สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 786 ดีดลูกคิดเสียงดังต๊อกแต๊ก
บทที่ 786 ดีดลูกคิดเสียงดังต๊อกแต๊ก
บทที่ 786 ดีดลูกคิดเสียงดังต๊อกแต๊ก
ต่อจากนั้นก็เป็นข้อความยาวเหยียดอีกหนึ่งย่อหน้า ทว่าในนั้นกลับไม่ได้มีใจความสำคัญ มีเพียงคำยกย่องชมเชย
มู่ซืออวี่พอจินตนาการได้ว่าราชโองการนี้ไม่ใช่ฟ่านหยวนซีเขียนเองอย่างแน่นอน หากเป็นฟ่านหยวนซี เขาคงไม่พล่ามอะไรไร้สาระมากมายเพียงนี้
ถ้าเขาร่างมันด้วยตนเอง ในนั้นจะมีเพียงหนึ่งประโยคสั้น ๆ อีกทั้งยังเป็นคำสั่งอย่างตรงไปตรงมา
หลังจากขันทีเล็กประกาศราชโองการเสร็จ เขาก็เห็นว่ามู่ซืออวี่ยังคงตกตะลึงอยู่จึงกล่าวเตือน “ฮูหยิน ฮูหยินรับราชโองการเถิด”
“หม่อมฉันน้อมรับราชโองการ” มู่ซืออวี่รับราชโองการมา
“หากฮูหยินไม่มีอะไรจะกำชับแล้ว ข้าน้อยยังต้องไปพบใต้เท้าฉี คงต้องขอตัวก่อน”
“ใต้เท้าฉีก็ได้รับราชโองการด้วยหรือ?”
“ใช่”
มู่ซืออวี่พยักหน้า “ลำบากกงกงแล้ว ข้าจะให้บ่าวรับใช้พาท่านไปพบใต้เท้าฉีที่เรือนหลัง”
หลังจากขันทีเล็กไปแล้ว มู่ซืออวี่ก็ก้มมองราชโองการที่อยู่ในมือตนเอง
“ฮูหยิน แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยได้ยินว่าสตรีสร้างคุณงามความชอบแล้วจะได้รับที่ดินศักดินา ฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?” เจ๋อหลานที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น
“เมืองถงหยางเป็นที่ที่แม่ทัพกบฏโจวเสียงเฟยเคยครอบครอง โจวเสียงเฟยผู้นั้นรับผิดชอบทหารแสนนาย พลเรือนในค่ายอีกสองแสนคน บัดนี้กบฏพ่ายแพ้หนีตายไปแล้ว เมืองถงหยางกลายเป็นเมืองที่ไม่มีฝ่ายใดพอใจ เป็นเมืองที่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อยากแตะต้อง ฝ่าบาทต้องการโยนเมืองที่เละเทะไม่มีชิ้นดีนี้ให้ฮูหยินเก็บกวาดน่ะสิ!” ฉานอีกล่าว “พวกเราส่งข่าวนี้ให้ท่านอัครมหาเสนาบดี ให้เขาโต้แย้งเรื่องนี้เถิด”
พวกกบฏไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ จากสงครามในครั้งนี้ บ้างก็ถูกจับ บ้างก็หลบหนีไป ผู้ที่หลบหนีไปได้คงไม่กลับไปที่เมืองถงหยางอีก แต่แน่นอน อย่างไรก็ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ว่าอาจมีคนกลับไปที่นั่น
ไม่ว่าคนเหล่านี้จะกลับไปหรือไม่ ความเกลียดชังระหว่างมู่ซืออวี่และพวกเขาย่อมรุนแรงยิ่งกว่าเดิม เป็นไปได้ว่า บัดนี้แม้กระทั่งคนของเมืองข้างเคียงก็รู้แล้วว่าเมืองฮู่เป่ยมีการป้องกันอย่างไร มู่ซืออวี่จัดการกับทัพกบฏเช่นไร
เมืองถงหยางย่อมต้องมีญาติของทหารกบฏอาศัยอยู่ ต่อหน้าพวกเขาอาจยอมจำนน ไม่กล้าต่อต้าน แต่ไม่รู้ว่าในใจพวกเขาจะแค้นเคืองราชสำนักและมู่ซืออวี่ที่ทำให้ต้องสูญเสียคนที่รักไปเพียงใด
“พวกเจ้าลองไปสอบถามดูเถิดว่าใต้เท้าฉีได้รับราชโองการเช่นใด”
“เจ้าค่ะ”
ไม่นานนักคนที่สืบข่าวก็กลับมา
“ใต้เท้าฉีได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพชายแดน รับผิดชอบดูแลทหารหนึ่งแสนนาย พลเรือนในค่ายสองแสนคนในเมืองถงหยางเจ้าค่ะ”
“ดูเหมือนแม้ใต้เท้าฉีอยากถอยก็ถอยไม่ได้แล้ว! ไม่เพียงแต่ถอยไม่ได้เท่านั้น แต่ยังต้องแบกรับภาระอันหนักหน่วงนี้ ก่อนหน้านี้เขารับผิดชอบเพียงดูแลจัดการหน่วยลับ แม้หน่วยลับจะรับผิดชอบในการจัดการเรื่องราวที่ซับซ้อนมากมาย แต่อย่างไรก็ยังพอมีขอบเขต บัดนี้เขากลายเป็นแม่ทัพชายแดนปกครองดูแลทั้งเมืองถงหยาง เรื่องที่ต้องจัดการรับผิดชอบย่อมมีมากกว่าเดิม”
“บ่าวยังคงสับสบเล็กน้อย ทหารแสนนายและพลเมืองในค่ายสองแสนคนจะมาจากที่ใดเจ้าคะ?” ชิงไต้เผยสีหน้างุนงงออกมา
“ปัญหานี้ บางทีแม้กระทั่งฝ่าบาทเองก็ยังไม่รู้กระมัง!” มู่ซืออวี่เอ่ย “นี่เป็นเรื่องที่ใต้เท้าฉีต้องกังวล พวกเราก็ไม่ต้องไปกังวลแทนเขาแล้ว”
“ถ้อยคำนี้ของฮูหยินเสียดแทงใจข้ายิ่งนัก!” ฉีเซียวเข็นรถเข็นตนเองมา “เช่นนั้น เมืองถงหยางเป็นอาณาเขตของฮูหยิน ข้าเป็นองค์รักษ์พิทักษ์ความปลอดภัยของฮูหยิน จะบอกว่าเราไม่เกี่ยวข้องกันเพียงนั้นได้อย่างไรเล่า?”
“ใต้เท้ารับราชโองการแล้วหรือ?”
