลร่างกายตนเองเช่นนี้ เกรงว่าจะเทียบไม่ได้แม้กระทั่งร่างกายของสตรีแล้ว”
“ใต้เท้าลู่อยากจะประมือกับข้าเพื่อเรียนรู้หรือ?” สีหน้าของฉีเซียวอึมครึมขึ้นมาโดยพลัน
“ข้าเพียงแค่อยากให้ท่านพักผ่อนให้ดี” ลู่อี้ตบลงบนไหล่ของฉีเซียว “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไปครานี้ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อใด ท่านช่วยข้าดูแลที่บ้านที”
“เหอะ…” ฉีเซียวแค่นเสียงอย่างเย็นชา “แล้วแต่ท่าน”
การจากไปของลู่อี้ครั้งนี้ มู่ซืออวี่โกรธมากจริง ๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาที่เขาจะนำคนจากไปจริง ๆ ก็เข้ามากอดนางแล้วพูดจาออดอ้อนอยู่ครึ่งค่อนวัน นางจึงทนโกรธเขาต่อไม่ไหวแและจัดเตรียมข้าวของมากมายไว้ให้ล่วงหน้า
หลังจากลู่อี้ไปได้ไม่นาน สิ้นปีก็เวียนมาถึงอีกครั้ง
ปีนี้เมืองฮู่เป่ยแตกต่างออกไปจากเดิม ท้องถนนเต็มไปด้วยกิจกรรมคึกคักมากมาย
ในเวลานี้ มีข่าวใหม่มาจากอาณาจักรเฟิ่งหลิน
“เจ้าอ่านดูสิ…” มู่ซืออวี่ส่งจดหมายให้กับลู่จื่ออวิ๋น “สกุลฉินส่งสิ่งนี้มาให้ บอกว่าเป็นจิ่นอ๋อง… ไม่ถูกสิ ตอนนี้ควรเรียกเขาว่าฮ่องเต้พระองค์ใหม่ เซี่ยเฉิงจิ่น ฮ่องเต้พระองค์ใหม่แห่งอาณาจักรเฟิ่งหลินส่งสิ่งนี้มาให้”
เซี่ยเฉิงจิ่นส่งจดหมายมาสองฉบับ ฉบับหนึ่งมอบให้มู่ซืออวี่และลู่อี้ อีกฉบับมอบให้ลู่จื่ออวิ๋น
มู่ซืออวี่ไม่ได้เปิดอ่านจดหมายของลู่จื่ออวิ๋นจึงไม่รู้ว่าข้างในเขียนอะไรเอาไว้ ทว่านางก็พอคาดเดาได้ แน่นอนว่าเขาต้องพร่ำรำพันเอ่ยคำรักเพื่อล่อลวงลูกสาวแก้วตาดวงใจของนางเป็นแน่
ส่วนจดหมายที่เซี่ยเฉิงจิ่นเขียนถึงนางและลู่อี้นั้น มีเพียงคำอวยพรปีใหม่ธรรมดากับรายชื่อของขวัญปีใหม่ที่เขาส่งมา อีกฝ่ายเตรียมของขวัญปีใหม่ให้ทุกคนในสกุลลู่อย่างพิถีพิถัน
แน่นอนว่ารายชื่อของขวัญส่วนหนึ่งเต็มไปด้วยของที่สตรีชื่นชอบ นั่นล้วนเป็นของที่เตรียมมาให้ลู่จื่ออวิ๋น
“เขาเขียนถึงเจ้าว่าอย่างไร?” มู่ซืออวี่เห็นสีหน้าเขินอายของลู่จื่ออวิ๋นก็ยิ่งรู้สึกอัดอั้นตันใจมากกว่าเดิม
“เพียงกล่าวว่าตอนนี้เขาขึ้นครองบัลลังก์สำเร็จแล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่ใช่แค่นี้กระมัง? เขาบอกให้เจ้ารอคอยเขามาสู่ขอเจ้าไปแต่งงานใช่หรือไม่?”
“ท่านแม่…”
“เจ้าอยากแต่งออกไปจริง ๆ หรือ?”
