สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 798 มาได้ทันกาล
บทที่ 798 มาได้ทันกาล
บทที่ 798 มาได้ทันกาล
“เหล็กจำนวนมากขนาดนี้ เจ้าไม่เคยสงสัยเลย หรือว่าพวกเขาจะนำไปทำอะไร?” ลู่ฉาวอวี่โยนบันทึกให้กับเจ้าหน้าที่ผู้นั้น
“ข้าน้อย… ข้าน้อย…” เจ้าหน้าที่ผู้นั้นดูหวาดกลัว ไม่กล้าตอบสิ่งใดทั้งสิ้น
ลู่ฉาวอวี่แค่นเสียงอย่างเย็นชา แล้วสาวเท้าไปยังปากถ้ำ
เพียงเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดฝีเท้า แล้วหันกลับมาเอ่ยว่า “พวกเจ้าสองคน คุมตัวเขาไปสำนักตรวจการ รอข้ากลับไปไต่สวน”
ในเมืองใต้ดินมี ‘ชาวเมืองผู้เป็นภัย’ กว่าเจ็ดร้อยคน ขอเพียงพวกเขาไม่ทุบหม้อหรือใช้เครื่องมือเหล็กเหล่านั้นรบราฆ่าฟันทุกวัน ย่อมไม่มีทางใช้ของพังรวดเร็วเพียงนั้นอย่างแน่นอน
ดูจากบันทึกแล้ว ในตอนแรกเริ่มยังคงปกติ ทว่าความผิดปกติทั้งหมดทั้งมวลเริ่มขึ้นเมื่อครึ่งปีก่อน ในฐานะผู้คุมที่นี่ อีกฝ่ายกลับไม่ได้สงสัยแม้แต่น้อย แม้เขาจะไม่ถูกพวกมันติดสินบนก็ถือเป็นการละเลยต่อหน้าที่ ยังคงเป็นความผิดร้ายแรงที่ต้องได้รับการลงโทษ
หลังจากเดินผ่านปากถ้ำมาได้สักพักก็เห็นเมืองใต้ดินที่ทั้งสกปรก มืดสลัว อับชื้น และอึมครึมแห่งหนึ่งอยู่ตรงหน้า
กว่าเจ็ดร้อยครัวเรือนตั้งรกรากและอาศัยอยู่ที่นี่ หากจะกล่าวว่านี่เป็นเมืองใต้ดินแห่งหนึ่งก็ไม่เกินจริงนัก
บนถนนยังมีร้านรวงต่าง ๆ อยู่ตามสองข้างทาง เพียงแต่ล้วนขายไก่ เป็ด ปลา และอาหารอื่น ๆ
ชาวเมืองที่นี่เลี้ยงไก่ เป็ด ปลา รวมไปถึงแกะ วัว หมู และอื่น ๆ เป็นของตนเอง
ข้างบนไม่อนุญาตให้ค้าขายวัวเป็นการส่วนตัว แต่อยู่ที่นี่กลับดูเหมือนว่าหากอยากจะเชือดพวกมันก็ย่อมได้ ไม่ได้เกี่ยวพันกับกฎหมายข้างบนแม้แต่น้อย
เมื่อลู่ฉาวอวี่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับคนของเขา สายตาแต่ละคู่ล้วนมองมา
เจ้าของสายตาเหล่านั้นมีทั้งบุรุษ สตรี ผู้เฒ่า และเด็ก อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะสถานะหรืออายุใด กลิ่นอายรอบกายพวกเขาล้วนเหมือนกัน นั่นคือกลิ่นอายแห่งความโหดเหี้ยม
ถึงแม้ว่าจะเป็นเด็กอายุเพียงไม่กี่ปี แต่ดวงตากลับสูญสิ้นความสดใสไปนานแล้ว ราวกับคุ้นชินกับการพบเห็นความดำมืดทุกประเภทในโลก
“ใต้เท้า ข้าน้อยเป็นจู่ปู้ของที่นี่ ไม่รู้ว่าใต้เท้าลงมาเมืองใต้ดินมีเรื่องอะไรหรือขอรับ?” ชายวัยกลางคนแต่งกายเรียบร้อยก้าวออกมา
“จู่ปู้? ที่นี่ยังมีจู่ปู้ด้วยหรือ?”
