สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 805 จ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อเอาชีวิตนาง
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 805 จ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อเอาชีวิตนาง
บทที่ 805 จ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อเอาชีวิตนาง
บทที่ 805 จ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อเอาชีวิตนาง
ณ เมืองหลวง ฟ่านหยวนซียื่นกระดาษในมือให้หวังกงกงข้าง ๆ แล้วเอ่ยกับลู่อี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “ดูสิว่านี่อะไร”
หวังกงกงเหลือบมองแวบหนึ่ง จากนั้นก็ต้องตกใจจนเหงื่อกาฬไหลพลั่ก
เขารีบส่งกระดาษแผ่นนั้นให้ลู่อี้ด้วยสองมือ แล้วชำเลืองมองลู่อี้อย่างระแวดระวัง
ลู่อี้ตึงเครียดขึ้นมา สีหน้าไม่น่าดูชม
นั่นเป็นภาพเหมือนภาพหนึ่ง
คนในภาพนั้นดูคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรเสียก็เป็นคนข้างหมอนของเขา
ไม่ผิด! ภาพเหมือนนี้เป็นภาพมู่ซืออวี่ ฮูหยินของเขา
เหตุที่ใบหน้าของลู่อี้ดูย่ำแย่เพียงนี้ เป็นเพราะเหนือศีรษะนางเป็นคำสั่งล่าพร้อมกับเงินค่าหัว
“หนึ่งแสนตำลึงทอง ศีรษะฮูหยินบ้านเจ้าช่างมีค่ายิ่งนัก” ฟ่านหยวนซีนั่งเอนกายอยู่ตรงนั้นอย่างเกียจคร้าน “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดศีรษะฮูหยินของเจ้าจึงมีค่ามากเพียงนี้?”
“กระหม่อมเพิ่งกลับมาจากไปจัดการเรื่องราวให้ฝ่าบาท แม้กระทั่งบ้านยังไม่ทันได้กลับ คิดว่ากระหม่อมจะรู้เหตุผลหรือ?”
“อัครมหาเสนาบดีลู่ตรากตรำเพื่อราชสำนัก ข้าพึงพอใจยิ่งนัก”
“เข้าเรื่องเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องมีอยู่ว่า ประการแรก ฮูหยินบ้านเจ้าได้ครอบครองสกุลหวังแห่งเฝินหยางทั้งสกุล จากนั้นก็ได้ครอบครองหุบเขาเทพโอสถทั้งสำนัก บัดนี้นางยังทำเครื่องกรองน้ำขึ้นมา ได้ยินว่านางยังคงปรับปรุงมันต่อไป ถึงขั้นออกปากว่าภายในสามปีราษฎรทุกครัวเรือนจะได้ใช้น้ำสะอาดที่สุด ทำให้พวกเขาสามารถดื่มน้ำได้แม้นไม่ต้องออกจากบ้าน ไม่จำเป็นต้องออกไปตักน้ำมาใช้สอยแม้แต่น้อย เจ้าว่า ศีรษะเช่นนี้มีราคาถึงหนึ่งแสนตำลึงทองหรือไม่?”
“ฝ่าบาทมอบความยุ่งเหยิงก้อนนี้ให้นาง เป็นเพราะนางมีสติปัญญาล้ำเลิศไม่ใช่หรือ บัดนี้มีคนคิดจะทำร้ายนางแล้ว ฝ่าบาทไม่คิดจะทำอะไรสักอย่างหรือ? ท่านต้องรู้ว่าหากขาดกระหม่อม ท่านยังมีอัครมหาเสนาบดีคนที่สองได้ แต่หากขาดฮูหยินไป ที่นี่ของท่านจะมีแต่ความโกลาหลนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เข้าใจแล้ว ขู่ข้าให้น้อย ๆ หน่อย” ฟ่านหยวนซีเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “ข้าถ่ายทอดออกไปแล้ว ผู้ที่ออกประกาศล่าค่าหัวนี้ หากผู้ใดจับตัวมาได้จะได้รับรางวัลเป็นสองเท่า”
“เขาไม่คู่ควรพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าก็รู้ว่าเขาไม่คู่ควร ทว่า… จะต้องมีวิธีจัดการสักวิธีกระมัง?”