“ข้าย่อมไม่กล้าขัดราชโองการ”
“แต่ร่างกายของท่าน…”
“ไม่เป็นไร ไม่ใช่ว่าฝ่าบาทจะให้ข้ารบทัพจับศึกเสียหน่อย นอกจากนี้ หากต้องไปรบจริง ๆ ก็ยังมีฮูหยินคอยหนุนหลังทั้งคน อย่างไรเสียนั่นก็เป็นอาณาเขตของท่าน”
มู่ซืออวี่สะบัดมือ ส่งสัญญาณให้ผู้อื่นถอยออกไป
ภายในห้องเหลือเพียงนาง ฉีเซียว และสาวใช้ที่ไว้ใจได้อีกไม่กี่คน
“คนซื่อสัตย์ไม่กล่าววาจาหลอกลวง ฝ่าบาททำเช่นนี้ นอกจากจะให้ข้าเป็นแพะรับบาปแล้ว ยังให้ข้าควักเงินตนเองช่วยเขากอบกู้เมืองถงหยางที่กำลังจะกลายเป็นเพียงซากปรักหักพังด้วย”
“ฮูหยินเองก็ไม่ได้เสียเปรียบ” ฉีเซียวเอ่ย “ด้วยนิสัยของท่าน ท่านไม่เคยทำเรื่องที่ขาดทุน ท่านจะต้องใช้เรื่องนี้ต่อรองกับฝ่าบาทก่อนอย่างแน่นอน ขอเพียงการต่อรองแลกเปลี่ยนเป็นไปได้ด้วยดี ท่านมีเพียงแต่จะชนะ ไม่มีทางแพ้”
“เขาเพียงแค่มอบเมืองถงหยางให้ข้าในนาม รอให้ข้า เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งผู้นี้มาจัดการดูแลมัน เมื่อชนะใจราษฎรแล้ว เงินก็คืนเข้าท้องพระคลัง เพียงแต่ข้าเป็นผู้ทำการค้าย่อมไม่ยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ข้าเตรียมจะเขียนจดหมายให้กงกงผู้นั้นนำกลับไปเมืองหลวงเพื่อให้ฝ่าบาทรับปาก ขอเพียงฝ่าบาทรับปากว่าต่อแต่นี้ไปอีกห้าสิบปีภาษีจากเมืองถงหยางสามส่วนจะเข้าคลังส่วนตัวของข้า ข้าก็จะพยายามทำงานอย่างสุดกำลังเพื่อเขา”
“ไม่เสียแรงที่เป็นฮูหยินลู่ กล้าหาญชาญชัยยิ่งนัก” คงมีเพียงนางเท่านั้นที่กล้าเสนอเงื่อนไขต่อรองกับฮ่องเต้เช่นนี้ ผู้อื่นกล้าทำอย่างนี้เสียที่ไหน?
แน่นอนว่านางย่อมมีความมั่นใจที่จะต่อรองเงื่อนไขและความมั่นใจนั้นก็คือลู่อี้
“จะออกเดินทางเมื่อใด?”
“ดูเหมือนท่านจะรีบเชียวนะ!” มู่ซืออวี่หันไปมองฉีเซียว “งานของแม่ทัพชายแดนไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านไปที่นั่นไม่ได้ประโยชน์แม้แต่น้อย ราชโองการกล่าวว่าทหารหนึ่งแสนนาย พลเรือนในค่ายสองแสนคน แต่จากที่ข้าลองคาดการณ์ดู หากมีทหารเหลือหนึ่งหมื่นนาย มีพลเรือนในค่ายสามสี่หมื่นคนก็นับว่าไม่เลวแล้ว”
ราชโองการกล่าวถึงทหารหนึ่งแสนนาย พลเรือนในค่ายสองแสนคน เห็นได้ชัดว่าให้ฉีเซียวคิดหาวิธีด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม เมืองถงหยางถูกโจวเสียงเฟยทิ้งความวุ่นวายโกลาหลเอาไว้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าราษฎรที่นั่นทั้งคับแค้นใจและควบคุมได้ยากเพียงใด ถึงแม้พวกเขายินดีจะรอมชอม ก็เกรงว่ายากที่จะรวบรวมคนมากมายเพียงนั้นได้
“นั่นเพราะสถานการณ์ไม่สู้ดีนักจึงต้องไปที่นั่นแต่เนิ่น ๆ ไม่เช่นนั้น หากนานวันเข้าจะยิ่งยุ่งยากกว่าเดิม” ฉีเซียวเอ่ย “ตระเตรียมให้พร้อม แล้วออกเดินทางในสามวันให้หลังเถิด!”
มู่ซืออวี่จึงตอบตกลง
เมื่อถงซื่อและท่านหมอจูได้ยินว่ามู่ซืออวี่กำลังจะจากไป หลายวันมานี้พวกเขาจึงมาทานข้าวที่จวนลู่ จากนั้นก็ดึงตัวนางมาพูดคุยหลาย ๆ สิ่ง หลาย ๆ อย่าง
จากไปครานี้ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกเมื่อใด ถงซื่อและท่านหมอจูล้วนไม่ได้อายุน้อย ๆ แล้ว พวกเขาจะไม่เศร้าได้หรือ?
