สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 856 จ่ายหนี้บรรเทาทุกข์
บทที่ 856 จ่ายหนี้บรรเทาทุกข์
บทที่ 856 จ่ายหนี้บรรเทาทุกข์
“เหตุใดจึงจะรักษากิจการของสกุลไว้ไม่ได้” ถัวน่าขมวดคิ้ว “หรือพวกท่านกระทำความผิด? ข้าได้ยินว่าพวกท่านคนจงหยวนมักจะถูกตัดสินประหารทั้งสกุล คงไม่ได้จะถูกประหารทั้งสกุลกระมัง? ไม่ได้การ ข้าเป็นคนเผ่าคงเจิน ถึงแม้พวกท่านจะกระทำผิดร้ายแรง ฮ่องเต้จงหยวนก็ไม่อาจฆ่าข้าได้ มิเช่นนั้นเผ่าคงเจินต้องไม่ยินยอมอย่างแน่นอน”
ฮูหยินผู้เฒ่าเริ่น “…”
คนอื่น ๆ ในสกุลเริ่นที่อยู่ตรงนั้น “…”
สะใภ้ใหญ่สกุลเริ่นกล่าวพึมพำ “เหตุใดน้องสามีต้องแต่งกับสตรีสมองทึบเช่นนี้ด้วย? หรือเขาสนใจเพียงรูปโฉมเหมือนบุรุษคนอื่น ๆ?”
“น้องสะใภ้รอง เราไม่ถูกประหารทั้งสกุลอย่างแน่นอน เจ้าอย่าได้กล่าววาจาเหลวไหล” อวี๋ซื่อเอ่ย “เรื่องมันเป็นเช่นนี้…”
หลังจากถัวน่าได้ยินเรื่องราวทั้งหมดก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ไม่ได้ถูกประหารทั้งสกุลก็ดี จะได้ไ่ม่ต้องดึงข้าเข้าไปพัวพัน”
ฮูหยินผู้เฒ่าเริ่นมุมปากกระตุก นางกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ถึงแม้ทั้งสกุลเราจะไม่ได้ถูกยึดทรัพย์ ทว่าสกุลเราก็ไม่อาจจ่ายคืนได้ เราจึงตั้งใจว่าจะมอบจวนหลังนี้ให้ราชสำนัก ถึงแม้จะยังชำระหนี้ได้ไม่หมดแต่ก็สามารถจ่ายคืนทีละน้อย เราทำได้เพียงค่อย ๆ ชำระส่วนที่เหลือแล้ว”
“พวกท่านอย่างไรก็เป็นสกุลผู้มั่งคั่ง เหตุใดจึงได้ยากจนเพียงนี้?” ถัวน่าถาม
“น้องสะใภ้รอง พวกเราเรียกเจ้ามาเพื่อหารือว่าจะทำอย่างไร เหตุใดเจ้ากาไหนน้ำไม่เดือดก็หยิบกานั้น*[1]เล่า?” อวี๋ซื่อเอ่ย “เจ้ามีความคิดดี ๆ ที่จะรักษาจวนหลังนี้ไว้ได้หรือไม่?”
“นอกจากชำระหนี้คืนก็ไม่มีทางอื่นแล้ว”
“แต่เราไม่มีเงินนี่!”
“สกุลเดิมท่านมีกิจการไม่ใช่หรือ?”
อวี๋ซื่อ “…”
ตอนที่ควรฉลาดไม่ฉลาด ตอนไม่ควรฉลาดนางกลับฉลาดขึ้นมาได้ หากไม่ได้อยู่ร่วมกันมาครึ่งเดือน อวี๋ซื่อคงสงสัยว่าสตรีต่างแดนจงใจแสร้งโง่แล้ว
“สกุลเดิมข้าเป็นเพียงผู้ทำการค้าทั่วไป แม้กระทั่งครอบครัวตนเองยังเอาตัวรอดลำบาก พวกเขาจะให้ข้ายืมเงินได้อย่างไร?”
