สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 807 เจ้าต้องการแต่งงานกับข้าหรือไม่
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 807 เจ้าต้องการแต่งงานกับข้าหรือไม่
บทที่ 807 เจ้าต้องการแต่งงานกับข้าหรือไม่
บทที่ 807 เจ้าต้องการแต่งงานกับข้าหรือไม่
“ผู้อาวุโส” มู่เจิ้งหานลุกขึ้นมา “ในสายตาของข้า เสี่ยวจู๋รักษาโรคช่วยชีวิตคน ควรค่าแก่ฉายาหมอเทวดา นางเป็นคนจิตใจดี ช่วยชีวิตคนมาไม่น้อย เป็นผู้มีพระคุณของผู้คนมากมาย ข้ารู้ว่าตนเองอาจเอื้อมนาง เพียงแต่ข้ายังอยากแสดงความรู้สึกของตน ข้าสัญญาว่าชั่วชีวิตนี้จะมีเสี่ยวจู๋เป็นภรรยาเพียงผู้เดียว จะไม่รับอนุ หลังจากเสี่ยวจู๋แต่งให้ข้าแล้ว นางอยากใช้ชีวิตอย่างไรก็ใช้ชีวิตอย่างนั้น ไม่จำเป็นต้องบีบบังคับตนให้เป็นฮูหยินขุนนาง พี่หญิงของข้าเป็นฮูหยินอัครมหาเสนาบดี พี่เขยข้าแต่ไรมายังไม่เคยควบคุมนาง พี่เขยข้าครองครู่กับภรรยาเพียงหนึ่งเดียวไปชั่วชีวิตของเขาได้ ข้าก็ทำได้เช่นกัน”
“เสี่ยวจู๋ เจ้าออกมาเถอะ!” เทพโอสถตะโกนไปทางด้านหลังฉากบังตา
อินอิ๋งจู๋เดินออกมาจากด้านหลังฉากบังตา
ผู้ที่เดินออกมาพร้อมกับนางคือผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของหุบเขาเทพโอสถ
อินอิ๋งจู๋เติบโตมาในหุบเขาเทพโอสถ ทุกคนรักนาง เห็นนางเป็นลูกสาว บัดนี้มู่เจิ้งหานมาเพื่อสู่ขอนาง สำหรับหุบเขาเทพโอสถแล้วกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ แน่นอนว่าย่อมต้องเรียกทุกคนมารวมตัวกันเพื่อหารือ
มู่เจิ้งหานหันไปมองอินอิ๋งจู๋
อินอิ๋งจู๋ถูกเขาจ้องมองจนทำตัวไม่ถูกจึงหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอายขึ้นมาอย่างหาได้ยาก
ปกตินางตรวจคนไข้มาก็มาก ในหมู่คนไข้เหล่านั้นก็มีชายหนุ่มเช่นกัน อีกทั้งในหมู่คนเหล่านั้นก็มีผู้ที่หน้าตาดี ทว่าในสายตาของอินอิ๋งจู๋ คนเหล่านั้นเดิมทีก็ไม่ได้ทำให้นางสั่นไหวแม้แต่น้อย บัดนี้เพียงแค่มู่เจิ้งหานจ้องมองนางตรง ๆ กลับรู้สึกเอียงอายขึ้นมา
“เสี่ยวจู๋ เจ้าว่ามาเถอะ! เจ้ายินดีหรือไม่?” เทพโอสถเอ่ยถาม
อินอิ๋งจู๋หันไปมองมู่ซืออวี่ “ฮูหยิน ข้าเป็นสตรีบ้านนอก ไม่อาจเป็นฮูหยินขุนนางได้”
“บังเอิญเสียจริง สกุลลู่เราล้วนมาจากครอบครัวคนบ้านนอกเช่นกัน” มู่ซืออวี่เอ่ย “เจ้าคิดว่าฮูหยินขุนนางเป็นอย่างไร? ยามเบื่อหน่ายก็ไปดื่มชากับสตรีในเรือนหลัง เทียบกันว่าเครื่องประดับที่ผู้ใดซื้อมางามกว่า ชาดที่ผู้ใดซื้อมาดูดึงดูดใจกว่า บุรุษบ้านใดรับอนุน้อย ๆ มาอย่างนั้นหรือ? หากจะกล่าวถึงฮูหยินขุนนางประเภทนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงเจ้า เพราะแม้กระทั่งข้าก็เป็นไม่ได้ เจ้าคิดว่าข้ามีเวลาว่างมาเล่นกับพวกเขาหรือ?”
“หากวันหนึ่งข้าแต่งงานกับใต้เท้ามู่จริง ๆ และภรรยาผู้บังคับบัญชาของใต้เท้ามู่สร้างความลำบากให้ข้า ข้าทนไม่ไหววางยานางขึ้นมา อาจจะไม่ได้วางยาถึงตาย ทว่าเช่นนี้อาจสร้างความขุ่นเคืองให้ผู้บังคับบัญชาของเขา เป็นภัยต่อตำแหน่งของเขา…”
“ไม่จำเป็นต้องถามพี่หญิงของข้า ข้าจะตอบเจ้าแทนนางเอง” มู่เจิ้งหานเอ่ย “พระนางฮองเฮาเป็นคนจิตใจดี ไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอย่างแน่นอน หากเจ้าไม่ได้เอ่ยถึงพระนางฮองเฮา เช่นนั้นเจ้าคิดว่าในแผ่นดินนี้ยังมีผู้ใดมีตำแหน่งสูงกว่าอัครมหาเสนาบดีลู่พี่เขยของข้าอีกเล่า?”
