สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 839 อ่านหนังสือ
บทที่ 839 อ่านหนังสือ
บทที่ 839 อ่านหนังสือ
ลู่ฉาวจิ่งกำลังกินเนื้อขณะมองกลุ่มคนที่อยู่ข้าง ๆ
ดวงตาสดใสคู่นั้นเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ตอนแรกเขาคิดว่าคนเหล่านี้แค่กินข้าวด้วยกัน แต่บรรยากาศก็ดูแปลก ๆ
ในช่วงบ่ายมีชั้นเรียนดนตรี
ไม่น่าแปลกใจที่ลู่จื่อชิงโดดเรียนอีกแล้ว
ทันทีที่นางกำลังจะปีนข้ามกำแพงก็เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น
“ฟ่านซู่ เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
“เจ้าคิดจะไปไหน?” ฟ่านซู่ถาม
“ข้าได้ยินมาว่าคณะกายกรรมชุดใหม่มาถึงแล้ว การแสดงของพวกเขาเป็นสิ่งที่เราไม่เคยเห็นที่นี่ ข้าอยากไปดู” ลู่จื่อชิงกล่าว “เจ้าก็ไม่อยากเรียนดนตรีเหมือนกันหรือ?”
“อืม ข้าไม่คิดว่ามันน่าสนใจแม้แต่น้อย” ฟ่านซู่ยื่นมือให้นาง “ข้าจะช่วยดึงเจ้าขึ้นมา…”
กำแพงนี้สูงเกินไป ราวกับว่าได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อป้องกันไม่ให้พวกลูกเศรษฐีเหล่านี้โดดเรียน อีกทั้งยังไม่มีต้นไม้อยู่ใกล้ ๆ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปีนขึ้นไป ลู่จื่อชิงยังไม่ได้ฝึกวิชาตัวเบา ไม่ต้องพูดถึงเลยว่านางจะออกไปได้อย่างไร
ลู่จื่อชิงยื่นมือให้ฟ่านซู่
เมื่อฟ่านซู่คว้านางไว้ได้ เสียงคำรามก็ดังมาจากทางด้านหลัง “พวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?!”
ลู่จื่อชิงและฟ่านซู่มองหน้ากัน สายตาเหมือนจะพูดออกมาว่า ‘จบเห่แล้ว’
ภายในห้องที่เงียบสงบ
ลู่จื่อชิงนั่งอยู่ที่นั่นเพื่อคัดลายมือ
ฟ่านซู่ก็นั่งคัดลายมืออยู่ตรงข้ามนาง และเนื้อหาที่เขาคัดลอกก็มากกว่านางถึงสิบเท่า
ลู่จื่อชิงประหลาดใจ เมื่อเห็นฟ่านซู่เขียนด้วยมือทั้งสองข้างในเวลาเดียวกัน แม้แต่มือซ้ายของเขา ก็ยังเขียนอักษรสวยกว่านางที่ใช้มือขวาเขียน
“น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก”
ฟ่านซู่กล่าว “เจ้าหยุดคัดได้แล้ว เดี๋ยวข้าจะคัดให้เจ้าทีหลัง”
“ไม่ได้หรอก ข้าจะปล่อยให้เจ้าคัดเยอะถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?” ลู่จื่อชิงกล่าว “ฟ่านซู่ เจ้าตั้งใจรอข้าอยู่ที่นั่นหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่ ข้าแค่อยากออกไปเล่นข้างนอกเหมือนกัน”
“อย่าทำเช่นนี้อีก หากข้าถูกจับได้คนเดียว มากที่สุดพวกเขาก็จะลงโทษให้ข้าคัดลอกข้อความ แต่หากเจ้าถูกจับได้จะมีโทษเป็นสิบเท่าของข้า นั่นไม่คุ้มเลย” ลู่จื่อชิงกล่าว
“ครั้งสุดท้ายที่เจ้าถูกจับมาขังอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ข้าไม่สามารถหาอะไรมาให้เจ้ากินได้ด้วยซ้ำ” หลังจากที่ฟ่านซู่กำลังครุ่นคิดบางอย่าง เขาก็หยิบถุงขนมออกจากแขนเสื้อ “คราวนี้ข้าเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว เจ้าจะได้กินให้อิ่มท้อง”
“เจ้าอายุน้อยกว่าข้า ข้าเป็นพี่สาวของเจ้า ควรเป็นคนดูแลเจ้าจึงจะถูก” ลู่จื่อชิงรับไป แล้วพูดว่า “สุดท้าย ข้าก็ยังต้องดูแลเจ้า เข้าใจหรือไม่?”
