สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 836 เอาชนะได้แล้ว
บทที่ 836 เอาชนะได้แล้ว
บทที่ 836 เอาชนะได้แล้ว
ซ่างกวนจิ่นซิ่วมองโอรสของตน ก่อนจะเดินเข้ามา ขาสั้น ๆ ของเขาเกือบจะสะดุดขณะก้าวข้ามธรณีประตู นางจึงรีบลุกไปหา
ฟ่านซวี่หยุดอยู่ตรงหน้าซ่างกวนจิ่นซิ่ว ยกมือเล็ก ๆ ขึ้นคำนับทักทาย “ถวายบังคมฮองเฮา ขอฮองเฮาทรงพระเจริญ”
“เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่?” ซ่างกวนจิ่นซิ่วอุ้มเขาขึ้นมา
ฟ่านซวี่มองเตียงลายมังกร “ลูกมาที่นี่เพื่อเยี่ยมเสด็จพ่อ เสด็จพ่อหลับไปหลายวันแล้ว เหตุใดถึงยังไม่ฟื้นขึ้นมา? ท่านเคยกล่าวไว้ว่าผู้ชายไม่ควรเกียจคร้าน มิเช่นนั้น ในอนาคตทำอะไรก็จะไม่สำเร็จ ท่านไม่อาจเกียจคร้านได้เพียงเพราะเป็นฮ่องเต้ ฮ่องเต้ควรทำตัวเป็นแบบอย่าง ลูกเรียนกับท่านอาจารย์ทุกวัน ไม่เคยขาดเรียน แล้วเหตุใดท่านถึงได้ขี้เกียจแทนลูกเล่า?”
“เสด็จพ่อไม่สบาย” ซ่างกวนจิ่นซิ่วกล่าว
“ลูกได้ยินหมอหลวงบอกว่าเสด็จพ่อเป็นโรคหัวใจ ทว่าสามารถรักษาให้หายได้ ตราบใดที่คิดในทางที่ดีขึ้น” ฟ่านซวี่ชี้ไปที่ฟ่านหยวนซี “พาลูกไปตรงนั้นหน่อยขอรับ!”
ซ่างกวนจิ่นซิ่วอุ้มฟ่านซวี่ไปที่เตียง
ฟ่านซวี่ไม่แม้แต่จะถอดรองเท้า แต่ปีนขึ้นไปนอนบนร่างของฟ่านหยวนซี
“ซวี่เอ๋อร์ ลงมาเร็วเข้า”
ฟ่านซวี่ไม่สนใจ เขานอนบนร่างของฮ่องเต้ฮุ่ยแล้วถูใบหน้าเล็ก ๆ กับอกของอีกฝ่าย “เสด็จพ่อ อกของท่านไม่อบอุ่นอีกต่อไปแล้ว มันเย็นมาก! ลุกขึ้นมาเล่นกับลูกเถอะขอรับ เสด็จพ่อ…”
ซ่างกวนจิ่นซิ่วกำลังจะอุ้มฟ่านซวี่ออกไป แต่แล้วก็เห็นนิ้วของฟ่านหยวนซีขยับ
“ซวี่เอ๋อร์ เรียกเสด็จพ่ออีกสิ”
“เสด็จพ่อ… เสด็จพ่อ… ฟื้นขึ้นมาเล่นกับลูกเถอะขอรับ… เสด็จพ่อ…”
ฟ่านหยวนซีค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
“ฝ่าบาท พระองค์ฟื้นแล้ว…” ซ่างกวนจิ่นซิ่วตื่นเต้น “เร็วเข้า! เรียกหมอหลวง ฝ่าบาทฟื้นแล้ว!”
