สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 796 สารพัดเรื่องราวในเมืองหลวง
บทที่ 796 สารพัดเรื่องราวในเมืองหลวง
บทที่ 796 สารพัดเรื่องราวในเมืองหลวง
ณ พระราชวัง เมืองหลวง
ทันทีที่ลู่อี้เข้ามาในพระตำหนักก็เห็นภาพวาดวางแผ่ขยายอยู่ทั่วพื้น อีกอย่างทั้งหมดนั้นยังเป็นภาพวาดทิวทัศน์
เพียงแต่ลายเส้นนั้น…
ดูเหมือนว่าจะเป็นผลงานของภรรยาเขา
“ฝ่าบาทช่างอารมณ์สุนทรีย์จริง ๆ นึกไม่ถึงว่าจะยังมีเวลามาชื่นชมภาพวาดอยู่ที่นี่” ลู่อี้เอ่ยขึ้น “ท่านเรียกตัวข้ากลับมาไม่ใช่ว่ามีเรื่องจะหารือหรอกหรือ?”
“ระยะนี้เมืองหลวงเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น” ฟ่านหยวนซีเอ่ยอย่างสุขุม “เจ้ารอบรู้ถึงเพียงนี้ คงได้ยินมาบ้างกระมัง?”
“ได้ยินว่ามีทารกหายตัวไปหลายวันติดต่อกัน บางครั้งยังหายตัวไปเจ็ดแปดคนภายในคืนเดียว อย่างน้อยหายตัวไปคืนละสามคน จนกระทั่งถึงบัดนี้รวมเป็นสี่สิบกว่าคนแล้ว” ลู่อี้เอ่ย “นี่เป็นเรื่องของศาลต้าหลี่ หน่วยลับ รวมถึงกรมอาญาและสำนักตรวจการ ท่านมอบให้พวกเขาจัดการก็ได้แล้ว”
“ข้าส่งต่อคดีนี้ให้ใต้เท้าลู่น้อยแล้ว” ฟ่านหยวนซีเอ่ย “เพียงแต่คดีนี้แปลกเช่นนี้ ใต้เท้าลู่น้อยเป็นบุตรชายของท่านอัครมหาเสนาบดีลู่ ข้าจึงต้องให้ท่านกลับมารับผิดชอบ”
“ข้าเชื่อใจความสามารถของฉาวอวี่ ไม่ว่ามือมืดในเงามืดนั้นจะชั่วร้ายเพียงใด ลูกชายของข้าก็รับมือได้ แทนที่จะเรียกตัวข้ากลับมาจับตาดูคดีที่ยากเย็นนี้ให้เขา ไม่สู้ปล่อยให้ข้าไปที่เมืองถงหยางดูว่าภรรยาข้าถูกใช้งานจนกลายเป็นเช่นไรไปแล้วดีกว่า” สายตาของลู่อี้ฉายความไม่พอใจเมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้
“ผู้มีความสามารถย่อมทำงานหนักกว่าผู้อื่น ฮูหยินลู่เป็นสตรีที่มหัศจรรย์เพียงนี้ เจ้าให้นางอยู่แต่เรือนหลังเป็นสตรีธรรมดาผู้หนึ่งไม่ยุติธรรมเลยจริง ๆ ข้าในฐานะฮ่องเต้ผู้ปกครองแผ่นดิน เพื่อประโยชน์ของราษฎรในใต้หล้าแล้ว ย่อมไม่ลังเลที่จะมอบเมืองให้กับภรรยาของขุนนางใหญ่ อัครมหาเสนาบดีลู่ควรเข้าใจเจตนาดีของข้า”
“ผู้ที่เหน็ดเหนื่อยไม่ใช่ภรรยาฝ่าบาท แน่นอนว่าฝ่าบาทย่อมไม่ปวดใจ” ลู่อี้เอ่ย
เมื่อเอ่ยถึงภรรยา สีหน้าของฟ่านหยวนซีดูไม่สู้ดีนัก
ลู่อี้กล่าวว่า “ข้าเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวงก็ได้ยินว่าพระนางฮองเฮาตกพระโลหิต ท่านคงตรวจสอบออกมาไม่ได้ว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้กระมัง?”
“ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบก็พอคาดเดาได้” ฟ่านหยวนซีเอ่ยอย่างเยือกเย็น “เซวียนอ๋องคงไม่คิดว่าสัตว์เลี้ยงทุกตัวของข้าเป็นพวกกินพืชกระมัง?”
