สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 792 รูปร่างของสำนักบัณฑิตคงจง
บทที่ 792 รูปร่างของสำนักบัณฑิตคงจง
บทที่ 792 รูปร่างของสำนักบัณฑิตคงจง
ฉีเซียวพินิจดูข้อมูลอย่างถี่ถ้วน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
“หากสำนักบัณฑิตแห่งนี้ถูกสร้างขึ้น เมืองถงหยางของเจ้าคงจะกลายเป็นสวรรค์สำหรับเหล่าบัณฑิต”
มู่ซืออวี่แย้มยิ้ม แล้วอธิบายการออกแบบสำนักบัณฑิตแห่งนี้โดยละเอียด
“เขาลูกนั้นใหญ่มาก ข้าตั้งใจว่าจะใช้ประโยชน์จากภูมิศาสตร์ของที่นั่นอย่างเต็มที่ สร้างดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์สำหรับการเล่าเรียนที่บัณฑิตจะต้องใฝ่ฝันขึ้นมา อันดับแรก เนื้อที่ครอบคลุมถึงสองพันหมู่ มีห้องพักบัณฑิตในขนาดแตกต่างกันถึงเจ็ดร้อยห้อง มีโรงอาหารสิบแห่ง ห้องอาบน้ำยี่สิบแห่งที่มีรูปแบบแตกต่างกัน แน่นอนว่าถึงแม้ห้องอาบน้ำจะเป็นห้องรวม แต่ข้างในจะมีห้องกั้นเล็ก ๆ อยู่”
“ภายในสำนักบัณฑิตยังมีร้านค้าหลากหลายประเภทที่จะดึงมาทำการค้า แม้ว่าสำนักบัณฑิตจะสร้างขึ้นบนยอดเขา ทว่าผู้คนที่นั่นยังสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ วันธรรมดาสำนักบัณฑิตไม่เปิดต้อนรับคนทั่วไป คนภายในออกมาไม่ได้ คนภายนอกเข้าไปไม่ได้ ดังนั้นความหลากหลายของร้านค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากมีอะไรที่ซื้อหาบนเขาไม่ได้ สามารถบอกผู้ดูแลหอพักให้เขาออกมาซื้อให้ได้”
“เขาลูกนี้ชื่อว่าเขากระเรียนขาว อย่างที่ชื่อของมันบอก ที่นั่นมีนกกระเรียนขาวอยู่มากมาย บนเขายังมีป่าเฟิง*[1] ผืนใหญ่ ในทุก ๆ ฤดูกาล บนเขาล้วนปกคลุมไปด้วยใบเฟิง นอกจากนี้ตีนเขายังมีทะเลสาบแห่งหนึ่ง ในวันหยุดพักผ่อน พาสหายสองสามคนไปนั่งเล่นริมทะเลสาบ หรือย่างปลากินสังสรรค์ก็เป็นสุนทรีย์อีกรูปแบบในโลกนี้เช่นกัน”
“จริงสิ ข้ายังคิดจะสร้างกลไกเครื่องขึ้นลงภูเขา เช่นนี้การขึ้นลงเขาจะได้สะดวกยิ่งขึ้น มิเพียงเท่านั้น ข้ายังวางแผนจะสร้างเครื่องขึ้นลงเขาเป็นกระเช้าชมวิวอีกแบบด้วย แบบหนึ่งขึ้นลงได้อย่างอิสระ แบบหนึ่งเคลื่อนลงมาจากข้างบนผ่านเชือก นั่นก็น่าสนุกมากเช่นกัน”
ถึงแม้ฉีเซียวจะพอเข้าใจภาพที่มู่ซืออวี่วาดอยู่บ้าง ทว่าหลังจากได้ฟังนางอธิบายความคิดอย่างละเอียดแล้ว ภาพนั้นพลันปรากฏขึ้นในหัวของเขา อีกทั้งเขายังรู้สึกชื่นชอบภาพนั้นในทันที
สำนักบัณฑิตที่นางกล่าวถึงนี้ ถึงแม้จะเป็นเขา ก็ยินดีที่จะรั้งอยู่
“เรื่องเหล่านี้ช่วยให้บัณฑิตได้เล่าเรียนศึกษาโดยไร้กังวลจริง ๆ ถึงขั้นที่ว่าจะมีความสุขเมื่อได้อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ทว่าสิ่งที่จะดึงดูดพวกเขาจริง ๆ คือหอตำราที่ท่านสร้าง ตามภาพวาดของท่าน หอตำราของท่านไม่เพียงแต่รวบรวมตำราอัศจรรย์พันลึกในใต้หล้าเอาไว้ แต่ยังจะรวบรวมของอัศจรรย์จากทั่วทั้งใต้หล้าเอาไว้ด้วย”