ลู่จื่ออวิ๋นลังเลใจขึ้นมาแล้ว
นางไม่อาจตัดใจทิ้งครอบครัวของตน เพียงแต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าจนถึงบัดนี้ใจนางเริ่มสั่นคลอนบ้างแล้วจริง ๆ
“ตอนนี้เจ้ายังเด็ก พ่อแม่ยังอยากรั้งเจ้าไว้อีกสักสองปี” มู่ซืออวี่เอ่ย “ยิ่งกว่านั้น เขาเพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ ตำแหน่งยังไม่มั่นคง หากเขาเร่งรีบมาสู่ขอแต่งงานยามนี้ ข้าสงสัยว่าเขากระตือรือร้นที่จะดึงเจ้าเข้าไปในวังวนของอาณาจักรเฟิ่งหลินเพื่อหยิบยืมกำลังเรา ทางที่ดีเขาไม่ควรมาสู่ขอในยามนี้ มิเช่นนั้นข้าย่อมสงสัยในความจริงใจของเขา หากราชสำนักอาณาจักรเฟิ่งหลินมั่นคงภายในสองปีและความรู้สึกที่เขามีต่อเจ้ายังคงไม่แปรเปลี่ยน พวกเราจะพิจารณาเขาดู”
“ข้าฟังท่านแม่” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ข้ายอมรับว่าเขาไม่เลวจริง ๆ แต่ท่านแม่กล่าวได้ถูกต้อง ข้ายังเด็ก ไม่รีบร้อนแต่งงาน”
“ไม่เสียแรงที่แม่รักเจ้า” มู่ซืออวี่เอ่ย “อย่าได้มองว่าหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าส่วนใหญ่จะแต่งงานมีลูกแล้ว การมีลูกตั้งแต่ยังเยาว์นั้นไม่ได้ดีต่อร่างกายตนเอง แม่ไม่อยากให้เจ้าต้องแบกรับความไม่เป็นธรรมนี้”
ลู่จื่ออวิ๋นนึกถึง ‘สหายวัยเยาว์’ ที่นางพบในหมู่บ้านผู้นั้นขึ้นมาแล้วก็อดตัวสั่นไม่ได้
“เขาส่งของขวัญปีใหม่มาให้ พวกเราก็ไม่อาจเมินเฉย ต้องมอบของขวัญตอบแทนกลับคืนให้เขา” มู่ซืออวี่เอ่ย “นกจักรกลห้าตัวนั้นเป็นอย่างไร? จัดเตรียมคนนำไปส่งให้เขาเถอะ!”
“ของขวัญชิ้นนี้ไม่ล้ำค่าเกินไปหรือเจ้าคะ?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “หากอาณาจักรเฟิ่งหลินทะเยอทะยาน คิดจะรุกรานเราจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”
“ดูเหมือนเจ้าเด็กคนนี้จะไม่ได้คิดถึงเพียงความรัก เช่นนี้แม่ก็โล่งใจแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอเพียงแค่มีข้าอยู่ ไม่ต้องเอ่ยถึงนกจักรกลหรอก แม้แต่ของที่ล้ำเลิศยิ่งกว่ายังทำออกมาได้”
หลังจากลู่อี้ไปแล้ว มู่ซืออวี่ยังคงไปส่งอาหารเย็นของฉีเซียวให้ด้วยตนเอง
นางยกน้ำแกงไก่เดินเข้ามา
“ฮูหยินลู่ หากท่านยังขุนข้าอยู่เช่นนี้ ข้าเกรงว่าเมื่อถึงตอนที่ข้าพอเดินเหินได้ ข้าจะอ้วนจนแม้กระทั่งกระบี่ก็ยกไม่ขึ้น”
เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตนดูเหมือนจะมีเนื้อมีหนังเพิ่มขึ้น
“ก่อนหน้านี้ท่านผอมเกินไป ตอนนี้กำลังพอดี วางใจเถิด ระยะนี้ข้าจะปรับเปลี่ยนรายการอาหาร และจะพยายามเตรียมอาหารที่บำรุงร่างกายแต่ไม่อ้วนให้ท่าน”
“ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีอาหารเช่นนั้นด้วย”
“ท่านลองเดาดูสิว่าอาหารวันนี้เป็นอะไร?”
“ข้าได้กลิ่นน้ำแกงไก่”
มู่ซืออวี่เทน้ำแกงไก่ออกมา แล้วยกไปให้ฉีเซียวที่นั่งอยู่บนเบาะนุ่ม
“ข้าซื้อมะพร้าวมาจากพ่อค้าต่างแดน วันนี้ได้ใช้ตุ๋นไก่พอดี ท่านได้กลิ่นหอม ๆ นี้แล้ว รู้สึกมีกำลังวังชามากกว่าปกติหรือไม่?”