“ท่านอาจู ท่านแม่ หากพวกท่านคิดถึงข้าจริง ๆ ถึงตอนนั้นก็มาซื้อบ้านที่เมืองถงหยาง เปิดโรงหมอสักแห่ง ช่วยข้าฟื้นฟูเมืองเถิด ข้ารับประกันได้เลยว่าต่อไปต้องคึกคักแน่ ๆ” มู่ซืออวี่ถอนหายใจเบา ๆ
“ได้ รอเจ้าเข้าที่เข้าทางแล้ว พวกเราจะไปหา หากเจ้ายกเว้นค่าที่ให้ข้า ข้าจะลองไปเปิดโรงหมอ” ท่านหมอจูเอ่ยขำ ๆ
ไม่รู้ว่าเหตุใดราษฎรในเมืองจึงรู้เรื่องนี้แล้ว มิหนำซ้ำยังรู้ว่ามู่ซืออวี่กำลังจะไปดูแลเมืองถงหยางด้วย แต่ละคนล้วนเป็นกังวล
หมู่นี้มู่ซืออวี่จึงไม่กล้าออกไปข้างนอก เพราะขอเพียงแค่นางออกไปก็จะต้องมีคนมากล่าวเตือน ราวกับว่าจู่ ๆ ญาติพี่น้องและสหายของนางก็ปรากฏตัวขึ้น และปรารถนาว่าจะผูกตนเองเข้ากับสายคาดเอวของนาง
“ฮูหยินมีความสามารถ ชาวเมืองถงหยางโชคดีถึงได้มีฮูหยินคอยค้ำจุน เริ่มแรกพวกเขาอาจยังไม่เข้าใจท่าน แต่เชื่อเถิดว่าในเวลาไม่ถึงครึ่งปี พวกเขาก็จะได้รู้ว่าราชสำนักเมตตาต่อพวกเขามากเพียงใด” อดีตรองนายอำเภอที่ตอนนี้เป็นนายอำเภอเอ่ยด้วยความเคารพนับถือ “หากฮูหยินต้องการความช่วยเหลืออะไร ขอเพียงแค่ให้คนมาส่งข่าว แม้ข้าน้อยจะไม่ได้มีความสามารถมากมายนัก แต่จะให้ความร่วมมืออย่างถึงที่สุดอย่างแน่นอน”
มู่ซืออวี่ยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณ
หลายวันต่อมา รถม้ามากกว่าร้อยคันจอดเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบและออกเดินทางอย่างเอิกเกริก
มู่ซืออวี่ยืนอยู่ที่ประตูเมือง มองดูกำแพงเมืองที่ตั้งตระหง่าน พลางโบกมือให้ราษฎรเหล่านั้นที่กำลังเข้าแถวเพื่อรอส่งนาง
“ฮูหยิน ท่านจะต้องกลับมาหาพวกเรานะขอรับ”
“ฮูหยิน ระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ!”
“ฮูหยิน หากผู้คนเมืองถงหยางมองข้ามความหวังดีของผู้อื่น ท่านก็ไม่ต้องไปสนพวกเขาแล้ว ท่านกลับมาเมืองฮู่เป่ยได้ พวกเรายินดีต้อนรับท่านกลับมาทุกเมื่อ”
“ฮูหยิน เดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะ”
จู่ ๆ มู่ซืออวี่ก็รู้สึกตื้นตันจนอยากร้องไห้
ลู่จื่ออวิ๋นที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “ท่านแม่ ท่านเป็นสตรีที่ดีที่สุดในใต้หล้า ลูกภาคภูมิใจในตัวท่านยิ่งนัก”