“ไม่ผิด” มู่ซืออวี่เอ่ย “ข้าได้ส่งคนออกไปแล้ว พวกเขากำลังจัดการเรื่องนี้”
เมืองฮู่เป่ยมีลานหรรษา เมืองหลวงมีเรือนพักผ่อนบนภูเขา ครั้น ‘พี่ชาย’ ‘พี่สาว’ มีแล้ว เมืองถงหยาง ‘น้องชาย’ นี้ย่อมต้องมีเช่นกัน นางจึงต้องสร้างเอกลักษณ์ในที่แห่งนี้
หากสำนักบัณฑิตที่มีชื่อเสียงที่สุดอยู่ที่นี่ ย่อมดึงดูดผู้มีพรสวรรค์มาเพิ่มมากขึ้น เช่นนั้นเมืองถงหยางก็จะเปลี่ยนจากเมืองทรุดโทรม ชื่อเสียงของมันจะสูงส่งขึ้นมาทันใด เมื่อเวลาล่วงเลยไป เมืองนี้ย่อมเป็นสถานที่ที่ฝึกฝนผู้มีความสามารถออกมาอย่างมิอาจเลี่ยง ภายหน้าเมืองถงหยางก็จะกลายเป็นที่ที่เหล่าบัณฑิตทั่วหล้าต้องมาเยือน
มู่ซืออวี่ได้วางแผนไว้แล้ว
อย่างเช่นความรู้ทางดาราศาสตร์
นางจะใช้พื้นที่ทั้งชั้นวาดทุกอย่างเกี่ยวกับดาราศาสตร์ลงไป อย่างเช่น ดาวเจ็ดดวงกระบวยเหนือ ดาวหนุ่มเลี้ยงวัวดาวสาวทอผ้า ดาวในระบบสุริยะ และดาวดวงอื่น ๆ
“แม่ทัพฉี หักร้างถางพงต้องรบกวนท่าน หมู่นี้ข้างานรัดตัวจนผมแทบจะขาวโพลนหมดแล้ว ปลีกตัวออกไปไม่ได้จริง ๆ”
ฉีเซียวเงยหน้าดูผมบนศีรษะนาง ปรากฏว่ายังคงเป็นสีดำเป็นประกาย มิต้องเอ่ยถึงแม้แต่ผมขาว เพราะแม้กระทั่งผมแตกปลายยังไม่มี
“คืนนี้ท่านว่างหรือไม่? หากมีเวลา เช่นนั้นอยากลองกินหม้อไฟหรือไม่?”
“ได้ วันนี้เรามารวมตัวกินหม้อไฟด้วยกันเถอะ!”
ขณะที่มู่ซืออวี่ฟื้นฟูเมืองถงหยางให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ก็มีข่าวลือแพร่ออกมาว่านางเป็นสตรีที่ทำให้ทัพกบฏปราชัย
ในเมืองถงหยางมีหญิงม่ายไม่น้อยที่ต้องสูญเสียสามี ผู้เฒ่าผมขาวไม่น้อยที่ต้องส่งคนผมดำ และลูก ๆ ไม่น้อยที่ต้องสูญเสียผู้เป็นบิดา ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะสงครามครั้งก่อน
ชีวิตของราษฎรค่อย ๆ กลับเข้าสู่สภาวะปกติ แต่จู่ ๆ ก็มีคนบอกพวกเขาว่าสตรีที่พวกเขารู้สึกขอบคุณมาโดยตลอดคือสตรีผู้นั้นที่ฆ่าญาติของพวกเขา
สตรีนางหนึ่งหิ้วถังน้ำมาสาดใส่ศาลาว่าการที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” เจ้าหน้าที่ทางการเข้ามาห้ามปราม
“สตรีข้างในผู้นั้นฆ่าสามีข้าตาย ทำให้ลูกชายข้าสูญเสียบิดา เหตุใดบัดนี้นางต้องมาแสร้งทำตัวเป็นพระโพธิสัตว์? จิตใจของนางโหดเหี้ยมอำมหิต มาอยู่เมืองถงหยางนานเพียงนี้แล้ว นางกลับมิเคยเปิดเผยตัวตนว่าเป็นศัตรูเรา ฆ่าญาติเราตายแล้ว นางยังจะมาทำเป็นไขสือต้องการช่วยให้เราพ้นจากความยากลำบาก คิดจะหลอกผู้ใดหา? นังแพศยา เจ้าไม่ได้ตายดีแน่! ถุยยย!”
