สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 802 ตอนนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไปไม่ได้ทั้งนั้น
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 802 ตอนนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไปไม่ได้ทั้งนั้น
บทที่ 802 ตอนนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไปไม่ได้ทั้งนั้น
บทที่ 802 ตอนนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไปไม่ได้ทั้งนั้น
ชาวเมืองถือห่อสัมภาระเดินไปทางประตูเมืองมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในตอนนี้เอง จู่ ๆ ทหารกลุ่มหนึ่งก็ออกมาขวางประตูเมือง จากนั้นจึงปิดประตูเมืองลง
“นี่หมายความว่าอย่างไร? ตอนนั้นกล่าวเสียดิบเสียดีว่าพวกเรายินดีไปก็ออกไปได้ทุกเมื่อ บัดนี้ไม่ให้พวกเราไปแล้วหรือ? หรือว่าเมืองถงหยางถูกสาปจริง ๆ เจ้าคิดจะฆ่าทุกคนให้ตายอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่?” มีคนร้องตะโกนดังลั่น
คนผู้หนึ่งควบม้าตัวใหญ่เข้ามา ม้าตัวนั้นเยื้องย่างมาอย่างช้า ๆ และหยุดยืนตรงหน้าทหาร หันหน้าไปหาชาวเมืองที่หอบหิ้วสัมภาระของตนอยู่ตรงกันข้าม
ฉีเซียวเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ “คนผู้นั้น… ลากออกมา”
ทหารสองคนเดินไปยังชายที่เพิ่งตะโกนเมื่อครู่
ชายผู้นั้นพยายามจะวิ่งหนี ทว่าถูกทหารจับไว้เสียก่อน
“ปล่อยข้า! ปล่อยข้าไป! พวกท่านคิดจะทำอะไร? หรือว่าถูกข้าเปิดโปงจึงคิดจะฆ่าคนปิดปาก? ทุกคนดูเถิดเมืองถงหยางแห่งนี้มีปัญหาแน่ ๆ พวกเราย้ายเข้ามาอยู่ก็ป่วยทันที อีกทั้งพวกเขายังไม่ยอมให้เราออกไปอีก”
“ผู้ใดล่อลวงจิตใจผู้คน มีความผิดฐานกบฏจะถูกลงโทษประหาร” ฉีเซียวเอ่ยเสียงเย็น “ข้าเป็นคนมีเมตตา เช่นนั้นก็ลงโทษเขาโดย… ใช้ห้าอาชาแยกร่าง*[1] ก็พอ”
ดวงตาของชาวบ้านเบิกกว้าง
“นี่…”
“อย่า ๆๆ ข้าไม่พูดแล้ว… ข้าจะไม่พูดอีกแล้ว… ไว้ชีวิตข้าเถิด… ไว้ชีวิตข้าเถิด…” ชายผู้นั้นถูกมัดไว้ระหว่างม้าห้าตัว
“หากเจ้าอยากมีชีวิตรอด เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสเจ้าได้กล่าวความจริง ที่แท้เป็นผู้ใดให้เจ้าเผยแพร่ข่าวลือเหล่านี้?” ฉีเซียวเอ่ยด้วยความสุขุม
“เป็นผู้เฒ่าคนหนึ่งขอรับ เขาสภาพเหมือนขอทานสกปรก” คนผู้นั้นร้องตะโกน “เขาให้เงินตำลึงข้า บอกว่าขอเพียงข้ายุยงให้เกิดความวุ่นวายโกลาหลก็จะให้เงินข้าเพิ่มอีก”
ชาวบ้านที่เดิมทีกำลังโมโห เมื่อได้ยินคำพูดของคนผู้นั้น ไฟโทสะก็ค่อย ๆ มอดไหม้ลงทันที
“มีคนขอให้เจ้าพูดอย่างนี้จริง ๆ หรือ?” สตรีนางหนึ่งเอ่ยถามด้วยความเหลือเชื่อ
“เป็นเรื่องจริง ในถุงเงินข้ายังมีเงินที่เขาให้มาอยู่เลย” คนผู้นั้นเอ่ย “เจ้าก็รู้จักข้า ข้ายากจนขนาดนั้น จะไปมีเงินตำลึงถึงห้าตำลึงได้อย่างไร?”