ฟ่านหยวนซีมองซ่างกวนจิ่นซิ่วกำลังร้องไห้ด้วยความดีใจ ข้างกายเขาคือฟ่านซวี่ ลูกชายที่กำลังกะพริบตาคู่ใสปริบ ๆ
“เสด็จพ่อ ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว คราวนี้ท่านแอบอู้ตั้งนาน ไม่ดีเลยขอรับ” ฟ่านซวี่กล่าว
“ใช่ พ่อไม่ดีเอง…” ฟ่านหยวนซีกุมใบหน้าฟ่านซวี่ “ข้าจะไม่เป็นแบบนี้อีกต่อไปแล้ว”
“ฝ่าบาททำให้เรากลัวเหลือเกิน” ซ่างกวนจิ่นซิ่วพูด “หิวหรือไม่เพคะ? หม่อมฉันจะบอกให้ข้ารับใช้ไปเตรียมโจ๊กให้เสวยรองท้องก่อน”
ฟ่านหยวนซีพ้นขีดอันตรายแล้ว สถานการณ์ในราชสำนักจึงกลับมาเป็นปกติในที่สุด แต่หลังจากที่ร่างกายของเขาฟื้นตัว ทางอาณาจักรเหลียงก็เริ่มเคลื่อนไหว
ฟ่านเหยี่ยนพิชิตชนเผ่าเล็ก ๆ ในอาณาจักรเหลียง ทำให้ความแข็งแกร่งของอาณาจักรเหลียงในปัจจุบันเพิ่มขึ้นอย่างมาก อีกทั้งอาณาจักรฮุ่ยและอาณาจักรเฟิ่งหลินยังสานสัมพันธ์กัน อาณาจักรเล็ก ๆ อีกหลายอาณาจักรจึงเริ่มไม่สบายใจ พวกเขากลัวว่าสองอาณาจักรใหญ่จะรวมอำนาจกัน จึงเริ่มรวมตัวก่อความวุ่นวายที่ชายแดนอาณาจักรเหลียง
“เสด็จนำทัพเองหรือพ่ะย่ะค่ะ?” พวกขุนนางต่างตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของฟ่านหยวนซี
ฟ่านหยวนซีเพิ่งฟื้นตัวจากอาการป่วยหนัก ผิวพรรณของเขาไม่ค่อยดีนัก
ฮ่องเต้อาณาจักรฮุ่ยนั่งบนบัลลังก์มังกร มองลงไปที่ขุนนางเบื้องล่าง
เขามองลู่อี้
ลู่อี้มองเห็นความจริงจังในดวงตาคู่นั้น
ขณะที่ทุกคนพยายามห้ามฟ่านหยวนซี ลู่อี้ก็ยังคงนิ่งเงียบ
ไม่ต้องพูดถึงขุนนางคนอื่น ๆ แม้แต่คนสนิทอย่างลู่เซวียนและเวินเหวินซงก็ใช้เหตุผลหลายประการในการห้ามปรามฮ่องเต้
ฉีเซียวและลู่อี้มองหน้ากัน
ฉีเซียวเองก็ไม่พูดอะไร
ตอนนี้ใต้เท้าฉีไม่อาจใช้กำลังภายในได้ เขาได้เข้ารับตำแหน่งที่ไม่ใช่ตำแหน่งทางการและทิ้งหลายสิ่งหลายอย่างไว้ให้กับผู้ใต้บัญชาของตน เขาไม่คิดเลยว่าเรื่องใหญ่เช่นนี้จะเกิดขึ้นหลังจากที่ราชสำนักกลับมาว่าราชกิจช่วงเช้าอีกครั้ง
“อัครมหาเสนาบดีลู่ รีบโน้มน้าวฮ่องเต้เร็วเข้า!” ขุนนางที่อยู่ข้าง ๆ พูดอย่างกังวลใจ
“ตั้งแต่แม่ทัพซูเซิ่งจากไป ไม่มีใครในกลุ่มแม่ทัพเหล่านี้ที่สามารถคลายกังวลให้ข้าได้เลยหรือ?” ฟ่านหยวนซีกล่าวอย่างสงบ “อย่าทะเลาะกับอัครมหาเสนาบดีลู่ แม้แต่เขาก็ไม่อาจเปลี่ยนสิ่งที่ข้าตัดสินใจไปแล้วได้”
