สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 8 อย่าไว้ใจนาง
บทที่ 8 อย่าไว้ใจนาง
บทที่ 8 อย่าไว้ใจนาง
ลู่ฉาวอวี่ขดตัวอยู่บนเตียงไม้กระดานซอมซ่อ กอดตัวเองราวกับว่าเขายังอยู่ในครรภ์มารดา
เดิมทีเขามีผ้านวมผืนบาง ๆ แต่นำไปให้ลู่จื่ออวิ๋นห่มแล้ว บัดนี้จึงเหลือเพียงเสื้อผ้าเนื้อบางบนร่างกาย มันแทบไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด เพราะตอนนี้ยังรู้สึกราวกับถูกแช่แข็ง
มู่ซืออวี่ลากร่างอันเหนื่อยล้าของนางกลับมา พอเห็นภาพอันน่าสะเทือนใจจึงไปนำผ้านวมจากห้องของนางมา ในครอบครัวนี้ ผ้าของนางถือเป็นผ้านวมที่หนาที่สุด
ผ้านวมนี้ทำให้ลู่ฉาวอวี่หยุดสั่น เขาพลันเลิกคิ้วขึ้นมา
บ้านนี้มีสามห้องนอน ลู่จื่ออวิ๋นอยู่คนเดียวบนเตียงขนาดเล็ก ในขณะที่อีกห้องหนึ่งมีลู่อี้ ลู่ฉาวอวี่ และลู่เซวียนผู้มีร่างกายอ่อนแออาศัยอยู่
ในความเป็นจริงควรปล่อยให้ลู่จื่ออวิ๋นอยู่กับเจ้าของร่างเดิมผู้เป็นแม่ ไม่ใช่เพราะพวกนางเป็นแม่ลูก แต่เพราะพวกนางยังเป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่นิสัยใจคอของเจ้าของร่างเดิมนั้นใครจะมั่นใจได้เล่า? ดังนั้นจึงไม่มีทางอื่น การจัดการดังกล่าวจึงสมเหตุสมผลที่สุด
น้องชายที่ป่วยของลู่อี้ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ จำเป็นต้องได้รับการดูแลตลอดเวลา นี่เป็นเหตุผลที่ลู่อี้ทำงานหาเงินมาหลายปี แต่ครอบครัวยังยากจนลงทุกวัน ไม่ว่าจะได้เงินมามากเพียงใดก็ไม่พอเลี้ยงชีพ ยังยากจนข้นแค้นอยู่เช่นเดิม
ลู่ฉาวอวี่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเพราะความเจ็บปวด
เด็กชายรู้สึกถึงฝ่ามือใหญ่ที่จับข้อเท้า จากนั้นก็ถูกประคบด้วยของเหลวเย็นฉ่ำที่บาดแผล หลังจากอาการแสบผ่านไป ความเจ็บปวดก็ทุเลาลง ตามมาด้วยความรู้สึกเย็นสบาย
เขาไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย มือเล็ก ๆ กำผ้านวมผืนหนาไว้แน่น
ไม่ยากเลยที่จะรับรู้ว่าเป็นผ้านวมของใครจากกลิ่นนั้น ผ้านวมของใครจะมีกลิ่นเหม็นหืน ยกเว้นของผู้หญิงสกปรกคนนั้น?