“ข้ารู้จักเขา ครอบครัวของเขายากจนข้นแค้น แม้กระทั่งภรรยายังหนีตามคนไปแล้ว หลายวันมานี้กลับได้ซื้อสุราดี ซื้อเนื้อกินทุกวัน ข้ายังคิดว่าเขารวยขึ้นมา ที่แท้ร่ำรวยเพราะเหตุนี้นี่เอง”
“ถึงแม้เขาจะกล่าวเหลวไหล แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีมูลเสียทีเดียว” ชายชราผู้หนึ่งกล่าว “นับตั้งแต่ข้าย้ายมาเมืองถงหยางก็ไม่อยากพูดคุยอะไร นับวันอยากจะเอาแต่นอนมากขึ้นเรื่อย ๆ”
“พวกเราได้ส่งคนไปเชิญท่านหมอจากเมืองข้างเคียงมาแล้ว รอท่านหมอมาถึงก็จะตรวจอาการและรักษาให้พวกท่าน หรือว่าพวกท่านออกไปจากที่นี่แล้วจะไม่ต้องรักษาหรือ? มิหนำซ้ำยังต้องออกเงินค่ารักษาเอง แน่นอนว่าพวกท่านไปจากที่นี่แล้ว พวกเราก็ไม่มีอะไรจะเสีย เพียงแต่ฮูหยินลู่ของพวกเราบอกแล้วว่าในเมื่อเป็นชาวเมืองของนางเพียงหนึ่งวัน นางย่อมต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของพวกท่าน หากพวกท่านรีบร้อนจากไป แม้กระทั่งต้นตอของอาการเจ็บไข้ยังไม่พบ ถ้าตายอย่างไม่เป็นธรรมอยู่ข้างนอก เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นหนี้ชีวิตของนาง นี่คือสิ่งที่นางไม่ยินยอมที่จะเห็น”
“ฮูหยินส่งคนไปเชิญท่านหมอมาแล้วจริง ๆ หรือ?”
“ส่งคนไปตั้งแต่สามวันก่อน คิดว่าอย่างช้าก็จะมาถึงภายในสองวันนี้แล้ว”
“ใต้เท้าฉี…” ทหารคนหนึ่งวิ่งลงมาจากกำแพงเมือง “ข้างนอกมีคนเคาะประตูขอรับ ดูเหมือนจะเป็นแม่นางซางจือ คนข้างกายฮูหยินขอรับ”
“เปิดประตูเมือง”
ประตูเมืองเปิดออกอีกครั้ง
ซางจือควบม้าเข้ามาพร้อมกับบุรุษสตรีอาภรณ์เขียวหลายสิบคน
“ใต้เท้าฉี นี่เกิดอะไรขึ้นหรือ?” ซางจือเอ่ยถาม
ฉีเซียวตอบ “คนเหล่านี้ป่วย ต้องการออกจากเมืองถงหยาง ข้าจึงโน้มน้าวให้พวกเขารั้งอยู่”
ชาวบ้านทั้งหลาย “…”
ที่แท้เมื่อครู่นี้เป็นการโน้มน้าวใจหรือ!
พวกเขาเกือบได้ดูฉากประหารชีวิตโดย ‘ห้าอาชาแยกร่าง’ แล้ว หากเช่นนี้เรียกว่า ‘โน้มน้าวใจ’ เช่นนั้นแม่ทัพผู้ที่ชอบสวมหน้ากากผู้นี้ก็ช่างเป็นคนที่ ‘ใจดี’ จริง ๆ!
“โชคดีที่ท่านโน้มน้าวพวกเขาเอาไว้” ซางจือเอ่ย “คนเหล่านี้เป็นศิษย์ของหุบเขาเทพโอสถ พวกเขารับคำสั่งจากท่านเจ้าหุบเขา ติดตามข้ามาเพื่อรักษาให้ชาวบ้าน”
“หุบเขาเทพโอสถ?” มีคนอุทานขึ้นมา “สวรรค์! หุบเขาเทพโอสถที่แต่ละปีรักษาผู้ป่วยเพียงร้อยคน ไม่รักษาไปมากกว่านั้นแม้เพียงคนเดียว ยาของพวกเขาก็หายากเช่นกัน วันนี้นึกไม่ถึงว่าจะมีคนจากหุบเขาเทพโอสถมารักษาให้พวกเรา ชีวิตนี้ของพวกเราก็คุ้มค่าแล้ว”
ฉีเซียวเหลือบมองบุรุษสตรีอาภรณ์เขียวแล้วเอ่ยนิ่ง ๆ “เช่นนั้นพวกเขาควรไปตรวจคนไข้ก่อน หรือว่าตามเจ้าไปพบฮูหยินก่อนดี?”
ซางจือหันไปมองคนเหล่านั้น
ศิษย์หญิงผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “พวกเราไปตรวจคนไข้ก่อนเถอะ!”
