สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 852 บทเพลงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 852 บทเพลงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
บทที่ 852 บทเพลงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
บทที่ 852 บทเพลงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
ร่างหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนแท่น
แม้ว่าคนผู้นั้นจะสวมชุดเกราะสีแดง ทว่าบนชุดเกราะกลับมีเครื่องหมายแตกต่างกันทำให้นางดูแตกต่างจากนักรบหญิงคนอื่น ๆ แม้มองเพียงแวบแรก
นางแกว่งไกวหอกด้วยท่าทีขึงขัง
ทหารหญิงคนอื่น ๆ ก็เคลื่อนไหวเช่นเดียวกับนาง เปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร ประหนึ่งใจพวกนางกำลังลุกโชนด้วยเปลวเพลิง
เสียงกลองสงครามดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงเครื่องดนตรีชนิดอื่น ๆ
บทเพลงนี้ไม่เพียงมีท่วงทำนองที่ไพเราะ หากแต่เป็นบทเพลงที่ทำให้จิตวิญญาณซาบซ่านจนน่าตกใจ
แม้กระทั่งผู้ที่ไม่เคยอยู่ในสนามรบก็ราวกับรู้สึกได้ถึงฉากรบขึ้นมา
“นั่นฮูหยินหลินกระมัง?”
“ยังมีฮูหยินเจี่ยง ฮูหยินจาง และคุณหนูเจินด้วย นึกไม่ถึงว่าพวกนางสวมชุดเกราะแล้วจะดูดีทีเดียว”
“ข้าได้ยินมาว่าระหว่างสงครามกลางเมืองของอาณาจักรฮุ่ย เมืองฮู่เป่ยเกือบตกอยู่ในเงื้อมมือของขุนนางกบฏและผู้ทรยศ มารดาของพระนางฮองเฮานำผู้คนทั้งเมืองฮู่เป่ยลุกขึ้นต่อต้าน สู้รบกันเป็นเวลาหลายวันหลายคืนก่อนทัพหนุนจะมาถึง ศึกในครั้งนั้น ฮองเฮาก็เข้าร่วมเช่นกัน”
“บทเพลงนี้เป็นพระนางฮองเฮาเขียนขึ้นมาหลังจากเหตุการณ์นั้น ครั้งหนึ่งข้าเข้าวังไปเพื่อร้องขอความเมตตาให้พี่เขยที่กระทำผิด โชคดีได้ฟังบทเพลงนี้ ในตอนนั้นพระนางฮองเฮาทรงบรรเลงผีผา”
“พระนางฮองเฮาพรสวรรค์เปี่ยมล้นเพียงนี้ เมื่อครู่นี้พวกเราเอ่ยดูถูกนาง เหตุใดท่านไม่รีบเตือนเล่า?”
“เหตุใดต้องเตือนพวกท่านด้วย? หากข้าบอกล่วงหน้า ยังจะได้เห็นสีหน้าเหลือเชื่อของพวกท่านในตอนนี้หรือ? พวกท่านต้องเข้าใจ นางคือฮองเฮา พระมารดาแห่งแผ่นดินเรา นางจะเป็นคนไร้ความสามารถไปได้อย่างไร?”
การร่ายรำที่ลู่จื่ออวิ๋นแสดงไม่ใช่การร่ายรำตรงตามความหมาย ไม่ได้เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ไม่ได้ให้ความรู้สึกลึกซึ้งไร้ซึ่งความเสียดาย มีเพียงวิญญาณแห่งจิตสังหารที่ไม่เกรงกลัวความตาย ยามทหารเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
หลายปีที่ผ่านมา ลูกหลานทุกคนของสกุลลู่ต้องฝึกฝนวรยุทธ์ ใบหน้าของลู่จื่ออวิ๋นเป็นเพียงกลลวง ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางรู้วิธีเตะต่อย คิดแค่เพียงว่านางเป็นสตรีบอบบางเท่านั้น ในตอนนี้เอง ทุกคนจำต้องล้างความเข้าใจที่มีต่อนางใหม่ทั้งหมด
ธิดาจากสกุลลู่จะเป็นเพียงกระต่ายขาวตัวน้อยไร้พิษภัยได้อย่างไร? ทันทีที่นางเผยเขี้ยวเล็บแหลมคมของตนออกมา ย่อมสามารถฉีกเนื้อหนังของศัตรูเป็นชิ้น ๆ ได้อย่างแน่นอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเผชิญกับสนามรบที่เมืองฮู่เป่ยมาแล้ว ลู่จื่ออวิ๋นติดตามฝึกฝนกับอาจารย์ที่มีวรยุทธ์ยอดเยี่ยมเป็นเวลานาน แม้กระทั่งทักษะการขี่ม้ายิงธนูล้วนเป็นเลิศทั้งสิ้น
เซี่ยเฉิงจิ่นมองลู่จื่ออวิ๋นที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน
เขานึกถึงอดีตอันแสนวิเศษมากมายที่เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ผ่านมา ทว่าวันคืนข้างหน้าเขาจะต้องไม่พลาดมันอย่างแน่นอน
“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!”