“อย่าได้หยาบคายกับฮูหยิน! หากเจ้าทำความสะอาดที่แห่งนี้ เราจะแสร้งทำเป็นว่าเหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้น แต่หากเจ้ายังไม่ทำความสะอาดที่นี่ ยังก่นด่าอยู่อีก เจ้าจะต้องเข้าคุก!” เจ้าหน้าที่ทางการผู้นั้นกล่าวด้วยความโมโห
“ถุย อย่างไรข้าก็ไม่…”
สตรีนางนั้นคิดจะวิ่งหนี
เจ้าหน้าที่ไล่ตามนางไปและพาดดาบลงบนคอ
มู่ซืออวี่บังเอิญนั่งรถม้ากลับมาพอดี
ขณะที่รถม้ากำลังจะถึงประตูศาลาว่าการ จู่ ๆ ก็มีสตรีที่อยู่ในสภาพกระเซอะกระเซิงผู้หนึ่งกระโดดออกมา คนขับรถม้ารีบดึงสายบังเหียนโดยเร็ว เพื่อไม่ให้สตรีผู้นั้นถูกชนเข้า
“เหตุใดเจ้าวิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือเช่นนี้?” คนขับรถม้าตะคอก “นี่คือรถม้าของฮูหยินลู่ รีบหลบไปให้พ้น”
สตรีผู้นั้นเดิมทียังนั่งอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าตะลึงงัน ครั้นได้ยินว่าเป็นรถม้าของฮูหยิน นางก็ถีบตัวพรวดขึ้นมาจากพื้นทันที และกระโจนไปทางรถม้าสุดตัวด้วยความโกรธ
“ฆาตกรฆ่าคน เจ้าออกมาประเดี๋ยวนี้! หากไม่ใช่เพราะเจ้า สามีของข้าก็คงไม่ตาย ข้ากับลูกชายคงไม่ต้องใช้ชีวิตตกระกำลำบาก เจ้าทำให้ชีวิตของครอบครัวเราน่าอดสูถึงเพียงนี้ มีสิทธิ์อะไรเอาเมืองถงหยางไปเป็นของเจ้า?”
มู่ซืออวี่เปิดม่านออก มองสตรีที่ราวกับเสียสติไปแล้วผู้นั้นอย่างใจเย็น
สตรีผู้นั้นมองดูเสื้อผ้างดงามวิจิตรบนเรือนร่างมู่ซืออวี่ นางพลันรู้สึกกดดันขึ้นมา
เมื่อเผชิญหน้ากับสตรีสูงศักดิ์เหล่านี้ ชาวบ้านธรรมดา ๆ ย่อมเกิดความเกรงกลัวโดยสัญชาตญาณ บางทีนี่อาจเป็นอุปนิสัยของข้าทาสที่สืบต่อกันมาจากกระดูกพวกเขา
“ผู้ใดคือสามีเจ้า?” มู่ซืออวี่จ้องสตรีผู้นั้น “เจ้าบอกว่าข้าเป็นฆาตกร ข้าฆ่าสามีเจ้า เช่นนั้นบอกข้าทีว่า เหตุใดข้าต้องฆ่าเขา?”
มู่ซืออวี่ออกมายืนอยู่บนรถม้า มองดูราษฎรที่กำลังมุงดู แล้วเปิดปากเอ่ย “เมืองถงหยางแห่งนี้ถูกทำลายลงอย่างไร ข้าเชื่อว่าทุกคนล้วนทราบดี ที่นี่เป็นที่ฝึกฝนทหารมานานนมแล้ว ดังนั้นทหารเหล่านี้จึงถูกโจวเสียงเฟยนำไปทำหลาย ๆ อย่าง ทั้งฆ่าคน ปล้นสะดม เผาทำลาย ฉุดสตรี ในสนามรบดาบกระบี่ไร้ตา ไม่ต้องเอ่ยถึงแม้แต่จะฆ่าฟันศัตรู เพราะกระทั่งในหมู่สหายก็อาจเกิดการฆ่ากันโดยมิได้ตั้งใจขึ้นได้ ในเมื่อสามีเจ้าติดตามโจวเสียงเฟยกลายเป็นกบฏ เขาจะต้องจ่ายราคากับการตัดสินใจของตน กล่าวอีกอย่าง หากวันนี้โจวเสียงเฟยชนะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะมีหญิงสาวบริสุทธิ์อีกกี่มากน้อยที่จะถูกทหารและโจรไร้ยางอายเหล่านั้นข่มขืน?”
“แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยจงใจปกปิดความจริงที่ว่า ข้าเป็นผู้ที่ปกป้องเมืองฮู่เป่ยจากการรุกรานของทัพกบฏ หากเจ้าให้โอกาสข้าอีกครั้ง ข้าก็จะยังตัดสินใจเช่นเดิม หากพวกท่านไม่เต็มใจติดตามผู้ที่ฆ่าคนที่พวกท่านรักทางอ้อม สามารถไปจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ทำให้พวกท่านลำบากใจ เพียงแต่นับแต่วันนี้ไป ข้าไม่อยากได้ยินพวกท่านเอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้อีก”
บนท้องถนน ราษฎรต่างมองหน้ากัน
พวกเขานึกไม่ถึงว่ามู่ซืออวี่จะยอมแตกหักกันไปข้างเช่นนี้
ถ้อยคำของนางแผ่วเบา ทว่าความหมายของนางกลับชัดเจนแจ่มแจ้ง ‘หากไม่ต้องการรั้งอยู่ที่นี่ก็ออกไปเสีย ที่นี่คืออาณาเขตของนาง นางคิดจะทำอย่างไรก็จะทำอย่างนั้น’
[1] ใบเฟิง คือ ใบเมเปิล