“ได้ เชิญทางนี้”
ในศาลาว่าการ ฉานอีรายงานสถานการณ์ทั้งหมดให้ฟัง “แม่ทัพฉีขวางพวกเขาเอาไว้ได้ ซางจือก็กลับมาพร้อมกับคนจากหุบเขาเทพโอสถพอดี ดังนั้นฮูหยินไม่ต้องกังวลแล้วนะเจ้าคะ”
“คำพูดของคนผู้นั้นน่าสนใจอยู่บ้าง” มู่ซืออวี่เอ่ย “ดูเหมือนในเมืองของเราจะมีผี มิหนำซ้ำยังมีผีมากกว่าหนึ่งตน เจ้าไปบอกลู่ซวิ่นทีว่าหากไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็พาคนไปลาดตระเวน ขอเพียงพบผู้ใดน่าสงสัย ให้จับมาไต่สวนเสีย ดูว่าผู้ใดยังกล้าเผยแพร่ข่าวลือสร้างปัญหาอยู่ในเมืองอีก”
ผู้คนจากหุบเขาเทพโอสถเริ่มตรวจอาการคนไข้ทันทีที่มาถึง กระทั่งฟ้ามืดแล้ว พวกเขาก็ยังไม่หยุดพัก
ซางจือสั่งการให้คนของนางแขวนโคมไฟขึ้นอีกแถวในบริเวณนั้นเพื่อเพิ่มแสงสว่าง
“ท่านหมอทุกท่าน พวกท่านคงเหนื่อยมากแล้ว ทานอะไรก่อนเถิด พักสักคืน พรุ่งนี้ค่อยตรวจคนไข้กันต่อ” ซางจือเอ่ย “ฮูหยินของเราได้สั่งคนเตรียมอาหารให้แล้ว”
“ตอนนี้ฮูหยินอยู่ที่ใดหรือ? ข้าขอพบนางได้หรือไม่?” ศิษย์หญิงผู้ที่ก่อนหน้านี้เอ่ยปากว่าไปตรวจคนไข้ก่อนเอ่ยขึ้นมา
“แม่นางอินไม่ทานข้าวก่อนหรือ?”
“ข้าไม่ได้รีบร้อน” อินอิ๋งจู๋กล่าว “แม่นางซางจือโปรดนำทาง”
“ได้”
มู่ซืออวี่เพิ่งวาดรูปเสร็จและกำลังจะอาบน้ำพักผ่อน ซางจือก็เข้ามาบอกว่าคนจากหุบเขาเทพโอสถต้องการพบนาง
“แม่นางท่านนั้นแซ่อิน นามอิ๋งจู๋ เป็นศิษย์สูงสุดของหุบเขาเทพโอสถ” ซางจือกล่าวแนะนำที่มาของคนผู้นั้นล่วงหน้า “อย่าได้มองว่านางยังอายุไม่มาก อันที่จริงแล้วนางเป็นผู้สืบทอดหุบเขาเทพโอสถ”
“ในเมื่อเป็นศิษย์สูงสุด เช่นนั้นคงเป็นศิษย์เอกของเทพโอสถกระมัง” มู่ซืออวี่เอ่ย
ซางจือส่ายหัว “ไม่ใช่เจ้าค่ะ”
“โอ้?”
“ปีนี้เทพโอสถอายุเก้าสิบปีแล้ว แม่นางอินผู้นั้นอายุเพียงสิบแปดปี นางจะเป็นศิษย์เอกย่อมเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่เทพโอสถอายุยืนยาว ศิษย์คนก่อนหน้าไม่มีผู้ใดอยู่มานานเท่าเขา ศิษย์เหล่านั้นที่อ่อนกว่าเล็กน้อยหากไม่ถูกพิษตายตอนทดสอบพิษก็ถูกศัตรูฆ่าตาย ภายหลังจึงเหลือเพียงอินอิ๋งจู๋ศิษย์ปิดสำนักผู้นี้ นางจึงกลายมาเป็นศิษย์สูงสุด”
“เชิญนางเข้ามาเถอะ!”
“เจ้าค่ะ”
ซางจือนำอินอิ๋งจู๋เข้ามา
อินอิ๋งจู๋หน้าตาละเอียดประณีตงดงาม ท่าทีสง่างาม สุขุมนุ่มลึก
มู่ซืออวี่ชอบแม่นางน้อยผู้นี้ตั้งแต่แรกพบ
“แม่นางเชิญนั่งลงเถิด”
“ขอบคุณฮูหยิน” อินอิ๋งจู๋นั่งลงแล้วเอ่ยว่า “ดึกมากแล้ว เพื่อไม่ให้รบกวนฮูหยิน เช่นนั้นข้าขอกล่าวอย่างรวบรัด”
“ได้ เชิญกล่าวมาเถิด”
“คราที่แม่นางซางจือนำจดหมายที่เขียนด้วยลายมือฮูหยินมายังหุบเขาเทพโอสถ ท่านอาจารย์ข้าอ่านจดหมายของฮูหยินแล้วก็ประทับใจกับความจริงใจของท่าน อย่างไรก็ตามเขาอายุมากแล้ว ไม่อาจเดินทางไกลเพียงนี้ได้ ดังนั้นจึงส่งข้าลูกศิษย์ผู้นี้มารักษาผู้คน ถึงแม้ข้าจะเป็นลูกศิษย์ แต่ก็ได้ศึกษาวิชาครบถ้วนแล้ว ขอฮูหยินจงวางใจฝีมือในการรักษาผู้คนของข้า”
“แน่นอน แต่ไหนแต่ไรมาข้าก็ไม่เคยสงสัยผู้ที่เทพโอสถส่งมา” มู่ซืออวี่ยิ้ม “เพียงแต่เทพโอสถต้องการให้ข้าทำสิ่งใดหรือ?”
[1] ห้าอาชาแยกร่าง เป็นรูปแบบการทรมานในสมัยโบราณแบบหนึ่ง โดยตรึงศีรษะและแขนขาคนไว้กับม้าห้าตัว จากนั้นก็ให้ม้าวิ่งออกไปคนละทาง
————————