ทุกคน “…”
ถึงแม้นี่จะเป็นความจริง ทว่าไม่อ่อนน้อมถ่อมตนเช่นนี้ จะหยิ่งผยองเกินไปหรือไม่?
เอาเถอะ! ผู้ใดบอกให้พี่สาวของเขาเป็นฮูหยินลู่ มีคุณสมบัติให้หยิ่งผยองเช่นนี้จะผิดได้อย่างไร
บางคนอาจกล่าวว่าถึงอย่างไรลู่อี้ก็ไม่ใช่ฮ่องเต้ ไม่แน่ว่าอาจทำให้ฮ่องเต้ทรงพิโรธขึ้นมา จนท้ายที่สุดถูกตัดสินประหารทั้งสกุลก็ได้
อย่างไรก็ตาม หากลู่อี้เป็นเพียงลู่อี้ ย่อมไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้จริง ๆ ทว่า บารมีของสกุลลู่ในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในขั้นที่ราชวงศ์จะกล้าลงมืออย่างง่ายดายอีกต่อไปแล้ว
“ข้าอยากมาสู่ขอเจ้าแต่งงาน ไม่ได้มาสู่ขอในฐานะน้องชายของฮูหยินลู่ และไม่ได้มาสู่ขอในฐานะขุนนาง หากแต่มาในฐานะบุรุษธรรมดาผู้หนึ่งที่ต้องการแต่งงานกับสตรีที่ตนเลือก เจ้าเพียงแค่ต้องตรึกตรองว่าเจ้าต้องการแต่งงานกับข้าหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องไตร่ตรองไปถึงสิ่งอื่นใด ไม่ว่าภายหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้น ข้ายินดีปกป้องคุ้มครองเจ้าจากลมฝน” มู่เจิ้งหานมองอินอิ๋งจู๋ด้วยสายตารักใคร่
มู่ซืออวี่รู้สึกขนลุกเกรียวไปทั่วทั้งร่าง
น้องชายที่ขี้อายในตอนนั้นในที่สุดก็เติบใหญ่แล้ว ตอนนี้เขายังรู้จักวิธีเกลี้ยกล่อมหญิงสาวด้วยกระบวนท่าแล้วกระบวนท่าเล่า แม้กระทั่งพี่เขยของเขายังปากหวานสู้ไม่ได้
อย่างไรก็ตาม การที่จู่ ๆ เขากระจ่างขึ้นมาก็ช่วยคลายความกังวลนางไปเปราะหนึ่ง
อันที่จริงตอนที่มู่เจิ้งหานเพิ่งมาถึงที่นี่ นางลังเลใจว่าจะสู่ขอให้เขาดีหรือไม่ สกุลหวังมีแม่นางที่ดีหลายคน แต่ละคนล้วนรู้หนังสือและมีเหตุผล คนก็ดูจำเริญตา นางคิดว่ามู่เจิ้งหานอายุก็สมควรแก่เวลาแล้ว หากได้ใกล้ชิดติดต่อกับแม่นางเหล่านี้มากขึ้น ไม่แน่ว่าอาจมีผู้ใดที่ต้องตา
ด้วยเหตุนี้มู่ซืออวี่จึงมักจะเชิญแม่นางจากสกุลหวังมาที่จวน เมื่อแม่นางจากสกุลหวังมาเยี่ยม ลู่จื่ออวิ๋นคอยเป็นผู้รับรอง ภายใต้ฉากหน้าของการแต่งกลอนท่องกวีด้วยกัน ภายหลังมู่เจิ้งหานออกจากจวนไปอยู่ที่อื่น ขอเพียงแม่นางจากสกุลหวังอยู่ที่บ้านนาง เขาก็ไม่แม้แต่จะมาเยี่ยมอีก
มู่ซืออวี่จึงเข้าใจแล้วว่า มู่เจิ้งหานไม่ได้ชอบแม่นางที่เพียบพร้อมด้วยการศึกษาและอยู่ในกรอบเช่นนี้ ทว่าก็ควรเป็นเช่นนั้น เขาไม่เคยเป็นคนอยู่นิ่งมาก่อน จะแต่งงานกับแม่นางที่ ‘เพียบพร้อม’ เช่นนี้ได้อย่างไร?