ในเมื่อพระโอรสของเขาไม่รอด เช่นนั้นบุตรชายของเซวียนอ๋องผู้นั้นก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่เช่นกัน
“ข้างนอกล้วนเล่าลือว่าเพราะเมื่อก่อนฝ่าบาททำเรื่องชั่วร้ายมามากเกินไป บัดนี้จึงถูกลงโทษด้วยเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านเอง ยังมีคนกล่าวว่าเหตุที่ทารกเหล่านั้นหายตัวไป เป็นเพราะท่าน ฮ่องเต้ผู้นี้ทำให้ฟ้าดินทนไม่ไหวจึงลงโทษ” ลู่อี้เอ่ย “ดูเหมือนการหายตัวไปของทารกครั้งนี้เป็นแผนที่มีไว้เพื่อต่อกรกับฝ่าบาท หากทารกยังคงหายตัวไปอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ เกรงว่าจะเกิดข่าวลวงในหมู่ราษฎรมากยิ่งกว่าเดิม”
“ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงได้เร่งเรียกตัวเจ้ากลับมา เพราะอยากให้เจ้าช่วยดูแลคดีนี้ ข้าเชื่อความสามารถของใต้เท้าลู่น้อย เพียงแต่มีเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจึงจะหายห่วง”
“ได้ ข้าทราบแล้ว”
ลู่อี้หมุนตัวเตรียมจะจากไป เมื่อเห็นภาพวาดทิวทัศน์บนพื้นจึงเอ่ยว่า “นี่เป็นภาพวาดของฮูหยินข้ากระมัง?”
“นี่เป็นอนาคตเมืองถงหยาง” ฟ่านหยวนซีมองภาพวาดตรงหน้าด้วยสายตาชื่นชม “มีภาพวาดทั้งหมดห้าสิบภาพ เมื่อรวบรวมเข้าด้วยกันแล้วจะเป็นหน้าตาของเมืองถงหยางในภายหน้า”
เมื่อฟ่านหยวนซีเห็นภาพวาดชุดนี้ก็รู้สึกดีใจยิ่งนักที่ตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด มู่ซืออวี่ไม่ทำให้เขาผิดหวังดังคาด
หากเมืองถงหยางพัฒนาจนเป็นเช่นนี้ วันหนึ่งการคงอยู่ของมันจะเป็นเสมือนแดนเซียน เช่นนั้นเงื่อนไขที่มู่ซืออวี่ร้องขอจึงไม่นับเป็นอะไรเลย
ลู่อี้มองรูปร่างของเมืองถงหยางอีกครั้ง
มีบางคำที่ฟ่านหยวนซีกล่าวได้ถูกต้อง ภรรยาของเขาเป็นสตรีที่มหัศจรรย์เพียงนี้ ย่อมไม่อาจให้นางเสียเวลาอยู่ที่เรือนหลังได้ บนโลกนี้มีผู้คนที่ต้องการนางมากมายเพียงนั้น การมีอยู่ของนางถือเป็นความปรานีจากสวรรค์
สิ่งที่มืดมน สกปรก และเลวร้ายเหล่านั้นเป็นหน้าที่ที่เขาต้องจัดการ ฮูหยินของเขาเพียงเป็นพระอาทิตย์ดวงเล็ก ๆ สร้างความอบอุ่นให้เขาและส่องสว่างให้ผู้อื่นก็พอ
ลู่อี้ไปยังสำนักตรวจการ เมื่อได้ยินว่าลู่ฉาวอวี่กำลังไต่สวนผู้ที่รายงานเบาะแสเหล่านั้นก็ไม่ได้ตรงไปยังห้องไต่สวนเพื่อฟัง หากแต่รอให้เขากลับมาอยู่ในห้องตำรา
หนึ่งชั่วยามต่อมา ลู่ฉาวอวี่ออกมาจากห้องไต่สวน
“ใต้เท้าลู่น้อย อัครมหาเสนาบดีลู่กำลังรอท่านอยู่ในห้องตำราขอรับ”
“พ่อข้ากลับมาแล้วหรือ?” ลู่ฉาวอวี่ประหลาดใจ “เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด? เหตุใดข้าจึงไม่ทราบ?”