“หากเมืองหลวงทางนี้ไม่มีเรื่องสำคัญ กระหม่อมอยากไปเมืองถงหยางพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้… ตอนนี้เมืองถงหยางต้องการคนมีคน ต้องการทหารมีทหาร ต้องการอำนาจมีอำนาจ หากท่านอัครมหาเสนาบดีผู้นี้ยังไปที่นั่นอีก ข้าสงสัยว่าไม่นานที่นั่นคงจะมีฮ่องเต้ตั้งตนขึ้นมาแล้ว เจ้าไม่ต้องไปแล้วรั้งอยู่ที่นี่เป็นตัวประกันดีหรือไม่?” ฟ่านหยวนซีกล่าว
“ตรัสอย่างจริงจังเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าเป็นฮ่องเต้หรือว่าเจ้าเป็นฮ่องเต้กันแน่? นับตั้งแต่ที่ข้าขึ้นครองบัลลังก์ ท่านอัครมหาเสนาบดีผู้นี้นับวันยิ่งไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา นึกย้อนไปตอนที่ข้ายังเป็นจงอ๋อง ผู้ใดได้ยินชื่อข้าเป็นต้องสั่นเทา ตอนนั้นข้าน่าเกรงขามเพียงใด บัดนี้ข้าต้องเป็นกษัตริย์ผู้ปราดเปรื่อง เป็นกษัตริย์ผู้ทรงธรรม แม้แต่ตาเฒ่าที่สำนักตรวจสอบราชการยังไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา แต่ละวันเอาแต่วิพากษ์วิจารณ์ข้า”
รอยยิ้มแวบผ่านแววตาของลู่อี้
“เจ้ายังหัวเราะอีก!”
“สำนักตรวจสอบราชการทำเช่นนี้เพื่อถ่วงดุลขุนนางในราชสำนัก หากทั้งราชสำนักมีเพียงเสียงสรรเสริญเยินยอ ฝ่าบาทจะไม่รู้จักไตร่ตรองการกระทำของตน นั่นจะเป็นหายนะของทั่วทั้งแผ่นดินนะพ่ะย่ะค่ะ”
“สิ่งใดเจ้าล้วนกล่าวถูกต้องไปเสียหมด แม้แต่ผู้ตาย หากเจ้าบอกว่ายังมีชีวิตก็คงมีชีวิต” ฟ่านหยวนซีเอ่ย “จริงสิ เมื่อวานนี้ใต้เท้าหลินเอ่ยปากกับข้า ร้องขอให้ข้าพระราชทานสมรสให้บุตรีของเขาแต่งให้ใต้เท้าลู่น้อย”
“ในเมื่อจะพระราชทานสมรสให้เขา ฝ่าบาทเพียงแค่ไปหาเขา เหตุใดต้องมาบอกกระหม่อมเล่า? ใต้เท้าหลินไม่ใช่ว่าจะให้บุตรีของเขาแต่งให้กระหม่อม” สิ้นคำ ลู่อี้ก็ประกบมือแล้วหมุนตัวจากไป
ฟ่านหยวนซี “…”
แท้จริงแล้วผู้ใดเป็นฮ่องเต้กันแน่?
