สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 838 ฮ่องเต้นำทัพออกเดินทาง
บทที่ 838 ฮ่องเต้นำทัพออกเดินทาง
บทที่ 838 ฮ่องเต้นำทัพออกเดินทาง
เหล่าราษฎรคุกเข่าเป็นสองแถว เฝ้าดูฟ่านหยวนซีนำกองกำลังออกจากเมือง
ขุนนางทั้งฝ่ายพลเรือนและทหารเฝ้าอยู่ที่ประตูขณะที่ฮ่องเต้นำทัพเดินทางไปที่ชายแดน
ซ่างกวนจิ่นซิ่วยืนอยู่ด้านหน้า นางอุ้มฟ่านซวี่ไว้ในอ้อมแขน โดยมีลู่อี้ขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารคนอื่น ๆ อยู่ข้างหลัง
จนกระทั่งกองทัพหายลับสายตาไป ซ่างกวนจิ่นซิ่วจึงเอ่ยกับลู่อี้ “ท่านใต้เท้าลู่ ข้าต้องรบกวนท่านเรื่องกิจการของราชสำนักด้วย ข้าเป็นผู้หญิงจึงไม่เข้าใจอะไรเลย”
“ผู้สำเร็จราชการแทนครั้งนี้คือข้าราชบริพารส่วนพระองค์ มีหน้าที่ช่วยเหลือกิจการของราชสำนักอยู่แล้ว ฮองเฮาปล่อยองค์รัชทายาทไว้กับข้าเถอะ ข้าจะสอนเขาอย่างดี”
“ซวี่เอ๋อร์ ขอบคุณท่านผู้สำเร็จราชการแทนสิ”
“ขอบคุณพ่อบุญธรรมขอรับ” ฟ่านซวี่เอ่ยอย่างนอบน้อม “เสด็จพ่อบอกว่าหากเขาไม่อยู่ที่นี่ ท่านอ๋องจะเป็นพ่อบุญธรรมของข้า”
ลู่จื่ออวิ๋นแต่งงานในฐานะลูกสาวบุญธรรมของฟ่านหยวนซี และตอนนี้องค์รัชทายาทก็เรียกลู่อี้ว่าพ่อบุญธรรม สกุลฟ่านและสกุลลู่ยิ่งผูกพันกันลึกซึ้งมากขึ้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นดั่งไม้เลื้อยสองต้นบนไม้ใหญ่เดียวกัน แยกจากกันไม่ได้อีก
ในเมืองหลวงของอาณาจักรฮุ่ยไม่มีฮ่องเต้ แต่มีองค์รัชทายาท ขุนนางอย่างลู่อี้ก็มีหน้าที่สั่งสอนองค์รัชทายาทเช่นกัน ต่อหน้าขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารของราชสำนัก องค์รัชทายาทเรียกลู่อี้ว่าพ่อบุญธรรม นี่เป็นแบบแผนของราชวงศ์
กลางดึก ลู่ฉาวอวี่ผลักประตูเข้าไปในห้อง เขาไม่แปลกใจที่เห็นเด็กน้อยนอนอยู่หน้าโต๊ะ เพราะคุ้นเคยกับการที่นางมาที่นี่เป็นระยะแล้ว
“พี่ใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว” ลู่จื่อชิงขยี้ตา “ท่านอาจารย์ยกย่องข้าในงานเขียนของวันนี้แล้ว”
“เช่นนั้น เจ้ามาทำอะไรที่นี่อีกเล่า?”
“ข้าอยากฝึกฝนมากกว่านี้” ลู่จื่อชิงหยิบข้อความบนโต๊ะขึ้นมาแล้วพูดว่า “ท่านมาดูสิ”
ลู่ฉาวอวี่เลิกคิ้วแล้วพูดว่า “ไม่เลว เจ้าก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจริง ๆ”
“เป็นดังที่ท่านพูด ข้าสมมติว่าเส้นเหล่านี้ ทั้งในแนวนอนและแนวตั้งเหมือนกับท่าฝึกวรยุทธ์ ไม่เบี้ยวแล้ว ไม่ผิดแล้ว ข้าทำตามที่ท่านบอกแล้วก็ทำได้ดีจริง ๆ” ลู่จื่อชิงกล่าวต่อไปว่า “ท่านแม่สั่งให้ครัวอุ่นอาหารว่างยามดึกมาให้ ท่านเข้าไปกินตอนร้อน ๆ เถิด”
ลู่ฉาวอวี่เหลือบมองเตาเล็ก ๆ ที่วางอยู่ด้านข้าง
“แล้วเจ้าเล่า?”