เสียงดังกึกก้องของสตรีและบุรุษแหวกผ่านความเงียบสงัดยามค่ำคืน
ขุนนางที่เมาแล้วเล็กน้อยจู่ ๆ ก็ได้สติขึ้นมา เหงื่อกาฬไหลชโลมไปทั้งแผ่นหลัง พวกเขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่ก่อรูปก่อร่างขึ้นกลางอากาศ ราวกับมีดาบที่มองไม่เห็นพาดอยู่บนคอ
“นี่เป็นการแสดงแบบใดกัน?!” ถัวน่าไม่ยินยอม
องค์ชายอวิ๋นถ่าดึงแขนของถัวน่า สายตาแฝงแววตักเตือน
“การร่ายรำของเจ้าสวยงามแล้วอย่างไร? นอกจากยั่วยวนบุรุษได้เพียงไม่กี่คนแล้ว ยังจะมีประโยชน์อะไรอีก? การร่ายรำของฮองเฮาเป็นการตักเตือนเจ้า และยังเป็นการเตือนทั้งเผ่าคงเจิน เจ้าใช้สมองสักหน่อยได้หรือไม่?”
ในฐานะฮองเฮาของแคว้น แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่นางจะดีดดิ้นเหมือนกับถัวน่า การแสดงเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องปกติ
นี่เป็นกลิ่นอายของมารดาแห่งแผ่นดิน
เหล่าทหารผ่านศึกชื่นชมการแสดงในวันนี้ของลู่จื่ออวิ๋น เดิมทีคิดว่านางเป็นเพียงสตรีต่างแดนที่ใช้รูปโฉมปรนนิบัติผู้อื่น ทว่าดูจากสิ่งที่นางทำในปีที่ผ่านมา พบว่าแม้กระทั่งขุนนางมากมายยังไม่อาจเทียบได้
ทว่าตอนนี้ นางแสดงให้เห็นถึงความสง่างามของฮองเฮาแห่งอาณาจักร นับได้ว่าลู่จื่ออวิ๋นไม่ได้นำความอัปยศอดสูมาสู่อาณาจักรเฟิ่งหลินของพวกเขา
ทันทีที่เสียงตีกลองครั้งสุดท้ายหยุดลง การแสดงวิทยายุทธ์ก็จบลงเช่นกัน
ลู่จื่ออวิ๋นเปลี่ยนภาพลักษณ์ที่ดูอ่อนโยนในยามปกติของนางเผยแววตาคมกริบออกมา
นางถือหอกไว้แล้วเอ่ยอย่างใจเย็น “องค์หญิงถัวน่า บทเพลงเพื่อทหารบนชายแดนบทเพลงนี้ เจ้าชอบหรือไม่?”
องค์หญิงถัวน่าไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด กลับเป็นองค์ชายอวิ๋นถ่าที่กล่าว “ฮองเฮาช่างเป็นวีรสตรีจริง ๆ”
“ฮองเฮาได้แสดงความเป็นมิตรของเจ้าบ้าน แสดงตามคำขอขององค์หญิงถัวน่าแล้ว ต่อไปเป็นการประลองเลือกคู่ครองขององค์หญิงถัวน่า บุรุษที่ยังไม่ได้แต่งงานทุกคนสามารถเข้าร่วมได้” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย
ลู่จื่ออวิ๋นเปลี่ยนอาภรณ์ของนางแล้วกลับมายังพระที่นั่ง นั่งลงข้าง ๆ เซี่ยเฉิงจิ่น
เซี่ยเฉิงจิ่นดึงมือนางมากุม “ลำบากแล้ว”
“นี่ไม่นับเป็นอะไร” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “หม่อมฉันเตรียมการแสดงนี้ไว้นานแล้ว เดิมทีตั้งใจว่าจะให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของหม่อมฉันแสดงให้ฝ่าบาทในวันเฉลิมพระชนมพรรษา บัดนี้กลับต้องมอบให้องค์หญิงถัวน่าผู้นั้นเสียได้”
“นักรบหญิงเหล่านั้นคือ…”
“สินเดิมของหม่อมฉัน” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ตอนที่หม่อมฉันแต่งงานมาไกลบ้าน ท่านพ่อท่านแม่เตรียมผู้คุ้มกันหญิงให้หม่อมฉันร้อยคน ผู้คุ้มกันชายอีกร้อยคน ปกติแล้วพวกเขาจะซ่อนตัวอยู่ทั่วทุกมุมของวังหลวง หากไม่ได้รับคำสั่งจากหม่อมฉันย่อมไม่ปรากฏตัว”
“ท่านพ่อตาท่านแม่ยายไม่ไว้ใจข้าหรือ!”