สกุลลู่นับวันยิ่งยโสโอหังขึ้นขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
“ฝ่าบาท คืนวานนี้พระองค์ตรัสว่าวันนี้จะพาฮองเฮาเสด็จออกเที่ยวเล่นนอกวังนะพ่ะย่ะค่ะ” หวังกงกงเอ่ยเตือนจากด้านข้าง
“จริงสิ เกือบลืมไปเลย” ฟ่านหยวนซีลุกขึ้น “หวังกงกง ไปบอกใต้เท้าเจิ้งหน่อยว่าจะต้องคุ้มครองความปลอดภัยของฮูหยินลู่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หนึ่งเดือนให้หลัง ขบวนที่แห่มาอย่างเกรียงไกรขบวนหนึ่งก็มาถึงเมืองถงหยาง
เมื่อทหารเฝ้าประตูเมืองเห็นขุนนางจากราชสำนักก็รีบขวางพวกเขาไว้และสอบถามที่มาที่ไป
“ข้าแซ่มู่ เจ้าเมืองถงหยางมู่ซืออวี่เป็นพี่สาวของข้า ข้ารับพระบัญชามาที่เมืองถงหยางเพื่อช่วยนางจัดการเรื่องที่นี่” มู่เจิ้งหานเอ่ยด้วยสีหน้าสุขุม
“ใต้เท้า เชิญรอประเดี๋ยว”
ขณะที่ทหารกำลังไปรายงานนั้น มู่เจิ้งหานและขุนนางกลุ่มหนึ่งด้านหลังมองดูเมืองถงหยางที่อยู่ตรงหน้า
“ได้ยินนานแล้วว่าฮูหยินอัครมหาเสนาบดีปกครองเมืองจนนับวันยิ่งเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อย ๆ วันนี้ได้เห็นประตูเมืองก็รู้ได้ว่าข่าวนั้นเป็นความจริง สามปีก่อนข้าเคยมาที่นี่ พบเห็นแต่ความโศกเศร้าสิ้นหวัง อีกทั้งทหารยังหละหลวมยิ่ง ไม่ได้เป็นงานเป็นการแม้แต่น้อย ช่างแตกต่างจากวันนี้โดยสิ้นเชิง”
“ตอนที่มา เหล่าสหายร่วมงานยังกล่าวเยาะเย้ยถากถางว่าเราถูกทอดทิ้งแล้วจึงส่งมาสถานที่ที่แร้นแค้นเช่นนี้ อีกทั้งยังกล่าวอีกว่าไม่ว่าภายนอกจะเล่าลือถึงเรื่องดี ๆ เพียงใด นั่นก็เป็นเพียงลูกไม้ที่ใช้ปลอบประโลมจิตใจผู้คนที่ต้องมาอยู่ที่นี่ ในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่เดือน เมืองถงหยางไม่มีทางดีอย่างที่ร่ำลือมา ข้าละอยากลากเขามาดูที่นี่จริง ๆ ให้เขาได้เห็นว่าความรู้ความสามารถของฮูหยินเป็นอย่างไร”
มู่ซืออวี่เร่งเดินทางมาที่ประตูเมืองพร้อมกับหลี่กู่หยวน
“น้องหาน!”
“พี่หญิง!”
ในที่สุดใบหน้าของมู่เจิ้งหานก็ปรากฏรอยยิ้ม
“ท่านน้า” ลู่จื่ออวิ๋นค้อมคำนับ
มู่เจิ้งหานกล่าวยิ้ม ๆ “พี่ชายเจ้าให้ข้านำของมา อีกประเดี๋ยวจะมอบให้เจ้า”
“มีเพียงของนางหรือ?” มู่ซืออวี่ทำหน้าบูดบึ้ง “ฉาวอวี่ เจ้าเด็กคนนี้ ในสายตาของเขามีเพียงน้องชายน้องสาวใช่หรือไม่?”
“แน่นอนว่าย่อมมีของพี่หญิงเช่นกัน พี่หญิง เหตุใดท่านขี้อิจฉาขนาดนี้เล่า?” มู่เจิ้งหานไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“เอาเถอะ พวกท่านลำบากแล้ว เข้าไปกิน ดื่ม พักผ่อนให้เต็มที่ก่อนเถิด มีอะไรค่อยพูดคุยภายหลัง” มู่ซืออวี่ต้อนรับพวกเขาเข้ามา
“ใต้เท้าทุกท่านที่อยู่ด้านหลังข้าล้วนเป็นพี่เขยที่ตระเตรียมมา” มู่เจิ้งหานเอ่ย “ภายนอกพวกเขาเพียงได้รับตำแหน่งเล็ก ๆ ในแต่ละกรมกอง ทว่าอันที่จริงกลับมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เมืองถงหยางเพิ่งถูกฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ผู้มีความสามารถในหลาย ๆ ด้านล้วนขาดแคลน ตำแหน่งขุนนางในเมืองถงหยางย่อมไม่สมบูรณ์อย่างยากหลีกเลี่ยง ในเมื่อพวกเขามาแล้วก็ช่วยเติมเต็มช่องว่างนี้ได้พอดี”
“พี่เขยเจ้ายังจำข้าได้อยู่หรือ?”