“ข้าจะอ่านต่ออีกสักพัก หากเจอส่วนที่ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรจะได้ถามท่านได้ หลี่เยียนหรานจะได้ไม่ต้องหัวเราะเยาะข้าอีกในวันพรุ่งนี้” ลู่จื่อชิงพูดแล้วก็เปิดหน้าล่าสุดของหนังสือ
ลู่ฉาวอวี่เห็นอย่างอื่นบนโต๊ะจึงหยิบมันขึ้นมา พบว่าเป็นกระเป๋าเงินอีกใบที่มีก้อนหินอยู่ข้างในพร้อมกับจดหมาย
เขาเปิดจดหมายออกอ่าน แน่นอนว่าจดหมายนี้เขียนโดยสิงเจียซือ อีกฝ่ายเขียนเล่าเกี่ยวกับสถานที่ที่นางไป สิ่งที่น่าสนใจที่นางพบที่นั่นและประเพณีท้องถิ่น
“น้องหญิง ข้ากำลังจะออกไปข้างนอก เจ้าก็ควรกลับไปพักผ่อนโดยเร็ว อย่าอยู่ดึกเกินไปนัก” ลู่ฉาวอวี่กล่าว
“ท่านจะไปทำอะไรข้างนอกนั่น?”
“มีบางอย่างเกิดขึ้น”
ช่วงนี้เขากำลังสืบคดีลักพาตัวผู้หญิงคนหนึ่ง มีบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่เขายังไม่เข้าใจ เมื่อสักครู่นี้ สิงเจียซือเขียนในจดหมายของนางว่า นางไปยังสถานที่ที่ผู้คนชอบใช้ยาเพื่อบำรุงผิว แม้แต่ผู้หญิงในวัยสามสิบสี่สิบก็ยังดูเหมือนเด็กสาววัยรุ่น ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงอะไรบางอย่างได้ สาเหตุที่ไม่พบผู้หญิงที่ถูกลักพาตัวเหล่านั้น อาจเป็นเพราะรูปร่างหน้าตาของพวกนางเปลี่ยนไปจึงทำให้สอบสวนได้ยาก
ลู่ฉาวอวี่รีบไปยังสถานที่แห่งนั้นในชั่วข้ามคืนเพื่อตามหาพยานคนสำคัญที่ได้รับการปกป้องอยู่ที่นั่น
ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกลักพาตัวไปแล้วหลบหนีออกมาได้โดยบังเอิญ เพียงแต่ดูเหมือนว่านางจะถูกขังไว้นานเกินไป เพราะไม่เพียงแต่ทักษะการสื่อสารของนางจะแย่ลงเท่านั้น ทว่าความจำของนางก็ยังเลือนรางเช่นกัน
วันรุ่งขึ้น ลู่ฉาวอวี่เข้าไปในวังหลวงเพื่อตามหาลู่อี้ที่ดูแลกิจการในราชสำนักและรายงานว่า เขาจะนำเจ้าหน้าที่และทหารมากกว่าสิบคนจากสำนักตรวจการไปสอบสวนคดีนี้ที่อื่น
“ถูกต้อง” ลู่ฉาวอวี่กล่าว “ท่านไม่จำเป็นต้องรีบร้อนกลับไปหรอก ทุกวันนี้ท่านจำเป็นต้องตัดสินใจมากมายหลายเรื่อง ไม่ใช่ว่าขุนนางทุกคนในที่ต่าง ๆ จะรักราษฎรเหมือนลูกของตัวเอง แต่ท่านเป็นผู้แทนพระองค์จึงสามารถตรวจสอบความประพฤติของเจ้าหน้าที่ได้ทุกแห่งหน”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ!”
“แล้วท่านแม่ที่บ้าน…”
“ข้าจะบอกนางให้เอง”
ลู่ฉาวอวี่ออกจากเมืองหลวงพร้อมกับพยานคนสำคัญ ซึ่งเป็นผู้หญิงที่ไม่ฉลาดนัก
ณ โรงอาหารของสำนักศึกษาหลวง
ลู่จื่อชิงนั่งรอที่โต๊ะ ซ่งหานจือเข้ามาพร้อมอาหารสองจาน ตามมาด้วยลู่ฉาวจิ่ง
หลี่เยียนหรานพูดอย่างเหยียดหยาม “ลู่จื่อชิง เจ้าไม่มีแขนขาหรือ ถึงได้ชอบขอให้คนอื่นช่วยถือของให้”
“เจ้าอิจฉาหรือ?” ลู่จื่อชิงแลบลิ้นใส่หลี่เยียนหราน “หานจือเต็มใจจะไปยกมาให้ข้าแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า? ชอบเห่าบ่อยขนาดนี้ สงสัยเจ้าต้องคอยเฝ้าบ้านตอนกลางคืนใช่หรือไม่?”