“เหตุผลที่ฮ่องเต้ต้องการออกศึกด้วยตัวเอง ไม่ใช่แค่เพื่อจัดการกับความวุ่นวายที่ชายแดน” ลู่อี้ถาม “ฝ่าบาทต้องการรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียวหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ข้าไม่ได้มีความทะเยอทะยานถึงเพียงนั้น แต่เรื่องหนึ่งที่สำคัญมากคือ ใครก็ตามที่กล้ารุกรานอาณาจักรของข้าจะต้องถูกลงโทษ” ฟ่านหยวนซีกล่าว “ข้าอยากกลืนกินทั้งอาณาจักรเหลียง”
“ฝ่าบาท หากเราโจมตีอาณาจักรเหลียง อาณาจักรเฟิ่งหลินจะคัดค้านหรือไม่?” ขุนนางคนหนึ่งกล่าว “เรากับอาณาจักรเฟิ่งหลินมีความสัมพันธ์กันผ่านการแต่งงาน และฮองเฮาคนปัจจุบันของอาณาจักรเฟิ่งหลินก็ยังเป็นลูกสาวของอัครมหาเสนาบดีลู่ หากท่านทำสิ่งที่ผิดพันธสัญญา…”
“ข้าบอกเมื่อไหร่ว่าจะจัดการกับอาณาจักรเฟิ่งหลิน? ข้าบอกไปแล้วว่าเป้าหมายของข้าคืออาณาจักรเหลียง” ฟ่านหยวนซีพูดอย่างเย็นชา “เอาละ อย่าตื่นตระหนกโดยไม่มีเหตุผลเลย”
“หากต้องการโจมตีอาณาจักรเหลียง ฝ่าบาทมั่นใจเพียงใด?” ลู่อี้ถามขึ้น
“ข้ามั่นใจเจ็ดในสิบส่วน”
“แค่เจ็ดในสิบส่วนเท่านั้น นั่นเป็นไปไม่ได้เลย อาณาจักรไม่อาจขาดฮ่องเต้ได้แม้เพียงวันเดียว หากฮ่องเต้ต้องการเป็นผู้นำทัพเองจะต้องเตรียมการอย่างเต็มที่ จะปล่อยให้ทุกคนในอาณาจักรเป็นห่วงท่านไม่ได้”
“ในเวลานี้ข้ามีอำนาจ อาณาจักรเข้มแข็ง ราษฎรอยู่อาศัยและทำงานกันอย่างสงบสุข สงครามระหว่างเรากับอาณาจักรเหลียงจะปะทุขึ้นในอีกไม่กี่ปีอย่างแน่นอน ขณะที่อาณาจักรเหลียงยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ข้าต้องชิงโจมตีก่อน นี่เป็นแผนการที่ดีที่สุด หรืออัครมหาเสนาบดีลู่มีวิธีที่ดีกว่านี้?”
คำพูดของฟ่านหยวนซีที่ว่า ‘ต้องการเป็นผู้นำทัพเอง’ ทำให้ทั้งราชสำนักเหมือนน้ำที่เดือดพล่าน ไม่สามารถสงบลงได้ สุดท้ายการว่าราชกิจช่วงเช้าก็จบไปโดยไม่ได้ข้อสรุป
“อัครมหาเสนาบดีลู่ ฮ่องเต้เรียกหาท่าน”
ลู่อี้รออยู่ตรงนั้นมานานแล้ว
เขามองฉีเซียว “ไปด้วยกันเถิด”
“หากฮ่องเต้ไม่ได้เรียกข้า ข้าก็จะไม่ไป” ฉีเซียวพูด “กระดูกข้าไม่อาจทนความทรมานได้ ข้าวางมือแล้ว”
“ท่านรีบไปเถอะ”
“ไม่มีทางอื่นแล้ว ฮ่องเต้ตั้งใจแน่วแน่ที่จะนำทัพด้วยพระองค์เอง แม้ว่าท่านจะพยายามโน้มน้าวก็อาจจะไม่สำเร็จ ทว่าดูจากสีหน้าแล้ว ท่านกำลังคิดจะลองโน้มน้าวฝ่าบาทใช่หรือไม่?”