“แม้พี่เขยอยากมา ฝ่าบาทย่อมไม่ปล่อยให้เขามา ตรัสว่าหากทั้งสกุลเรามาที่นี่ เช่นนั้นเขาจะสงสัยว่าสกุลลู่จะตั้งฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นมา” มู่เจิ้งหานเอ่ย “ถึงแม้จะเป็นเรื่องขบขัน ทว่านี่เป็นการแสดงความคิดของผู้คนในราชสำนัก ฝ่าบาทอาจไม่ได้คิดเช่นนั้น แต่ขุนนางเหล่านั้นยากที่จะไม่ยุยงสร้างความปั่นป่วน เวลาผ่านไป ปัญหายุ่งยากย่อมตามมามากมาย!”
“เจ้าเป็นท่านอาจารย์อยู่ที่สำนักบัณฑิตหลวงไม่ใช่หรือ? เหตุใดเต็มใจมาช่วยพี่สาวเจ้าได้เล่า?”
“ทางนี้ขาดแคลนคน ในฐานะน้องชายข้าย่อมไม่อาจนิ่งดูดาย พี่หญิงไม่ตำหนิน้อง น้องก็ซาบซึ้งใจยิ่งแล้ว ภายหน้าท่านมอบหมายงานอะไร ข้าจะไม่ปริปากบ่นสักคำ”
สองพี่น้องพูดคุยกันหลายเรื่อง ตั้งแต่เรื่องในเมืองหลวงไปจนถึงเรื่องระหว่างทาง จากนั้นพวกเขาก็เอ่ยถึงเมืองฮู่เป่ย มู่ซืออวี่ถามมู่เจิ้งหานว่าได้กลับไปเยี่ยมหรือไม่ ฝ่ายหลังตอบว่าตอนที่ผ่านมาได้ไปเยี่ยมท่านแม่และท่านหมอจูแล้ว ยังมีเสี่ยวจูเฉินผู้ที่อายุน้อยกว่าหลายปีด้วย แต่กลับไม่มีอุปสรรคใด ๆ ขวางกั้นระหว่างพวกเขาพี่น้อง
“เดิมทีข้าอยากพาจูเฉินมาที่นี่ เพียงแต่ยังไม่ทราบสถานการณ์ในเมืองถงหยางจึงล่วงหน้ามาดูก่อน” มู่เจิ้งหานเอ่ย “จูเฉินเฉลียวฉลาด หากพวกเราพาเขามาอยู่ข้างกาย เขาจะได้สั่งสมประสบการณ์ที่แตกต่างกันหลาย ๆ ด้าน”
“ท่านแม่กับท่านอาจูจะตัดใจได้หรือ?”
“เหตุใดจะตัดใจไม่ได้เล่า? ท่านอยู่ที่นี่สร้างความเคลื่อนไหวใหญ่โตเพียงนั้น พวกเขาเองก็ได้ยินแล้ว เมืองฮู่เป่ยทางนั้นก็สนับสนุนท่านเป็นอย่างยิ่ง ป่าวประกาศไปทั่วว่าฮูหยินของพวกเขาร้ายกาจเพียงใด ขอเพียงท่านไปที่ใด ที่นั่นก็จะได้รับพร ตอนนี้ข้างนอกนั่นท่านเป็นถึงดาวนำโชคเชียวนะ เมื่อเทียบกับเทพแห่งความมั่งคั่งคนก่อนแล้วยังเรืองรองกว่าเสียอีก”
มู่ซืออวี่ “…”
รู้สึกซาบซึ้งใจแต่ก็เขินอายเล็กน้อยเช่นกัน