“เจ้าอย่าผยองนักเลย! อย่าคิดว่าเพราะบิดาของเจ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแทนแล้วจะใช้มือเดียวปิดฟ้าได้!” หลี่เยียนหรานพ่นลมหายใจเย็นชา
“พ่อของข้าเป็นผู้สำเร็จราชการแทน คนทั่วแผ่นดินต่างรู้เรื่องนี้ เจ้าพูดถึงเรื่องนี้แปดร้อยครั้งต่อวัน ดูเหมือนเจ้าจะชอบพูดถึงมันมาก นั่นเป็นเพราะเจ้าอิจฉาภูมิหลังครอบครัวที่ดีของข้าหรือเปล่า ด้วยเหตุนี้ เจ้าถึงไม่ชอบข้า?” ลู่จื่อชิงกล่าว “ขออภัย ตอนที่ข้ากลับชาติมาเกิดบังเอิญว่าโชคดีเกินไปหน่อย คงช่วยไม่ได้หากมันทำให้เจ้าอิจฉา”
เด็กหญิงที่อยู่ข้าง ๆ สะกิดหลี่เยียนหราน “เยียนหราน เหตุใดเจ้าถึงชอบขัดแย้งกับคุณหนูรองลู่อยู่เสมอ เจ้าก็รู้ว่านางมีภูมิหลังครอบครัวที่ดีและมีสถานะพิเศษ ไม่จำเป็นต้องทำให้นางขุ่นเคือง!”
“ข้าก็แค่ไม่ชอบนาง” หลี่เยียนหรานหน้ามุ่ย “พวกเจ้ากังวลอะไรถึงเพียงนั้น? หากมีเรื่องทะเลาะกันแล้วเอาไปฟ้องผู้ใหญ่ ลู่จื่อชิงคงจะไม่ใช่ลู่จื่อชิงอีกต่อไปแล้ว”
“เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ได้เกลียดลู่จื่อชิงมากนักหรอก!” เด็กหญิงตัวเล็กที่อยู่ข้างนางพูด “มิเช่นนั้น เจ้าคงจะไม่เชื่อใจนางมากเช่นนี้”
ฟ่านซู่เดินเข้ามาพร้อมอาหารและลังเลเมื่อเห็นผู้คนมากมายอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ลู่จื่อชิงโบกมือให้เขา “ทางนี้!”
ฟ่านซู่ยิ้มแล้วเดินเข้าไปหา
ลู่จื่อชิงมองอาหารในจานของฟ่านซู่แล้วพูดว่า “เหตุใดเจ้าถึงมีน่องไก่ด้วยเล่า?”
“ข้าไม่รู้ ทุกคนก็มีไม่ใช่หรือ?” ฟ่านซู่ถาม
“พวกเราไม่มีใครมีสักคน” ลู่จื่อชิงเหลือบมองเขาแล้วพูดว่า “แต่ก็เข้าใจได้ เจ้าผอมเกินไป พ่อครัวคงคิดว่าเจ้าต้องกินเข้าไปเยอะ ๆ”
เมื่อพูดจบ นางก็คีบเนื้อในจานให้เขา
ลู่จื่อชิงเป็นคนขาดเนื้อสัตว์ไม่ได้ การที่นางให้เนื้อในจานตัวเองแก่ฟ่านซู่เช่นนี้ ไม่ใช่นิสัยของนางเลยสักนิด
ซ่งหานจือเหลือบมองฟ่านซู่ แล้วคีบเนื้อในจานของตัวเองให้ลู่จื่อชิง
“ชิงเอ๋อร์ เจ้าก็ต้องกินเหมือนกัน อย่าอดอาหารเลยนะ”
“เหตุใดเจ้าต้องให้ข้ากินด้วยเล่า?” ลู่จื่อชิงพูด “เจ้าให้ข้ากินเช่นนี้ แล้วเจ้าจะกินอะไร?”
“ข้าต้องลดน้ำหนัก” ซ่งหานจือมองเนื้ออวบอ้วนบนร่างกายตัวเอง
เสี่ยวชิงเอ๋อร์ไม่ชอบคนอ้วนตุ๊ต๊ะเช่นเขาแน่นอน ไม่เช่นนั้นนางคงไม่ใจดีกับฟ่านซู่ถึงเพียงนี้ ฟ่านซู่หน้าตาดีและมีรูปร่างผอมบาง เสี่ยวชิงเอ๋อร์จึงดูแลเขาเป็นพิเศษ
“เจ้าจะลดเพื่ออะไร?” ลู่จื่อชิงตอบกลับ “ตอนนี้เจ้าเป็นเช่นนี้ก็ดูดีแล้ว”
ซ่งหานจือมีความสุขหลังจากได้ยินดังนั้น แต่เขาเห็นว่าลู่จื่อชิงและฟ่านซู่พูดจากันอ่อนโยนกว่าตอนที่นางพูดกับเขามาก ทั้งคู่ดูสนิทสนมกันยิ่งนัก
เจ้าอ้วนน้อยทำหน้ามุ่ย จิ้มข้าวในจานแล้วพูดว่า “โกหก เจ้าบอกว่าข้าดูดีแต่ไม่มองข้าด้วยซ้ำ เอาแต่สนใจคนอื่น”