สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 833 กลยุทธ์ของลู่จื่อชิง
บทที่ 833 กลยุทธ์ของลู่จื่อชิง
บทที่ 833 กลยุทธ์ของลู่จื่อชิง
“หากไปสำนักศึกษาหลวง เจ้าจะต้องเก่งกว่าคนที่ไม่รู้จักตัวอักษรแม้แต่ตัวเดียวแน่นอน คราวหน้าไม่จำเป็นต้องติดตามนางและเรียกนางว่าพี่หญิงใหญ่อีกต่อไปแล้ว นี่เป็นเรื่องดี แค่พยายามให้หนักเท่านั้น! ลู่ฉาวอวี่พูดอย่างใจเย็น
ซ่งหานจือมองลู่จื่อชิง “ชิงเอ๋อร์ จะไม่ไปสำนักศึกษาหลวงหรือ?”
“นางไม่ไป”
“แต่ข้าได้ยินมาว่าหลี่เยียนหรานกำลังจะเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลวง นางบอกว่า นางจะกลายเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในสำนักศึกษาหลวง ครั้งนี้สำนักศึกษาหลวงรับสมัครคนมากกว่าสามร้อยคน หากนางไปที่สำนักศึกษาหลวง ต่อไปนางจะได้เป็นเพื่อนกับคนไม่ต่ำกว่าร้อยคนอย่างแน่นอน แต่ชิงเอ๋อร์จะไม่มีเพื่อนมากมายรอบตัวเหมือนนาง”
“หลี่เยียนหรานบอกว่านางจะกลายเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดหรือ?” ลู่จื่อชิงปล่อยต้นไม้ “นางมีสิทธิ์อะไรถึงกล้าพูดแบบนั้นออกมา นางขี่ม้าไม่เก่งเท่าข้า ใช้แส้ไม่เก่งเท่าข้า ต่อสู้ไม่เก่งเท่าข้า นางไม่เก่งอะไรเท่าข้าเลยสักอย่าง!”
“นางรู้หนังสือ” ลู่ฉาวอวี่พูดอย่างสงบ “ด้วยเรื่องนี้ นางจึงเก่งกว่าเจ้า”
ลู่จื่อชิงหน้ามุ่ย “เหตุใดกัน? การรู้หนังสือไม่ใช่ยาครอบจักรวาล”
“เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เรียน” ลู่ฉาวอวี่พูดอีกครั้ง
“หลี่เยียนหรานเป็นที่รู้จักในฐานะหญิงที่มีความสามารถมากที่สุดในเมืองหลวง สตรีที่งดงามและมีความสามารถมากที่สุดในเมืองหลวงคนก่อนคือพี่หญิงอวิ๋นเอ๋อร์” ซ่งหานจือกล่าว “ข้าไม่เคยคาดหวังเลยว่าไม่นานหลังจากที่พี่หญิงอวิ๋นเอ๋อร์จากไป สตรีที่มีความสามารถที่สุดจะกลายเป็นนางไปได้”
“นั่นเป็นไปไม่ได้” ลู่จื่อชิงกล่าว “เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!”
“เจ้าเป็นคนไม่มีการศึกษา…”
“ข้าจะเรียนหนังสือ!” ลู่จื่อชิงขัดจังหวะลู่ฉาวอวี่ “เหตุใดนางถึงมีชื่อเสียงพอ ๆ กับพี่สาวของข้าเล่า?”
ครึ่งชั่วยามต่อมา ลู่จื่อชิงกำลังถือย่ามที่มู่ซืออวี่เตรียมไว้ให้นางตั้งแต่เมื่อคืน คุณหนูรองสวมชุดใหม่ที่เพิ่งตัดและตามเจ้าอ้วนน้อยจากสกุลซ่งไปสำนักศึกษาหลวงด้วยรถม้า
ลู่ฉาวอวี่พาพวกเขาไปรายงานตัวด้วยตนเอง
“ท่านใต้เท้าลู่น้อย…”
“นั่นท่านใต้เท้าลู่น้อย…”
“ท่านใต้เท้าลู่น้อยมีความสามารถมาก หากสามารถมาบรรยายที่สำนักศึกษาหลวงได้ เราก็จะโชคดียิ่งนัก”
“ฝันไปเถอะ มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นที่สำนักตรวจการ ท่านใต้เท้าลู่น้อยมักจะออกจากจวนแต่เช้าและกลับมาดึกดื่นเสมอ เขาจะมาที่นี่เพื่อบรรยายได้อย่างไร?”
“น้องชายและน้องสาวของเขามาศึกษาที่นี่กันหมด เป็นเรื่องปกติที่เขาจะมาบรรยาย!”
ลู่จื่อชิงดึงชายเสื้อของลู่ฉาวอวี่ “พี่ใหญ่ ตอนนี้มันสายเกินไปที่ข้าจะเปลี่ยนใจแล้วใช่หรือไม่?”