ฟ่านซู่มองลู่จื่อชิง “เจ้าดูแลข้ามาโดยตลอด”
เดิมทีสถานะของเขาน่าอายเสียจนแม้แต่บ่าวรับใช้ในบ้านก็ไม่เคารพพวกเขาสองคนแม่ลูก มีเพียงนางเท่านั้นที่ปกป้องและช่วยขับไล่คนที่รังแกเขาออกไป
ทุกคนบอกว่าลู่จื่อชิงผิดแผกไปจากคนในสกุลลู่ แตกต่างไปจากพี่ชายและพี่สาวของนางอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้คุณหนูรองจะไม่ได้มีความสามารถเท่าน้องชายของนาง แต่ในความเห็นของเขาไม่ใช่อย่างนั้น นางพิเศษกว่าทุกคนในสกุลลู่
“ฟ่านซู่ เหตุใดเจ้าถึงเหม่อลอย?” ลู่จื่อชิงโบกมือตรงหน้าเขา “เจ้าเขียนหน้านี้ผิดไปแล้ว”
“ไม่เป็นอะไร ข้าสามารถคัดอีกครั้งได้”
“พวกเขาแค่ต้องการกลั่นแกล้งกัน! ให้เจ้าคัดลายมือเยอะถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?” ลู่จื่อชิงโมโห จึงคว้าหนังสือข้าง ๆ นางขึ้นมา เตรียมจะฉีกมันทิ้ง
“อย่านะ! หนังสือเล่มนี้มีเอกลักษณ์และหายาก” ฟ่านซู่หยุดนางอย่างรวดเร็ว “ข้าหามันไม่เจอ แม้ว่าจะพยายามตามหามานานก็ตาม โชคดีที่สามารถคัดลอกลงไปได้แล้ว”
“จริงหรือ?” จากนั้นลู่จื่อชิงก็ให้ความสนใจหนังสือเล่มนี้ “มันไม่ใช่สิ่งที่เราเคยเรียนจริง ๆ เช่นนั้น เหตุใดข้าถึงได้คัดเรื่องที่เราเรียนมาแล้วเล่า สิ่งที่เจ้ากำลังคัดมาจากหนังสือเล่มอื่นหรือ? อาจารย์เฒ่าเหล่านั้นแปลกจริง ๆ”
ก๊อก ก๊อก! มีเสียงเคาะดังมาจากด้านนอก
ลู่จื่อชิงนั่งใกล้ขอบหน้าต่างจึงมองออกไป
ซ่งหานจือเปิดหน้าต่างแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าหาอะไรมาให้เจ้ากิน เจ้าต้องกินอะไรรองท้องก่อน”
ลู่จื่อชิงกำลังจะรับมา ทันใดนั้น นางก็เห็นใครบางคนยืนอยู่ด้านหลังซ่งหานจือ
“ท่านอาจารย์” ลู่จื่อชิงรีบออกหน้าให้ซ่งหานจือ “เขาเพิ่งผ่านมาแถวนี้ เดี๋ยวก็จะไปแล้วเจ้าค่ะ”
“ในเมื่อตอนนี้มาแล้ว เช่นนั้นก็อย่าเพิ่งไปเลย” อาจารย์หนวดขาวถือไม้เรียวอยู่ในมือ แล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “เข้าไปคัดลายมือด้วยกันเถิด!”
ส่งผลให้ตอนนี้มีสมาชิกในกลุ่มคัดลอกหนังสือเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน
ซ่งหานจือไม่สนใจ เขานั่งอยู่ตรงที่นั่งของลู่จื่อชิงเพื่อคัดลอกหนังสือ
อาจารย์วางหนังสือกองใหญ่ไว้ข้างหน้าเด็กชายตัวอ้วนแล้วพูดอย่างใจเย็น “ห้ามออกไปจนกว่าจะคัดลอกเสร็จ”
ซ่งหานจือ “…”
ตอนนี้สายเกินไปที่จะเสียใจแล้วใช่หรือไม่?