“เมืองใต้ดินมีเรื่องราวมากมายที่จำเป็นต้องจัดการ ข้าน้อยเดิมทีเป็นเพียงอาลักษณ์ในกรมอาญา ด้วยเหตุผลบางประการ พวกเขาเต็มใจให้เกียรติข้าอยู่หลายส่วน ข้าจึงรั้งอยู่ที่นี่เป็นจู่ปู้ขอรับ”
“เช่นนั้นข้าถามเจ้า หมู่นี้เมืองใต้ดินมีที่ใดน่าสงสัยหรือไม่?” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยถาม
ชายวัยกลางคนผู้นั้นงุนงง “ยังเป็นเช่นเดิม ไม่มีอะไรน่าสงสัยนะขอรับ”
“อย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นให้คนของข้าตรวจค้นเสียหน่อย” ลู่ฉาวอวี่ส่งสัญญาณมือ
มือดีหลายสิบคนที่อยู่ข้างหลังเขากระจายตัวไป
ผู้ที่กำลังเฝ้ามองเหตุการณ์เหล่านั้นดวงตาดุร้ายยิ่งกว่าเดิม
“ข้ากำลังตรวจสอบคดี มีผู้ร้ายลอบเข้ามาในเมืองใต้ดิน ข้าเกรงว่าจะคุกคามความปลอดภัยของทุกท่าน ดังนั้นจะต้องจับคนผู้นี้ให้ได้ หากพวกท่านผู้ใดพบเห็นคนน่าสงสัยจะต้องรายงานแก่ทางการ” ลู่ฉาวอวี่อาจดูเหมือนเด็ก ทว่าเมื่อแผ่บรรยากาศกดดันออกมา คนชั่วช้าสามานย์เหล่านี้ก็ไม่กล้ากระทำบุ่มบ่าม
ถึงแม้ในมือพวกเขาจะถืออาวุธสังหารทุกชนิดเอาไว้ อีกทั้งแววตาที่มองมายังโหดเหี้ยม ทว่าขุนนางหนุ่มเช่นนี้ หากไม่ได้เก่งกล้าสามารถอะไรย่อมมีผู้หนุนหลัง
เจ้าหน้าที่ทางการตรวจค้นไปทุกหนทุกแห่ง
“ดูจากบันทึกแล้ว เดือนนี้พวกทานได้รับเครื่องมือเหล็กมาจำนวนหนึ่ง ตอนนี้พวกมันอยู่ที่ใด?”
“แจกจ่ายให้กับชาวเมืองที่ต้องการแล้วขอรับ”
“ถึงแม้จะแจกจ่ายแล้ว คงมีบันทึกเหลืออยู่กระมัง?”
“ขอรับ”
“นำมาให้ข้าดูเถิด”
จู่ปู้กลับไปเอาบันทึกมา ไม่นานก็นำกลับมายื่นให้ถึงมือลู่ฉาวอวี่ด้วยท่าทีเคารพ “ใต้เท้าเชิญตรวจดู”
“บันทึกก่อนหน้านี้เล่า?”
