สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 813 แผนการต่อเนื่องของคนชั่ว
บทที่ 813 แผนการต่อเนื่องของคนชั่ว
บทที่ 813 แผนการต่อเนื่องของคนชั่ว
“เกรงว่าของขวัญชิ้นใหญ่นี้ไม่ได้อยู่บนภูเขาแล้ว” ลู่อี้ครุ่นคิด “หากพวกมันมีระเบิดมากพอระเบิดที่นี่ พวกมันคงวางเดิมพันหมดหน้าตักเพื่อฆ่าพวกเราทั้งหมดในคราวเดียว”
“เช่นนั้น ของขวัญชิ้นใหญ่ที่ว่า…”
“เมืองหลวง”
“ท่าน พี่ใหญ่เซี่ย และใต้เท้าฉีล้วนอยู่ที่นี่เพื่อตามหาอวิ๋นเอ๋อร์ พวกเราโยกย้ายกำลังคนทั้งหมดที่ทำได้มาจากเมืองหลวงแล้ว ภายในเมืองหลวงจะต้องเกิดความวุ่นวายโกลาหลเป็นแน่”
“หากพวกเขาโจมตีเมืองหลวงในตอนนี้ พวกเราอาจแพ้เดิมพันครั้งนี้จริง ๆ”
“เพียงพวกหัวมังกุท้ายมังกรของพวกมัน คิดจะยกทัพก่อกบฏย่อมไม่อาจเป็นไปได้ ครั้งก่อนพวกมันใช้ไพร่พลและม้าที่โจมตีได้เป็นครั้งสุดท้ายและถูกบีบให้จนตรอกไปนานแล้ว”
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ฉีเซียวและเซี่ยคุนก็ได้รับการช่วยเหลือออกมา
ทั้งสองกระโดดหนีได้ทันจึงไม่ได้ถูกกลบฝังอยู่ในถ้ำ อย่างไรก็ตามขณะที่พวกเขาหนีออกมานั้น ระเบิดมีกำลังมหาศาลเสียจนก้อนหินบนภูเขาถล่มลงมาฝังพวกเขาไว้ข้างใน
ทว่าโชคยังดี หินเหล่านี้ไม่ได้มีจำนวนมากนัก ทั้งคู่จึงได้รับการช่วยเหลือออกมาอย่างรวดเร็ว
“ข้างในไม่มีคน พวกมันหนีไปได้แล้ว” เซี่ยคุนเอ่ย “ข้าเดาว่าเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ไม่ได้ถูกพาตัวไป ทว่ายังคงอยู่บนเขาแห่งนี้ บนภูเขามีร่องรอยการค้นหามากมาย ไม่ได้เกิดจากคนของเรา เช่นนั้นก็เป็นได้เพียงร่องรอยที่พวกมันทิ้งไว้แล้ว นี่บ่งบอกอะไร? บ่งบอกว่าพวกมันกำลังค้นหาใครบางคน ผู้เดียวที่ทำให้พวกมันพลิกฟ้าพลิกดินหาได้เช่นนี้มีเพียงเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ เพียงแต่นี่เป็นแค่การคาดเดาของข้าเท่านั้น จนกว่าจะพบเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่มีประโยชน์ ตอนนี้ส่งคนไปค้นหาแถวนี้เสียก่อน ดูว่าจะพบร่องรอยใด ๆ หรือไม่”
“หากท่านเดาไม่ผิด เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์หลบหนีไปได้จริง ๆ เช่นนั้นนางจะต้องทิ้งร่องรอยไว้ให้เราอย่างแน่นอน” มู่ซืออวี่เอ่ย “ข้าเคยสอนเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ทิ้งร่องรอยโดยใช้ก้อนหินวางเอาไว้ เอาอย่างนี้เถอะ ยังมีเหล่าพี่น้องหลายคนถูกฝังอยู่ข้างใน พวกท่านจัดเตรียมคนไปช่วยพวกเขา ส่วนข้าจะพาคนไปดูแถว ๆ นี้”
หลังจากมู่ซืออวี่พาคนจากไปแล้ว ลู่อี้ก็ส่งกระดาษที่มู่ซืออวี่ได้รับมาให้เซี่ยคุนและฉีเซียวอ่าน
“ข้าสงสัยว่าจะเกิดเรื่องกับฝ่าบาทแล้ว”
“จับโจรต้องจับหัวหน้าก่อน หากเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทจริง ๆ เช่นนั้นอีกฝ่ายนับว่ามอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เราแล้วจริง ๆ”
“พวกเราต้องรุดกลับเมืองหลวงโดยด่วน”
“เรื่องเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ให้เป็นหน้าที่ของข้า สหายเซี่ยกับสหายฉี พวกท่านนำกำลังคนกลับไปเมืองหลวงเพื่อยืนยันความปลอดภัยของฝ่าบาทก่อนเถิด”
“หาพบแล้ว! หาพบแล้วขอรับ!”