ลู่จื่ออวิ๋นยังกล่าวอย่างขบขันว่า หลายเดือนที่ผ่านมานางผูกมิตรกับแม่นางสกุลหวัง ความสามารถด้านการแต่งบทกลอนของนางนับวันยิ่งล้ำเลิศขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ยังกล่าวไม่ได้ว่าเป็นกวีหญิงอันดับหนึ่งในใต้หล้า กลอนที่โด่งดังของนางก็เลื่อนอันดับนางสูงขึ้นหลายสิบอันดับแล้ว บัดนี้ยามผู้อื่นเอ่ยถึง นางไม่ได้เป็นเพียง ‘บุตรีของอัครมหาเสนาบดีลู่’ ‘บุตรีของเจ้าเมืองมู่’ ‘น้องสาวของลู่ฉาวอวี่’ แต่ยังมีชื่อว่าเป็น ‘กวีหญิงผู้โด่งดัง’ อีกด้วย
มู่ซืออวี่ยังคงจัดหาสตรีอีกหลายแบบมาให้เขาไม่ว่างเว้น ทว่ามู่เจิ้งหานกลับทำเพียงหลบเลี่ยง แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน นางก็ไม่ได้คิดจะทำเช่นนี้เพื่อทำร้ายผู้อื่น ดังนั้นจึงไม่สนใจบังคับเขาแล้ว
เมื่อถงซื่อเขียนจดหมายมา หากนางเอ่ยถึงเรื่องการแต่งงานของมู่เจิ้งหาน มารดาก็จะเปลี่ยนเรื่อง ช่วยถ่วงเวลาให้มู่เจิ้งหานต่อไป
นึกไม่ถึงว่าวันหนึ่งนางจะได้พบว่าดอกรักของน้องชายจะผลิบานแล้ว
หลังจากลองสืบดูจึงได้รู้ว่า มู่เจิ้งหานหลงรักหมอเทวดาจากหุบเขาเทพโอสถ และมักจะไปวนเวียนอยู่รอบกายนางเสมอ
ถ้อยคำของมู่เจิ้งหานเต็มไปด้วยความรัก ไม่เพียงแต่ผู้ที่อยู่ตรงนั้นที่ประทับใจ อินอิ๋งจู๋ก็หวั่นไหวแล้วเช่นกัน
อินอิ๋งจู๋ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการจัดการเรื่องราวต่าง ๆ กับมู่เจิ้งหาน ระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา หากหุบเขาเทพโอสถมีเรื่องอะไร นางก็จะตรงไปหามู่เจิ้งหาน นอกจากนี้ หุบเขาเทพโอสถเพิ่งสร้างแล้วเสร็จเมื่อครึ่งปีที่แล้ว ก่อนที่มันจะแล้วเสร็จ ยังมีหลายสิ่งที่จำเป็นต้องจัดการ ทุกครั้งก็จะเป็นมู่เจิ้งหานที่ออกหน้าช่วยนางแก้ปัญหา
สิ่งที่มู่เจิ้งหานไม่เคยรู้คือนางเป็นฝ่ายชอบเขาก่อน
ในตอนนั้น มู่เจิ้งหานไม่ได้สนใจนางแม้แต่น้อย เขาล้วนปฏิบัติต่อนางอย่างผู้ที่ร่วมงานกัน ถึงแม้เขาจะแก้ไขปัญหาให้ก็ไม่ได้มองนางเกินกว่านั้น
เมื่อนางพบว่าตนมีจิตปฏิพัทธ์ต่อมู่เจิ้งหาน ทุกครั้งที่ไปตรวจคนไข้ในเมืองถงหยาง นางผู้ที่ไม่เคยชอบแต่งกายก็มักจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใสเป็นพิเศษ เพื่อให้ตนเองดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง
แม้กระนั้น มู่เจิ้งหานก็ไม่ได้สังเกตเห็นในทันที เพราะรอบกายเขาไม่เคยขาดแคลนสตรีหน้าตางดงาม ทั้งรูปโฉมโนมพรรณของอินอิ๋งจู๋ เดิมทีก็ไม่ได้จัดว่าเป็นหญิงงาม
ขณะที่นางกำลังจะยอมแพ้ จู่ ๆ มู่เจิ้งหานก็ชวนนางไปตลาดกลางคืน พานางไปดูโคมไฟ นางยังเห็นดวงดาวเป็นประกายระยิบระยับในแววตาของเขา นั่นเป็นสิ่งที่จะปรากฏขึ้นก็ต่อเมื่อตนมองเท่านั้น
ในตอนนั้นเอง หัวใจของนางราวกับได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
บัดนี้ในที่สุดเขาก็มาสู่ขอนางแต่งงานแล้ว
แน่นอนว่านางย่อมยินดี
เพียงแต่ ท่านอาจารย์และท่านอาจารย์อาทั้งหลายไม่วางใจ เกรงว่าลูกหลานของขุนนางจะโหดเหี้ยม สุดท้ายคนที่เจ็บจะเป็นนาง บัดนี้เมืองถงหยางสำคัญต่อพวกเขามากเพียงนั้น หากล้มเหลวไม่ได้แต่งงาน กลายมาเป็นศัตรูแทน นี่จะเป็นหายนะต่อศิษย์กว่าร้อยคนของทั้งหุบเขาเทพโอสถ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องระวังเป็นพิเศษ
เมื่อคำพูดของมู่เจิ้งหานช่วยคลี่คลายความสงสัยในใจของพวกเขา บัดนี้จึงสามารถพยักหน้าได้ด้วยความมั่นใจแล้ว