“ก่อนหน้านี้ไม่นานมีฝนตกหนัก ที่พักของข้าหลังคารั่วจึงเสียหายหมดแล้วขอรับ”
“ช่างบังเอิญเสียจริง”
“นั่นน่ะซี”
ผู้ใต้บังคับบัญชาที่รับผิดชอบการตรวจค้นกลับมาแล้ว เขาส่ายศีรษะให้กับลู่ฉาวอวี่
ลู่ฉาวอวี่ถือบันทึกเล่มนั้นเดินไปบนถนนเมืองใต้ดิน
“ใต้เท้า หากท่านค้นหาเสร็จแล้ว เช่นนั้นก็รีบไปจากที่นี่เถิด! สถานที่นี้ไม่เหมาะกับผู้สูงศักดิ์อย่างท่าน ประเดี๋ยวจะเคราะห์ร้ายได้นะขอรับ เช่นนั้นจะไม่ดีต่อโชคด้านยศถาบรรดาศักดิ์ของท่าน”
“ข้าไม่กลัว รังสีบารมีของข้ามีมากพอ” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “ข้าว่านี่ก็ถึงเวลามื้อเย็นแล้ว วันนี้รั้งอยู่ทานข้าวที่นี่เถอะ!”
จู่ปู้ผู้นั้นเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “ใต้เท้า ที่นี่ยากจนข้นแค้น เกรงว่าจะไม่สามารถนำของดีอะไรมารับรองใต้เท้าได้”
“ร้านแผงลอยทางนั้นขายเนื้อย่างไม่ใช่หรือ? วันนี้ข้าจะเลี้ยงเนื้อย่างลูกน้อง” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย อีกทั้งยังคว้าเอาถุงเงินออกมาจากแขนเสื้อแล้ววางลงไปบนโต๊ะ
แววตาของคนขายเนื้อเปล่งประกาย
“ใต้เท้ายินดีอุดหนุนการค้าของข้าน้อย เช่นนั้น แน่นอนว่าข้าน้อยยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง”
หลายปีมานี้เมืองใต้ดินไม่เคยเห็นเงินตำลึงจำนวนมากมาย เพราะเห็นแก่เงินเหล่านั้น คนในเมืองใต้ดินย่อมไม่กล้าขับไล่ไสส่งพวกเขาออกไป
ลู่ฉาวอวี่พาคนมามากเกินไป ไม่ได้มีที่นั่งมากขนาดนั้น ดังนั้นเขาและหัวหน้าหลายคนจึงนั่งลง ส่วนเจ้าหน้าที่ทางการอีกหลายคนต้องยืน
“ใต้เท้า เนื้อย่างเสียบไม้มาแล้วขอรับ”
เถ้าแก่ขายเนื้อย่างเสียบไม้ ครั้นเนื้อย่างเสียบไม้เหล่านั้นถูกยกออกมา อากาศก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมกรุ่น
“ที่เจ้านำมานี้เป็นเนื้อวัวหรือ?” ลู่ฉาวอวี่มองเนื้อย่างเสียบไม้
“แน่นอนขอรับ ใต้เท้า ท่านรีบชิมดู ข้างบนหาซื้อเนื้อวัวไม่ได้ แต่พวกเราที่นี่เลี้ยงวัว เราล้มวัวขายเนื้อได้ตามใจเลยนะขอรับ”
“เมืองใต้ดินก็อยู่ภายใต้การควบคุมของราชสำนักเช่นกัน ราชสำนักไม่อนุญาตให้ล้มวัว เมืองใต้ดินก็ควรปฏิบัติตามกฎหมาย” ลู่ฉาวอวี่ิไม่ได้ทานลงไป
เจ้าหน้าที่ทางการที่เตรียมจะกิน เมื่อได้ยินคำพูดของลู่ฉาวอวี่ก็วางอาหารที่กำลังจะตักเข้าปาก ไม่กล้ากินอีกต่อไป
“ใต้เท้า ชีวิตพวกเราที่นี่ล้วนยากลำบาก ท่านได้โปรดเมตตา อย่าได้ถือสากับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้เลย” เถ้าแก่เอ่ยอย่างประจบประแจง
“เช่นนั้นก็เปลี่ยนเป็นเนื้ออย่างอื่น” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “พวกท่านไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ในฐานะขุนนาง ข้าต้องปฏิบัติตามกฎหมายแน่นอน ตรงนั้นขายหมูไม่ใช่หรือ ไปทำหมูย่างเสียบไม้มาเถิด”
“ได้เลยขอรับ!”