น้ำเสียงยินดีดังขึ้นมา
ทหารคนหนึ่งวิ่งมาทางนี้พลางตะโกนขึ้น “หาคุณหนูใหญ่พบแล้วขอรับ”
“ตอนนี้อยู่ที่ใด?!”
“นางซ่อนตัวอยู่ในน้ำ ตัวแข็งหมดแล้ว ฮูหยินกำลังช่วยขึ้นมาขอรับ”
ลู่จื่ออวิ๋นได้รับการช่วยเหลือแล้ว
ถึงแม้ว่าอาการจะค่อนข้างวิกฤต ทว่าไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต
ในรถม้า มู่ซืออวี่เปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดให้ลู่จื่ออวิ๋นแล้วกอดนางไว้ในอ้อมแขน
ถึงแม้ลู่จื่ออวิ๋นจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดย่ำแย่ของนางก็ทำให้ผู้เป็นมารดาทุกข์ใจ หวังว่าจะสามารถเป็นผู้ที่ทรมานแทนลูกสาวได้
“ฮูหยิน พวกเราต้องรีบรุดกลับเมืองหลวงก่อน” ลู่อี้เอ่ย “ใต้เท้าฉีเพิ่งใช้กำลังภายในหลบหนีจากระเบิด ตอนนี้ร่างกายอ่อนแอ ข้าจะให้เขากลับไปเมืองหลวงพร้อมเจ้าและอวิ๋นเอ๋อร์ ข้ากับพี่เซี่ยจะล่วงหน้ากลับไปก่อนหนึ่งก้าว”
“ท่านไปเถอะ!”
“หากในวังไม่เกิดเรื่องอะไร ข้าจะรีบกลับบ้านทันที”
“ข้าทราบแล้ว”
ในพระราชวัง ฟ่านหยวนซีมองดูบุรุษที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรอย่างเยือกเย็น
เซียวหลี!
บัดนี้เขากำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรด้วยท่าทีหยิ่งผยอง อ้อมแขนโอบกอดซ่างกวนจิ่นซิ่วฮองเฮาของฟ่านหยวนซีเอาไว้
ในมืออีกฝ่ายถือกริชเล่มหนึ่ง กริชเล่มนั้นจ่ออยู่ที่คอของซ่างกวนจิ่นซิ่ว
“ได้ยินว่าฮ่องเต้ฮุ่ยโปรดปรานเพียงฮองเฮา เพื่อนางแล้วเพียงหนึ่งกระบวยก็ดับกระหาย*[1] วันนี้ข้าจะได้ประจักษ์ด้วยตาตนเองถึงรักแท้ของฮ่องเต้ผู้ครองแผ่นดินกับฮองเฮาแห่งพระราชวังแล้ว เลือกมาเถิดว่า บัลลังก์หรือสตรี!”
“เจ้าเดินเพ่นพ่านไปมารอบวังได้ราวกับไม่มีผู้ใดอยู่จริง ๆ ดูเหมือนข้าจะดูเบาความสามารถของเจ้าเกินไป”
“ดังนั้น หากเจ้าไม่อาจตัดใจที่จะแยกจากฮองเฮาของเจ้า เช่นนั้นก็สละตำแหน่งนี้ซะ เจ้านับเป็นฮ่องเต้อะไรกัน? บัลลังก์นี้เกรงว่าจะเป็นของคนแซ่ลู่นานแล้วกระมัง?”
ฟ่านหยวนซีมองไปรอบ ๆ
อย่าได้เห็นว่าที่นี่มีเพียงพวกเขาไม่กี่คน ในเงามืดจะต้องมีพวกโจรกบฏอีกไม่น้อยเป็นแน่
อันที่จริงในวังหลวงมีผู้สมรู้ร่วมคิดกับพวกโจรกบฏเหล่านี้ เพียงแต่พวกเขากำจัดพวกมันไปหลายครั้งหลายคราแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจกำจัดพวกโจรกบฏเหล่านี้ได้สิ้นซากเสียที
หากลู่อี้กลับมา เขาจะต้องหัวเราะใส่อีกฝ่ายดัง ๆ สักครั้ง ให้ได้รู้ว่าลู่อี้ซึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดีไม่ได้มีความสามารถไปเสียทุกอย่าง
“เจ้าคงไม่ได้รอให้อัครมหาเสนาบดีของเจ้ากลับมาช่วยกระมัง?”