“ท่านแม่บอกว่าบุรุษเปลี่ยนใจได้ง่าย ยามรักท่านมอบทั้งใจให้ก็ยังได้ หากไม่รักแล้วอะไรก็ไม่ถูกทั้งสิ้น ท่านคิดเสียว่ามารดาเป็นห่วงหม่อมฉัน อยากคุ้มครองหม่อมฉันก็แล้วกัน”
การประลองเลือกคู่ครองยังคงดำเนินต่อไป องค์หญิงถัวน่ารูปโฉมงดงาม อีกทั้งยังมีเผ่าคอยสนับสนุน บุตรหลานขุนนางเหล่านั้นที่ยังไม่ได้แต่งงานย่อมถูกนางดึงดูด เพียงแต่ใช้การประลองยุทธ์คัดเลือกคู่ครอง ผู้ที่เชี่ยวชาญบุ๋นไม่มีโอกาสชนะแม้แต่น้อย เผ่าคงเจินเป็นเผ่าที่ให้ความสำคัญกับวรยุทธ์มากกว่าการรู้หนังสือ ในความคิดของพวกเขา นักรบที่แท้จริงควรไร้เทียมทานมากกว่าเอาชนะด้วยคำพูด
บัดนี้ผู้ที่มีโอกาสชนะมากที่สุดคือบุตรชายของแม่ทัพผู้หนึ่ง
คนผู้นั้นดู…
ถัวน่าเผยสีหน้ารังเกียจออกมา “ท่านพี่ ข้าไม่เอาคนนี้”
“เขาเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย” องค์ชายอวิ๋นถ่าเอ่ยอย่างหมดหนทาง “ในเมื่อรับปากแล้วว่าใช้การประลองยุทธ์คัดเลือกคู่ครอง แน่นอนว่าย่อมต้องปฏิบัติตามกฎ”
ถัวน่าก้าวออกมาเอ่ยกับเซี่ยเฉิงจิ่น “ฝ่าบาท ข้ามีคนที่พึงใจอยู่แล้ว”
เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ยอย่างใจเย็น “โอ้? ผู้ที่องค์หญิงถัวน่าพึงใจถึงขนาดเอ่ยถึงคือผู้ใดหรือ?”
“เขา…” ถัวน่าชี้ไปที่เริ่นหานคุนที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน
เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ยขึ้น “เริ่นซื่อจื่อ เจ้าว่าอย่างไร?”
บุตรชายของแม่ทัพรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยจึงเอ่ยขึ้นว่า “องค์หญิง ท่านไม่อาจผิดสัญญาได้ ในเมื่อรับปากแล้วว่าจะแข่งวรยุทธ์เลือกคู่ครอง เช่นนั้นก็ควรปฏิบัติตามกฎ เอาอย่างนี้เถิด หากเริ่นซื่อจื่อออกมาสู้กับข้า ข้าต่อให้เขาสามกระบวนท่า หากเขาชนะแล้ว ข้าจะยอมถอนตัวจากการแข่งขันนี้แต่โดยดี”
เริ่นหานคุนยิ้มบาง ๆ “ในเมื่อองค์หญิงไม่ยอมแพ้ เช่นนั้นข้าน้อยก็ขอแสดงฝีมืออันต่ำต้อยแล้ว”
ลู่จื่ออวิ๋นหันไปมองเริ่นหานคุนแล้วเอ่ยว่า “คนผู้นี้เป็นผู้ใด เหตุใดหม่อมฉันไม่เคยพบ”
“ซื่อจื่อจวนอันกั๋วกง” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “ก่อนหน้านี้เล่าเรียนอยู่ข้างนอก เพิ่งกลับมาได้ไม่นาน”
“เขาดูค่อนข้างคล้ายท่านทีเดียว” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวเสริม “โดยเฉพาะจากมุมด้านข้าง คล้ายคลึงอย่างน้อยถึงเจ็ดส่วน”
เซี่ยเฉิงจิ่นมองไปที่เริ่นหานคุนและขมวดคิ้ว
“สามีเจ้าคือข้า อย่าได้มองชายอื่น” เซี่ยเฉิงจิ่นบีบฝ่ามือนาง “เจ้าคิดว่าเริ่นซื่อจื่อผู้นี้จะชนะหรือไม่?”
“ย่อมชนะ” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “เขามีกำลังภายในที่ล้ำลึก ไม่ใช่บัณฑิตอ่อนแออย่างแน่นอน ถึงแม้แม่ทัพหนุ่มผู้นั้นจะไม่ต่อให้สามกระบวนท่าก็เกรงว่าเขาจะเป็นฝ่ายชนะอยู่ดี”