ฉีเซียวลองชิมดูหนึ่งคำ พบว่ามันมีรสชาติที่พิเศษขึ้นจากเดิมจริง ๆ
มู่ซืออวี่นั่งลงตรงข้าม รอฉีเซียวกินไก่ต้มน้ำมะพร้าว
“วันนี้สกุลเราได้รับจดหมายจากคนผู้หนึ่ง” มู่ซืออวี่เล่าเรื่องสถานการณ์ของอาณาจักรเฟิ่งหลินในปัจจุบันให้เขาฟัง
“เจ้าเด็กคนนั้นกลายเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของอาณาจักรเฟิ่งหลินจริง ๆ สินะ” ฉีเซียวหยุดมือ “ตอนที่พวกเขาทั้งสกุลย้ายกลับไปยังบ้านเกิด ข้าก็เดาได้แล้วว่าวันนี้จะมาถึง เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะเร็วกว่าที่คาดไว้เสียอีก”
“เขาจะเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่หรือไม่ข้าไม่ได้สนใจ ปัญหาคือเขาคิดจะลักพาตัวลูกสาวข้าไป แม่นางที่ข้าเลี้ยงดูมาอย่างยากลำบาก เขาจะลักพาตัวเด็กดีของข้าไปที่ที่ไกลถึงเพียงนั้น ภายหน้าจะพบหน้ากันยังยากเย็น ข้าอยากจะเห็นแก่ตัวเสียจริง อยากจะใช้ตะบองตียวนยาง*[1] ให้รู้แล้วรู้รอดเสีย เพียงแต่…”
“ฮูหยินลู่อย่าได้บุ่มบ่ามไป อย่างไรเสียเจ้าเด็กคนนั้นก็กลายเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่แล้ว เขาเป็นตัวแทนของอาณาจักรเฟิ่งหลิน ท่านจะใช้ตะบองตียวนยาง หากเขาโกรธเกศาชันเพื่อโฉมงาม*[2] ขึ้นมา เกรงว่าทหารชายแดนของเราจะต้องลำบากอีกครั้งแล้ว”
“ใต้เท้าฉีกล้าหาญไม่มีผู้ใดเทียบเทียม ข้าคิดว่าท่านเป็นเพียงคนเดียวที่จัดการเขาได้”
“อย่าเลย ข้าไม่ได้มีความสามารถเพียงนั้น” ฉีเซียวรู้ว่ามู่ซืออวี่เพียงแค่อยากมีคนให้พูดคุย ลู่อี้ไม่อยู่ เขาจึงต้องรับบทบาทนี้ ไม่เช่นนั้น นางจะไปพูดคุยกับผู้ใดได้?
ฉีเซียวราวกับเห็นภาพในวันวานที่เขาพูดคุยกับนางได้ทุกเรื่อง
นับตั้งแต่เขากลับมาเป็นฉีเซียว แม้นางจะรู้ว่านี่เป็นอีกตัวตนหนึ่งของเขา ถึงอย่างไรก็มักจะมีเส้นคั่นกลางระหว่างกันเสมอ วันนี้นางกลับละทิ้งสิ่งเหล่านั้นไว้ข้าง ๆ ได้ชั่วคราวแล้ว
“หากท่านคิดถึงนางจริง ๆ ถึงตอนนั้นท่านก็ตามลูกสาวของท่านไปได้”
“ที่ท่านว่าก็มีเหตุผล”
ฉีเซียว “…”
เขาเพียงแค่อยากแกล้งให้มู่ซืออวี่โมโห ไม่ได้จะให้นางตามไปจริง ๆ
หากนางตามไปจริง ๆ เช่นนั้นจะไม่เป็นประโยชน์ต่อคนอาณาจักรเฟิ่งหลินหรอกหรือ?
“ยังมีอีกทางหนึ่ง” ฉีเซียวเอ่ย “ท่านให้ว่าที่ลูกเขยของท่านย้ายเมืองหลวงสิ หากเมืองหลวงของพวกเขามาอยู่ใกล้เรามากขึ้น เช่นนี้ท่านก็ไปเยี่ยมลูกได้สะดวกแล้ว”
[1] ใช้ตะบองตียวนยาง หมายถึง จับคู่รักให้แยกจากกัน
[2] โกรธเกศาชันเพื่อโฉมงาม คือบทเพลงหยวนหยวน (圆圆曲) บอกเล่าเหตุการณ์ของเฉินหยวนหยวน คณิกาผู้ถูกตราว่าทำให้แผ่นดินล่มสลาย มาจากท่อนที่ว่า ‘สามทัพครวญไว้ทุกข์องค์ราชัน นายทัพโกรธเกศาชันเพื่อโฉมงาม’