“เขากลับมาไม่ได้”
“เขา… แม้กระทั่งวังหลวงยังเข้ามาไม่ได้แล้ว”
“ไม่ถูกสิ เขาเข้ามาได้ เพียงแต่ไม่นานก็จะกลายเป็นรังต่อ มีลูกธนูนับไม่ถ้วนปักอยู่บนร่างกาย นี่เป็นผลจากการริอ่านจะต่อกรกับข้า”
ลู่ฉาวอวี่กำลังเป็นห่วงลู่จื่ออวิ๋น
เดิมทีเขาอยากจะไปค้นหาเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ด้วย ทว่าลู่อี้ยืนกรานจะให้เขารั้งอยู่ในเมืองหลวง รอฟังข่าว ผ่านไปหลายชั่วยามแล้วก็ยังหาเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ไม่พบ นี่ยิ่งทำให้เขารู้สึกกลัดกลุ้มยิ่งกว่าเดิม
“ใต้เท้า” อีเจี้ยนถือจดหมายฉบับหนึ่งเดินเข้ามา “เมื่อครู่นี้มีคนส่งมา กล่าวว่าจะต้องส่งให้ถึงมือท่านให้ได้ เรื่องนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่ง”
ลู่ฉาวอวี่ไม่อยู่ในอารมณ์จะจัดการเรื่องสำคัญในยามนี้ ทว่าในเมื่อส่งมาแล้ว ย่อมต้องเปิดดู
เขาเปิดจดหมายอ่านดูเนื้อความ สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนโดยพลัน
“มีอะไรหรือขอรับ?” อีเจี้ยนพบว่าสีหน้าเขามีบางอย่างผิดปกติ
“เกิดเรื่องกับฝ่าบาทแล้ว!” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “องครักษ์ของฝ่าบาทในวังหลวงถูกอีกฝ่ายซื้อตัวไปช่วยพวกโจรกบฏควบคุมฝ่าบาทและฮองเฮาเอาไว้ จดหมายนี้สายของเราเสี่ยงตายส่งออกมา”
“ท่านอัครมหาเสนาบดี แม่ทัพเซี่ย ใต้เท้าฉีล้วนไม่อยู่” อีเจี้ยนเอ่ย “พวกเราจะช่วยคนอย่างไรขอรับ?”
“รวบรวมไพร่พลเท่าที่เรียกได้มาประเดี๋ยวนี้!” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “มาถึงขนาดนี้ก็ทำได้เพียงปิดประตูตีสุนัขแล้ว!”
“สุนัขคือ… โจรกบฏเหล่านั้นหรือขอรับ?”
“ในเมื่ออีกฝ่ายส่งตนเองมาถึงหน้าประตู หากตอนนี้พวกเรายังปล่อยพวกมันหนีไปได้อีก เช่นนั้นจะไม่โง่มากหรือ?” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “พวกเราสู้กับพวกมันมานานเพียงนี้ ถึงเวลากำหนดผลลัพธ์เสียที!”
“ฝ่าบาทยังอยู่ในกำมืออีกฝ่ายนะขอรับ”
“เจ้าคิดว่าเป็นถึงฮ่องเต้ปกครองแผ่นดิน อีกทั้งชื่อเสียงก่อนหน้านี้ของเขายังโด่งดังออกเพียงนั้น จะไม่มีผู้ใดคอยคุ้มครองเลยหรือ?” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยอย่างเย็นชา “ขอกล่าวอย่างไม่น่าฟังเสียตรงนี้ แม้บิดาข้าต้องการกบฏก็เกรงว่าจะไม่ง่ายดายเพียงนั้น อย่าได้ดูแคลนฮ่องเต้ฮุ่ยของพวกเราผู้ที่ไม่ได้สนใจสิ่งใดผู้นั้นเลย เขาไม่เรียบง่ายอย่างที่เราเห็นแน่นอน นี่ก็เป็นสิ่งที่พวกเราต้องการจะเห็นเช่นกัน หากฮ่องเต้โง่เขลา เช่นนั้นพวกเราที่เป็นขุนนางคงต้องเหนื่อยมากเกินไปกระมัง?”
ลู่ฉาวอวี่บอกว่าจะปิดประตูตีสุนัขก็คือปิดประตูตีสุนัข
คนเหล่านั้นคิดว่าหากพวกเขาควบคุมฟ่านหยวนซีไว้ได้ คนอื่น ๆ จะยอมให้จับโดยละม่อม หากเป็นเช่นนั้นจริงคงไร้เดียงสาเกินไปหน่อยแล้ว
อย่างน้อยสกุลลู่ย่อมไม่ถูกจูงจมูกไปทั่วอย่างแน่นอน
“พาคนบุกเข้ามาตรง ๆ แล้วหรือ?” เซียวหลีคิดว่าตนคงหูฝาดไปแล้ว “พวกเขาไม่สนใจความเป็นความตายของฮ่องเต้สุนัขตัวนี้หรือไร?”
ฟ่านหยวนซียิ้มเยาะ “เจ้าไม่ได้บอกว่าราชวงศ์ของข้าแซ่ลู่หรือ? ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจะยอมปล่อยให้พวกเจ้าควบคุมตามอำเภอใจเพราะข้าที่เป็นฮ่องเต้หุ่นเชิดผู้นี้ได้อย่างไรเล่า?”
[1] มาจากสำนวน แม่น้ำรั่วสามพันลี้ เพียงหนึ่งกระบวยก็ดับกระหาย หมายถึง แม้ในชีวิตจะพบเจอสิ่งสวยงามมากมาย ทว่าเพียงแค่ยึดหนึ่งในนั้นไว้ในใจก็เพียงพอแล้ว เป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ที่มีต่อผู้เป็นที่รัก