“ข้าเข้าใจความคิดของเขา” ลู่อี้กล่าว “เขาต้องการสร้างความสำเร็จทางการเมืองและสร้างชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับคนรุ่นหลัง”
“เขาไม่ใช่ฮ่องเต้ที่ใส่ใจอาณาจักรและประชาชนมาตั้งแต่แรก” ฉีเซียวกล่าว “ข้าจำได้แม่นว่าเมื่อเขาขึ้นเป็นฮ่องเต้ครั้งแรก ฝ่าบาทแค่ไม่อยากเป็นเนื้อบนเขียงของคนอื่น ใช่ว่าพระองค์มีความทะเยอทะยานเช่นนี้เสียเมื่อไหร่”
“คนเราย่อมเปลี่ยนแปลงได้ ตอนที่ข้าพบเขาครั้งแรก เขาไม่ได้เป็นเหมือนตอนนี้” ลู่อี้กล่าว “ตอนนี้ฝ่าบาทเป็นคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งฮ่องเต้ของอาณาจักรฮุ่ยมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาเปลี่ยนแปลงไปนานแล้ว”
“อันที่จริง เหตุผลที่ฝ่าบาทกล้ารับผิดชอบนำทัพด้วยพระองค์เอง เป็นเพราะมั่นใจว่าท่านจะกลายเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูบ้านเมืองระหว่างที่พระองค์ไม่อยู่ ด้วยความช่วยเหลือจากขุนนางคนสำคัญเช่นท่าน เขาจึงกล้าตัดสินใจเช่นนั้น นั่นหมายความว่าเขาเชื่อในตัวท่านมาก”
ลู่อี้เข้าไปในห้องตำราหลวง
เขากับฟ่านหยวนซีคุยกันในวังหลวงเป็นเวลาสองชั่วยาม ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาหารือเรื่องอะไร
วันรุ่งขึ้นฟ่านหยวนซีเสนอแนวคิดเรื่องนำทัพด้วยตัวเองอีกครั้ง คราวนี้ลู่อี้สนับสนุนแผนการดังกล่าวอย่างเต็มที่
ทันทีที่ลู่อี้สนับสนุน ขุนนางทั้งฝ่ายพลเรือนและทหารในราชสำนักก็ไม่กล้าพูดอะไร
เมื่อฮ่องเต้กับขุนนางบรรลุข้อตกลง พวกเขาก็ไม่อาจกล่าวแย้งได้อีก
‘ขุนนาง’ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงพวกเขา แต่หมายถึงลู่อี้ซึ่งเป็นขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก
“ด้วยราชโองการแห่งสวรรค์ ฮ่องเต้มีรับสั่ง… แต่งตั้งลู่อี้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อจัดการเรื่องในราชสำนัก…”
“น้อมรับราชโองการ”
ฟ่านหยวนซีกลับมาที่พระที่นั่งอี้เจิ้งเพื่อจัดการกับฎีกา ก่อนที่เขาจะเดินไปถึงก็เห็นซ่างกวนจิ่นซิ่วยืนอุ้มฟ่านซวี่อยู่ที่ประตู
“ฝ่าบาท ฮองเฮาทรงคอยอยู่นานแล้วพ่ะย่ะค่ะ” วังกงกงกล่าว
ฟ่านหยวนซีก้าวเข้าไปหานาง “เหตุใดพวกเจ้าจึงมาที่นี่?”