“ยังมีเวลาอยู่” ลู่ฉาวอวี่พูดอย่างใจเย็น
“จริงหรือ?” ลู่จื่อชิงประหลาดใจ
“อืม ก็แค่บอกให้ทุกคนรู้ว่า คุณหนูรองของสกุลลู่เป็นคนขี้ขลาด ไม่สามารถเรียนรู้สิ่งที่คนอื่นสามารถเรียนรู้ได้และวิ่งหนีเมื่อเจอปัญหา” ลู่ฉาวอวี่พูดอย่างใจเย็น “สกุลลู่รู้สึกอับอายยิ่ง”
ลู่จื่อชิง “…”
นางไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว
วิธีการยั่วยุเช่นนี้…
ยังใช้ได้ผลสำหรับนาง
“พี่ใหญ่ช่างร้ายกาจ!” ลู่จื่อชิงรู้สึกเสียใจ “ข้าเสียหน้าได้ แต่สกุลลู่ไม่อาจเสียหน้าได้”
“ข้ายังมีความหวังอยู่ เพราะเจ้ายังรู้จักรักษาหน้า” ลู่ฉาวอวี่ลูบผมนาง “กฎที่ตกลงกันใหม่ของสำนักศึกษาหลวงคือทุก ๆ ห้าวันของการเรียนจะมีเวลาพักสองวัน เจ้าสามารถทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ ในสองวันนั้นจะไม่มีการบังคับ และท่านอาฉีที่เจ้าชอบก็เป็นอาจารย์สอนขี่ม้าและยิงธนูอยู่ที่นี่ เจ้าสามารถไปฝึกวรยุทธ์กับเขาได้”
ส่วนฉีเซียวเต็มใจจะสอนคนอื่นหรือไม่นั้น นั่นไม่ใช่เรื่องของเขา แต่เขารู้ว่าฉีเซียวต้องการสอนลู่จื่อชิงแน่นอน บางทีอีกฝ่ายอาจจะเต็มใจมาที่นี่เพื่อเป็นอาจารย์สอนขี่ม้าและยิงธนูเพราะเด็กหญิงคนนี้ก็ได้
ลู่ฉาวอวี่รู้แค่ว่าความประทับใจแรกนั้นสำคัญมาก แต่ไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งน้องสาวของเขาจะเป็นความประทับใจแรกของคนเช่นนั้นได้ นับตั้งแต่ที่รู้ว่าฉีเซียวสอนวรยุทธ์ให้ลู่จื่อชิง ผู้คนจำนวนมากต่างเข้าหาเพื่อขอฝากตัวเป็นศิษย์ แต่ไม่มีใครทำให้ท่านอาฉีเชื่อใจได้ จนถึงตอนนี้ ฉีเซียวเต็มใจที่จะสอนวรยุทธ์ให้ลู่จื่อชิงเท่านั้น
“ข้าจะฝากน้องชายไว้กับเจ้า เจ้าเป็นพี่สาว ดังนั้นต้องดูแลเขาให้ดี” ลู่ฉาวอวี่เตือน
ลู่ฉาวจิ่งพูดว่า “พี่หญิงรองเอ็นดูข้ามากที่สุดอยู่แล้วขอรับ”
“นั่นเพราะเป็นเรื่องยากที่จะเจอน้องชายที่เชื่อฟังเหมือนเจ้า” ลู่ฉาวอวี่ลูบหัวลู่ฉาวจิ่ง “เจ้ามีความสุขก็ดีแล้ว”
เมื่อสำนักศึกษาหลวงได้ยินว่าคนจากสกุลลู่กำลังมาก็รีบพาคนออกมาทักทายพวกเขา
ลู่ฉาวอวี่ส่งน้อง ๆ และเจ้าอ้วนน้อยของสกุลซ่งไปสำนักศึกษาหลวงก่อนจะจากไป
“คุณหนูรองลู่ คุณชายรองลู่ คุณชายซ่ง พวกท่านมีเงื่อนไขเรื่องที่อยู่อาศัยบ้างหรือไม่? ยกตัวอย่างเช่น ใกล้ทะเลสาบหรือชอบป่าไผ่ อะไรทำนองนั้น”
“เอาแบบโล่งกว้างก็พอ!” ลู่จื่อชิงพูด “ไม่ต้องเพิ่มดอกไม้หรือต้นไม้ใด ๆ ข้าเกรงว่าข้าจะทำพวกมันตายเสียก่อน”
เจ้าหน้าที่สำนักศึกษาหลวงรับคำอย่างรวดเร็ว
“ว่าแต่ หลี่เยียนหรานมาแล้วหรือยัง?”