ครึ่งชั่วยามต่อมา บนโต๊ะร้านเนื้อย่างมีหลายคนนอนฟุบอยู่ ข้างล่างยังมีอีกสิบกว่าชีวิตล้มระเนระนาดลงบนพื้น
ลู่ฉาวอวี่และลูกน้องของเขาที่เพิ่งกินเนื้อย่างสลบไสลไปแล้ว
“หวงเซียจือ เจ้าช่างกล้านัก แม้กระทั่งขุนนางยังกล้าวางยาสลบ”
“หากข้าไม่ใช้ยาทำให้เขาสลบ พวกเราจะหนีรอดได้อย่างไร? ตอนนี้เขาพบที่นี่แล้ว เช่นนั้นก็ปิดความลับต่อไปไม่ได้ ข้าคิดว่าคนผู้นี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก คิดจะปิดเขาเหมือนคราวก่อนย่อมเป็นไปไม่ได้แล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ!”
“หวงเซียจือกล่าวได้ถูกต้อง ที่นี่อยู่ไม่ได้แล้ว พวกเราจะได้ใช้เด็กพวกนั้นถือโอกาสสวามิภักดิ์ ในเมื่อสุนัขราชสำนักเหล่านี้ไม่ยุติธรรมต่อเรา พวกเราย่อมต้องเลือกเจ้านายที่ดีกว่า”
“ไป พวกเราไปกันให้หมด ผู้ใดอยากอยู่ในรูหนูนี้ต่อไปก็อยู่เถิด แต่ข้าไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว!”
“แล้วเราจะทำอย่างไรกับคนที่สลบไสลเหล่านี้?”
“พวกเราหนีเอาตัวรอดก่อนเถิด อย่าได้สร้างปัญหามากเกินไป คนผู้นี้ดูเหมือนไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น หากพวกเราฆ่าเขาแล้ว อาจทำให้ราชสำนักขุ่นเคือง และโอกาสในการหลบหนีของพวกเราก็จะน้อยลงอีก”
ชาวเมืองในเมืองใต้ดินทั้งหมดเดินจากไปด้วยความโกรธ
พวกเขาเพิ่งไปได้ไม่นาน ทุกคนที่เดิมทีสลบไสลไม่ได้สติอยู่ก็ลุกขึ้นมาคนแล้วคนเล่า
“ใต้เท้า ท่านพบว่าเนื้อเหล่านี้มีปัญหาได้อย่างไร?”
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าในตอนแรกเขานำเนื้อชนิดใดมา?”
“เนื้อวัวน่ะสิขอรับ!” ลูกน้องคนหนึ่งตอบ
“เนื้อวัวที่วางยา” อีกผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
อีเจี้ยนถือดาบ กล่าวด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว พลางเอ่ยอย่างคับข้องใจ “นั่นเป็นเนื้อคน”
ทุกคน “…”
อ้วกกกก!
เสียงอาเจียนดังขึ้นมา
“พวกเจ้ายังไม่ได้กิน เหตุใดต้องกลัวเพียงนั้น?”
“เมื่อครู่นี้ข้าเกือบกินลงไปแล้ว หากไม่ใช่ใต้เท้าบอกปัด เกรงว่าจะกินไปนานแล้ว เช่นนั้นใต้เท้า เนื้อในตอนหลังคือ…”
“นั่นเป็นเนื้อหมูธรรมดา ๆ” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “เอาละ พวกเราตามไปดูเถิด หนูเหล่านี้จะต้องเตรียมขุดโพรงหลบหนีไปแน่ หรงเซิง เจ้าออกไปข้างนอกและนำกำลังคนมาเพิ่มโดยด่วน!”