“เอาของที่เจ้าซ่อนไว้ออกมา” อาจารย์ยื่นมือไปตรงหน้าเขา
ซ่งหานจือจึงยื่นน่องไก่ย่างที่ยังอุ่น ๆ ไปให้อย่างไม่เต็มใจนัก
ครั้นประตูปิด เด็กน้อยผู้น่าสงสารสามคนมองหน้ากัน ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา
“เจ็บแสบยิ่งนัก” ลู่จื่อชิงคร่ำครวญ “ต่อไปพวกเจ้าอย่าผลีผลามเข้ามาอย่างโง่เขลาอีก”
“เจ้าคงจะกลัว” ซ่งหานจือพูด “หากไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้วต้องนั่งคัดลอกหนังสือคนเดียว ตอนนี้ข้าอยู่กับเจ้าแล้ว เจ้าจะไม่ต้องโดดเดี่ยวและหวาดกลัวอีก”
เมื่อมู่ซืออวี่กลับไปที่จวนลู่ พ่อบ้านก็กล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโสของสำนักศึกษาหลวงมาถึงแล้วขอรับ”
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”
“ห้องตำราขอรับ”
“ได้ ข้าจะรีบตามไปทันที เจ้าไปต้อนรับให้ดีเถิด”
มู่ซืออวี่เปลี่ยนเสื้อผ้าไปห้องตำรา
เมื่อผู้อาวุโสเห็นนางก็กล่าวทักทายอย่างรวดเร็ว “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”
“ผู้อาวุโสโปรดอย่าเกรงใจ กรุณานั่งลงเถอะ!” มู่ซืออวี่กลับมานั่งที่นั่งหลัก
ผู้อาวุโสนั่งลง
“เหตุผลที่ท่านมาในครั้งนี้คงเป็นเพราะเรื่องลูกสาวตัวแสบของข้า”
“คุณหนูลู่เอ๋อร์ควบคุมได้ยากจริง ๆ ข้าไม่รู้ว่าจะจัดการนางให้ดีขึ้นได้อย่างไรขอรับ”
“ท่านผู้อาวุโสลองมองดูสิว่าข้างนอกมีอะไร?”
ผู้อาวุโสมองออกไปนอกหน้าต่าง “ต้นท้อต้นหนึ่ง”
“นอกเหนือจากนี้ ท่านไม่เห็นสิ่งอื่นใดอีกเลยหรือ?”
ผู้อาวุโสสับสนและมองออกไปอีกครั้ง
“นอกจากต้นท้อแล้วยังมีดอกไม้และวัชพืชอีกมากมาย รวมถึงผีเสื้อที่บินไปมาด้วยขอรับ”
“ในเมื่อทุกสิ่งในโลกนี้ดำรงอยู่จึงต้องมีเหตุผลในการดำรงอยู่ ในบ้านของข้า ไม่เพียงแต่มีต้นไม้สูงตระหง่านเท่านั้น แต่ยังมีดอกไม้ ต้นไม้ และผีเสื้อด้วย การดำรงอยู่ของพวกมันไม่ขัดแย้งกันจึงสมเหตุสมผลตามธรรมชาติ ลูกสาวของข้าไม่เก่งเรื่องเรียนเท่าพี่ชายและพี่สาวของนางจริง ๆ แต่ก็ยังมีส่วนที่พี่ชายและพี่สาวของนางตามไม่ทัน สาเหตุที่ข้าส่งนางไปที่สำนักศึกษาหลวง ประการแรก เพื่อเปิดมุมมองให้นางและทำให้นางมีเพื่อนฝูงมากขึ้น ประการที่สอง นางอาจจะไม่ชอบเรียน แต่นางต้องเรียน ด้วยวัยนี้ นางควรจะทำอะไรตามวัยของตนเอง ดังนั้นนางจึงควรจะอยู่ในสำนักศึกษาหลวง”
“แม้ว่านางจะถูกส่งไปที่สำนักศึกษาหลวง แต่ข้าก็ไม่เคยคิดว่านางจะกลายเป็นบัณฑิตอันดับหนึ่ง มันไม่สำคัญว่านางจะเรียนเก่งแค่ไหน ท่านผู้อาวุโสอย่าปฏิบัติต่อนางเหมือนเป็นคนพิเศษ แค่ปฏิบัติต่อนางเหมือนเด็กธรรมดา สั่งสอนนางตามปกติก็พอ นางต้องทำตามกฎ หากปราศจากกฎเกณฑ์ ขอบเขตก็หามีไม่! ส่วนเรื่องอื่น พวกท่านอย่ามองนางแตกต่างจากคนธรรมดานัก ลงโทษนางเมื่อนางสมควรได้รับโทษ และให้รางวัลนางเมื่อนางสมควรได้รับมัน อย่าทำให้นางรู้สึกว่าตนแตกต่าง”
“เข้าใจแล้วขอรับ ท่านเพียงต้องการให้คุณหนูรองเติบโตตามปกติ เป็นสตรีที่มีอิสระและเรียบง่าย ไม่บังคับในเรื่องอื่นใด” ผู้อาวุโสกล่าว
“ท่านผู้อาวุโสรู้สึกกดดันถึงเพียงนี้ เพราะคิดว่าข้าอยากให้ลูกสาวคนรองมีชื่อเสียงโด่งดังเท่าพี่หญิงของนางหรือ? นั่นไม่จำเป็นเลย พี่สาวก็คือพี่สาว น้องสาวก็คือน้องสาว พวกนางไม่เคยต้องเป็นเงาของกันและกัน” มู่ซืออวี่ยกยิ้ม “เพียงปฏิบัติต่อนางเหมือนเด็กธรรมดา และสั่งสอนนางให้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ก็เพียงพอแล้ว”
“เข้าใจแล้วขอรับ”