“ทำไมถึงเจ็บตัวแบบนี้?” มู่ซืออวี่ค่อนขอด “เป็นหมาป่าตัวน้อยหรือไงกันถึงคอยทำให้ตัวเองเจ็บปวดเช่นนี้”
บาดแผลมาจากการถูกบาด ในลำธารมีอันตรายมากมาย อย่างเช่นพวกเปลือกหอยที่แตกหัก ง่ายนักต่อการกรีดผิวหนัง นอกจากนี้ยังมีเศษหินเศษไม้ หากไม่ระวัง พวกมันจะทิ่มแทงเข้าเนื้อจนได้เลือด
เพราะลู่ฉาวอวี่ไม่เอ่ยอะไรสักคำแม้จะบาดเจ็บเช่นนี้ มู่ซืออวี่บอกได้เลยว่าเขาไม่ใช่คนที่จะจัดการด้วยได้ง่ายนัก ไม่รู้จริง ๆ ว่าควรหลบหน้าหรือรักเขาสักหน่อยดี เด็กคนนี้ทำให้คนทั้งกลัวทั้งเจ็บปวดในคราวเดียวกันได้อย่างไร
ลู่ฉาวอวี่หลับไปพร้อมกับความละอาย ถึงแม้มู่ซืออวี่จะยังไม่ได้จากไป แต่เขากลับรู้สึกสบายใจจนหลับลึกได้
ทว่าตัวเขาเองก็ไม่ทันสังเกตการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้
เสียงไก่ขันดังเสียดฟ้า ตะวันเริ่มทำหน้าที่ของวันใหม่ ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ขับไล่ความมืดมิดอันหนาวเหน็บให้จางหาย ส่องโลกทั้งใบให้สะท้อนเข้ามาในสายตาของผู้คนอย่างชัดเจน
ลู่ฉาวอวี่ตื่นเช้าตามปกติ เขานึกถึงปลาที่เห็นเมื่อลงไปในน้ำเมื่อวานนี้พลางวางแผนจะจับปลา วิธีจับปลามีหลายวิธี เขาไม่ใช่คนตัวสูงนัก บางวิธีจึงไม่ง่ายสำหรับเขา ส่วนวิธีที่ง่ายที่สุดคือใช้สุ่มจับปลา
เขาเดินไปดูลู่จื่ออวิ๋นที่อยู่ห้องข้าง ๆ แต่เตียงของลู่จื่ออวิ๋นกลับว่างเปล่า พริบตานั้นสีหน้าของเขาก็พลันแปรเปลี่ยน ก่อนจะรีบออกไปตามเสียงที่ดังออกมาจากในครัว
“พวกเราเหลือไก่ไว้เลี้ยงเถิด แม่ไก่ออกไข่ได้ ส่วนไก่ตัวผู้ขายได้” เสียงของลู่จื่ออวิ๋นนั้นไพเราะ แต่กลับไร้ซึ่งความมั่นใจในถ้อยคำ น้องสาวของเขาดูราวกับเม่นที่หวาดกลัว จะห่อหุ้มตัวเองและเผยให้เห็นหนามก็ต่อเมื่อมีสิ่งผิดปกติเท่านั้น
มู่ซืออวี่วางชามข้าวเปล่าลงบนโต๊ะ พลางเอ่ยกับลู่จื่ออวิ๋นที่อยู่ข้าง ๆ “หมอบอกว่าเจ้าต้องบำรุงร่างกาย เราจะกินไก่ตัวผู้ก็ได้ ส่วนแม่ไก่สองตัวที่เหลือค่อยเอาไปขาย”
“ทำไมต้องขายหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นเห็นว่ามู่ซืออวี่ไม่ได้ตำหนิตนที่พูดเรื่องไร้สาระแต่กลับชอบใจ เด็กน้อยจึงกล้าถามต่อ
“เพราะนั่นคือของที่พี่สะใภ้หวังให้เรามา ท้ายที่สุดแล้ว ไก่ไม่ใช่ของเรา เลี้ยงไปก็ไม่อยู่กับเรา ถ้าวันหนึ่งมันหายไปก็เสียใจเปล่า ๆ” มู่ซืออวี่กล่าว
เมื่อลู่ฉาวอวี่เห็นสองคนตรงหน้าดูพูดคุยกันถูกคอ เขาก็ไม่รู้ว่าจะก้าวเข้าไปรบกวนดีหรือไม่ ในตอนนั้นเอง มู่ซืออวี่พลันเอ่ยบอกลู่จื่ออวิ๋นว่า “ไปเรียกพี่ชายของเจ้ามากินข้าว”
ลู่จื่ออวิ๋นหันมาเห็นลู่ฉาวอวี่พอดี นางพลันยกยิ้มหวาน “ท่านพี่มาแล้ว”
ลู่ฉาวอวี่เข้าไปคว้ามือของลู่จื่ออวิ๋นไว้ทันที “เจ้ามากับพี่”
ลู่จื่ออวิ๋นไม่เข้าใจเหตุผล นางชำเลืองมองมู่ซืออวี่ที่ผิดแผกไป ก่อนจะเดินตามลู่ฉาวอวี่ออกไป
เมื่อเห็นดังนี้ ลู่ฉาวอวี่ยิ่งไม่พอใจ
ผู้หญิงคนนั้นทำอะไรกันแน่? ผ่านไปเพียงคืนเดียว แต่เหตุใดน้องสาวของเขาถึงถูกครอบงำเช่นนี้? ลืมสิ่งที่นางเคยทำไว้ก่อนหน้านี้แล้วหรืออย่างไร? จะไม่เสียใจไปกว่านี้หรือ หากวันหนึ่งนางใช้นิสัยเดิม ๆ มาทำร้ายน้องสาวของเขาอีกครั้ง
“ร่างกายเจ้าดีขึ้นหรือยัง?” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยถาม “ควรไปให้ท่านหมอจูดูอาการหน่อยหรือไม่?”
“ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นกะพริบตา “เมื่อกี้นางต้มยาให้ข้าด้วย หลังจากดื่มยาไปหนึ่งชาม ข้าก็ไม่ปวดหัวอีกแล้ว แค่ยังมีอาการปวดตรงนี้อยู่บ้าง”
นางชี้ไปยังหน้าอก
ดวงตาของลู่ฉาวอวี่แดงก่ำ “พี่จะไม่ยอมให้ใครมารังแกเจ้าอีก”
ใครที่มารังแกพี่น้องของเขา เขาจะไม่ไว้ชีวิตพวกมันแน่นอน
“อื้ม ข้าเชื่อใจท่านพี่” แววตาของลู่จื่ออวิ๋นเต็มไปด้วยความไว้วางใจ
“ทำไมเจ้าถึงอยู่กับนางได้?” ลู่ฉาวอวี่เหลือบมองไปทางห้องครัว ก่อนจะลดเสียงลง “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่านางเคยทำอะไรกับเรา? อย่าไว้ใจนางเด็ดขาด”
“ท่านพี่ นางสัญญากับข้าแล้วว่าจะไม่รังแกเราอีก” ลู่จื่ออวิ๋นกุมมือของลู่ฉาวอวี่ไว้ “ครั้งนี้ข้ารู้สึกว่ามันเป็นความจริง เมื่อวานนางเช็ดตัวให้ข้า ห่มผ้าให้ข้า ทั้งยังกอดข้าตอนเข้านอนด้วย นางอาบน้ำแล้วด้วยนะ กลิ่นตัวหอมเหมือนกลิ่นท่านแม่เลย ท่านพี่คิดว่าท่านแม่กลับมาแล้วหรือไม่?”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ดวงตาของลู่จื่ออวิ๋นพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง
นางอายุเพียงห้าหนาวย่อมอยากได้ความรักจากมารดา พ่อแม่ของคนอื่นมักจะอุ้มลูก แต่ท่านพ่อของนางมีสีหน้าเย็นชา ส่วนท่านแม่ไม่เพียงแต่ไม่อุ้มลูกเท่านั้น แต่ยังทุบตีด่าทอลูก ปล่อยให้ลูกหิวโหยอีกต่างหาก นางอยากมีแม่ที่รักนางบ้างก็เท่านั้น
ภาพมู่ซืออวี่ทายาให้เมื่อคืนยังชัดเจนในความทรงจำของลู่ฉาวอวี่ เวลานั้นนางดูเหมือนท่านแม่จริง ๆ
หรือว่า ‘ท่านแม่’ ของพวกเขากลับมาแล้วอย่างที่น้องสาวของเขาพูด?
ไม่! อย่าหลงกลผู้หญิงคนนั้น นางแค่ไม่อยากให้พวกเขาไปฟ้องท่านพ่อ มีเพียงน้องสาวเขาเท่านั้นแหละที่โง่พอจะถูกหลอก
“น้องพี่ นางแค่กลัวท่านพ่อ กลัวว่าเราจะไปฟ้องท่านพ่อ ครั้งนี้เจ้าป่วยหนัก ถ้าท่านพ่อกลับมาเห็นย่อมต้องลงโทษนางอย่างหนักเป็นแน่ เจ้าน่ะ มีพี่ชายก็พอแล้ว พี่จะรักและดูแลเจ้าอย่างดี เจ้าไม่ต้องการคนอื่นหรอก ใช่หรือไม่?”
ประกายในดวงตาของลู่จื่ออวิ๋นพลันสลายไป เด็กน้อยก้มหน้าพลางเอ่ยตอบอย่างเศร้าหมอง “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านพี่”
มู่ซืออวี่เห็นพี่น้องคุยกันอยู่นานแล้วยังไม่กลับมาจึงตะโกนออกไปด้านนอก “คุยกันเสร็จหรือยัง? ถ้าเสร็จแล้วก็มากินข้าว ลู่ฉาวอวี่ เจ้าบาดเจ็บที่ขา วันนี้ไม่อนุญาตให้ออกไปไหน”
ลู่ฉาวอวี่ขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะดึงลู่จื่ออวิ๋นเข้าไปด้านใน “ข้าจะออกไปข้างนอก”
มู่ซืออวี่หันไปมองเขา “เจ้าตั้งใจจะทำให้ขาเจ็บกว่าเดิม พ่อของเจ้ากลับมาจะได้ตำหนิข้าล่ะสิ? ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่าเจ้ารักษาคำพูดไม่ได้”