“ไม่คิดว่าเจ้าจะคิดถึงข้ามากเพียงนี้!” แม่นางน้อยวัยสิบขวบเดินมาจากฝั่งตรงข้าม
นางหน้าตาน่ารักและแต่งตัวหรูหรามาก ข้างหลังนางมีเด็กชายและเด็กหญิงหลายคนในวัยเดียวกัน คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ติดตามของหลี่เยียนหราน
“ข้าแค่อยากจะดูว่าเจ้าเป็นคนโง่หรือเปล่า” ลู่จื่อชิงพูดอย่างเย็นชา
“แล้วเจ้าเป็นคนที่ขี้ขลาดใช่หรือไม่?” หลี่เยียนหรานกล่าว “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไม่อยากมาเรียนที่สำนักศึกษาหลวงจนต้องกอดต้นไม้ร้องไห้งอแง คนเช่นเจ้าสมควรมีสกุลลู่ได้อย่างไร? สมควรเป็นน้องสาวของท่านใต้เท้าลู่น้อยได้อย่างไร?”
“อิจฉาหรือ? อิจฉาหรือเปล่า? ข้าเกิดมาก็เป็นเช่นนี้เองนี่! หากเจ้าอิจฉาก็ลองกลับชาติมาเกิดใหม่สิ ดูซิว่าพ่อแม่ของข้าจะยอมรับเจ้าได้หรือไม่ แต่หากมีหน้าตาเช่นนี้ พ่อแม่ข้าคงดูถูกเจ้ามากกว่า เพราะแม้แต่พวกสาวใช้ของข้าก็ยังสวยกว่าเจ้า!”
“ลู่จื่อชิง อย่าหยิ่งผยองนักเลย หากปราศจากอำนาจของพ่อแม่และชื่อเสียงของพี่ชายพี่สาวแล้ว เจ้ามีดีอะไรบ้าง?”
“ขอโทษด้วย พอดีว่าข้ามีสิ่งเหล่านั้นอยู่ ต่อให้เจ้าจะอิจฉาเพียงใด ข้าก็ยังเป็นคุณหนูรองของสกุลลู่อยู่ดี” ลู่จื่อชิงยิ้มหวาน
“ซ่งหานจือ เจ้าก็เป็นถึงลูกชายของผู้ตรวจการ แต่กลับติดตามลู่จื่อชิงเหมือนสุนัขตลอดทั้งวัน เจ้าอายบ้างหรือเปล่า?” หลี่เยียนหรานชี้ไปที่ซ่งหานจือแล้วค่อนขอด
“ความแค้นระหว่างเจ้ากับข้า เหตุใดเจ้าถึงต้องดุน้องชายสกุลซ่งด้วยเล่า?” ลู่จื่อชิงให้ซ่งหานจือไปอยู่ข้างหลังนาง “เจ้าไม่กล้าทำให้ข้าขุ่นเคืองจึงไปรังแกเขาแทน เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? ถึงกล้ารังแกเขา”
“คุณหนูหลี่” ซ่งหานจือพูดอย่างสงบ “วันนี้เจ้ากินเนื้อแกะมาแล้วหรือ? กลิ่นมันค่อนข้างแรงไปหน่อย ตอนเจ้าพูดออกมาเหมือนกำลังรมควันชิงเอ๋อร์เลย”
ดวงตาของหลี่เยียนหรานเบิกกว้าง “เจ้า… เจ้า…”
“ข้าแค่พูดความจริง อย่าโกรธเลย อีกเดี๋ยวจะต้องไปพบอาจารย์แล้ว มันจึงหยาบคายนิดหน่อยที่เจ้าทำเช่นนี้ ในฐานะสตรี ข้าคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเจ้าตอนนี้คือรีบไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า”
“ซ่งหานจือ เรื่องของเจ้ากับข้าไม่จบง่าย ๆ แน่!” หลี่เยียนหรานปิดหน้าวิ่งหนีไป
ลู่จื่อชิง “…”
นางมองร่างที่จากไปของหลี่เยียนหรานแล้วพึมพำ “นางวิ่งหนีไปแบบนี้เลยหรือ?”
“เพราะกลิ่นของเนื้อแกะค่อนข้างแรง” ซ่งหานจือกล่าว
“แต่ข้าไม่เห็นได้กลิ่นเนื้อแกะติดตัวนางเลย!” ลู่ฉาวจิ่งงุนงง
“เรื่องนั้น… ข้าแค่หลอกนาง นางไม่ได้มีกลิ่นตัวเหมือนเนื้อแกะ แต่ครอบครัวของนางกินเนื้อแกะมา ข้าได้ยินสิ่งที่บ่าวรับใช้ของนางพูด”
“ซ่งหานจือ หูเจ้าดีมากจริง ๆ ครั้งนี้เจ้าช่วยข้าได้มาก” ลู่จื่อชิงตบไหล่ซ่งหานจือ “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นหลี่เยียนหรานลนลานออกไป มีผู้คนมากมายเดินผ่านที่นี่เมื่อครู่ ทุกคนมองนางแล้วหัวเราะคิกคัก คราวนี้หลี่เยียนหรานคงรู้สึกอับอายไม่น้อย!”