“ได้ยินว่าเพิ่งกลับมาขอรับ” อีเจี้ยนที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “เดิมทีใต้เท้าลู่กำลังตรงไปเมืองถงหยาง ฝ่าบาทกลับเรียกตัวเขากลับมาอย่างเร่งด่วน ระหว่างทางม้าตายไปถึงแปดตัว ใต้เท้าลู่เองคงเหนื่อยล้าแล้วเช่นกัน”
“คงเป็นเพราะคดีนี้” ลู่ฉาวอวี่เข้าใจแล้ว “ไม่เช่นนั้นพ่อข้าคงไปอยู่กับท่านแม่แทนที่จะเร่งเดินทางกลับเมืองหลวง”
อีเจี้ยนเปิดประตูให้ หลังจากลู่ฉาวอวี่เข้าไปแล้วจึงปิดประตูลงอีกครั้ง
ลู่อี้กำลังอ่านบันทึกของคดีนี้
ดวงตาของเขาเป็นรอยดำคล้ำทำให้ลู่ฉาวอวี่นึกถึงคำพูดของอีเจี้ยน
อีเจี้ยนกล่าวว่าม้าตายไปแปดตัว ในเมื่อแม้กระทั่งม้ายังทนไม่ไหว นับประสาอะไรกับมนุษย์ธรรมดาอย่างลู่อี้ หากเขายังหักโหมเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะล้มลงก่อนม้าแล้ว
“ท่านพ่อกลับมาแล้ว เหตุใดไม่พักผ่อนก่อนขอรับ?” ลู่ฉาวอวี่รินชาด้วยตนเอง “ข้าจัดการเรื่องที่นี่ได้ ท่านพ่อควรดูแลร่างกายตนเองให้ดี”
“มาหารือกันเรื่องคดีทารกก่อนเถอะ!” ลู่อี้เอ่ย “จากบันทึกนี้ของเจ้า ข้าพอทราบคร่าว ๆ แล้ว ทารกที่หายตัวไปอายุมากสุดเพียงแปดเดือน อายุน้อยสุดเพียงสามวัน”
“ใช่ขอรับ”
“ทารกเหล่านี้อาศัยอยู่ในหลาย ๆ ที่ทั่วทั้งเมืองหลวง บ้างอยู่ในเมือง บ้างอยู่นอกเมือง ที่บ้านของทารกที่หายตัวไปเหล่านี้ล้วนมีกลิ่นเหมือน ๆ กัน คงเป็นกลิ่นจากควันกระมัง?”
“ข้าส่งคนไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ เป็นกลิ่นควันจริงๆ เพียงแต่จนกระทั่งถึงบัดนี้ยังไม่พบว่าเป็นควันชนิดใด เหล่าหมอหลวงก็ทดสอบแล้วเช่นกัน ทว่าหาได้พบเบาะแสไม่” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “ครอบครัวทารกที่หายตัวไปบ้างเป็นชาวบ้านธรรมดา บ้างเป็นเศรษฐี ยังมีบางส่วนเป็นสกุลขุนนาง ชาวบ้านธรรมดาและสกุลเศรษฐีเหล่านั้นไม่ต้องกล่าวถึง สกุลขุนนางมีบ่าวรับใช้มากมายเพียงนั้น นึกไม่ถึงว่าจะยังถูกลักพาตัวไป เพียงแต่มียามบอกเวลาผู้หนึ่งบังเอิญเห็นสตรีอุ้มทารกเดินไปบนถนน นับตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ เมืองหลวงเรายังไม่ได้จำกัดเวลากลางคืน เขาจึงไม่ได้ใส่ใจ”
“ในเมื่อยามบอกเวลาพบเห็นคนต้องสงสัย เช่นนั้นก็ตรวจสอบตามเบาะแสนี้ต่อไป”
“ยามบอกเวลาเห็นหน้าตาของนางไม่ชัดเจน ทำได้เพียงบอกคร่าว ๆ เท่านั้นว่าอีกฝ่ายเป็นสตรีวัยสี่สิบต้น ๆ ค่อนข้างสูง ร่างกายดูบึกบึน อาศัยคำบอกเล่าของเขา ข้าให้จิตรกรวาดภาพเหมือนออกมาแล้ว”
ลู่อี้มองภาพเหมือนที่ลู่ฉาวอวี่ยื่นให้แล้วเอ่ยว่า “นี่เป็นบุรุษผู้หนึ่ง”
ลู่ฉาวอวี่จึงลองพินิจดูอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง ภาพเหมือนนั้นวาดตามคำบอกเล่าของยามบอกเวลา คนผู้นั้นสวมผ้าคลุมศีรษะ บดบังไปกว่าครึ่งใบหน้า อุ้มทารกไว้ในอ้อมแขนจากไปอย่างรีบร้อน
“ยามบอกเวลาเห็นไม่ชัด จึงบรรยายเพียงส่วนสูงและรูปร่างคร่าว ๆ บางทีอาจผิดเพี้ยนไปจากสิ่งตาที่เห็น เรื่องนี้มีเพียงจับผู้ร้ายได้จึงจะรู้ นอกจากนี้ยังมีบ่าวรับใช้พบเห็นผู้ต้องสงสัย เพียงแต่คนผู้นั้นหอบห่อผ้าเอาไว้ ถึงขนาดปลอมตัวเป็นบ่าวชราในบ้าน ภายหลังเกิดเรื่องขึ้น บ่าวรับใช้ผู้นั้นถึงได้สารภาพว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น”