อวี๋ซื่อสังเกตเห็นว่าหลังจากนางเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเริ่นไม่ค่อยน่าดูชมนัก อาจเป็นเพราะความหมายของถ้อยคำนางชัดเจนจนทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกถูกแทงใจดำ เพราะคิดว่านางที่เป็นเสมือนลูกสาวของสกุลอวี๋ผู้นี้ในใจมีเพียงสกุลเดิมเท่านั้น
ไม่ว่าอย่างไร นางก็ไม่อาจรับผิดชอบเรื่องนี้ได้ สกุลเริ่นมีคนมากมาย ปกติล้วนกินดื่มใช้เงินมือเติบ ยามนี้กลับรู้จักรังแกนาง ลูกพ่อค้าวาณิชที่พวกเขามักจะดูถูก เรื่องดี ๆ เช่นนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
“ช่างเถิด ข้าก็เห็นว่าทุกคนล้วนลำบาก เอาอย่างนี้เถอะ…” ฮูหยินผู้เฒ่าเริ่นเอ่ย “ทุกคนนำเงินออกมาได้มากที่สุดเพียงใดก็นำออกมาเพียงนั้น เอามารวบรวมกัน ดูว่ายังขาดเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด”
ในห้องตำรา เริ่นหานคุนฟังรายงานจากคนของเขา ผู้ที่ดูอ่อนโยนมาโดยตลอด บัดนี้กลับมีสีหน้าเย็นชา ดวงตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“กิจการทั้งหมดถูกเผยออกมาแล้วหรือ?”
“มีเพียงเรือนพักร้อนจู้เจี้ยนที่ยังปลอดภัยขอรับ” ลูกน้องของเขาเอ่ย “เรือนพักร้อนจู้เจี้ยนอยู่ในชื่อนายน้อยลูกพี่ลูกน้อง นอกเสียจากจะเป็นเทพเซียน ย่อมไม่มีทางรู้ว่ามันเป็นทรัพย์สินของซื่อจื่อขอรับ”
“อย่าได้มั่นใจนัก บางครั้งการมั่นใจมากเกินไปก็เป็นความทะนงตน ข้าได้ยินว่าสกุลลู่มีหน่วยข่าวกรอง คนของพวกเขาอยู่ทั่วใต้หล้า ไม่มีอะไรที่พวกเขาไม่รู้”
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรขอรับ?”
“ขอเพียงไม่ได้ตรวจสอบออกมา ไม่ว่าจะเป็นเท็จหรือเป็นจริง พวกเราล้วนต้องแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วใต้เท้าคนอื่น ๆ เล่า? ทรัพย์สินของพวกเขาถูกรื้อค้นออกมาหมดแล้วหรือ?”
“ไม่รอดแม้เพียงผู้เดียวขอรับ ทั้งหมดล้วนถูกตรวจค้นออกมาแล้ว ใต้เท้าคนอื่น ๆ จึงจ่ายหนี้อย่างตรงไปตรงมา ตอนนี้เหลือเพียงสามสกุลที่กำลังตามเก็บหนี้อยู่ขอรับ”
“พระนางฮองเฮาของพวกเราผู้นี้งดงาม แต่จิตใจกลับโหดเหี้ยม วิธีการยิ่งโหดเหี้ยมกว่า ฝ่าบาทยืนกรานจะแต่งงานกับนาง เพื่อนางแล้วถึงขั้นปล่อยให้ตำแหน่งฮองเฮาว่างอยู่หลายปี ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะรักแท้”
หากเขาพบกับสตรีที่ต้องการความมั่งคั่งมีความมั่งคั่ง ต้องการความงดงามมีความงดงาม ต้องการคนมีคนเช่นนี้ ย่อมไม่พึงใจสตรีอื่นเช่นกัน น่าเสียดาย โชคของเขาไม่ได้ดีเช่นนั้น องค์หญิงถัวน่ามีดีเพียงรูปลักษณ์ภายนอก เสมือนเปลือกนอกที่ว่างเปล่า ช่างทำให้ผู้คนเบื่อหน่ายจริง ๆ ทว่าเพื่อเผ่าคงเจินที่อยู่เบื้องหลังนาง เขาจึงแสร้งแสดงความนอบน้อมและคล้อยตาม ช่างชวนให้หมดความสนุกจริง ๆ
“ท่านซื่อจื่อ…” ลูกน้องอีกคนเดินเข้ามา “องค์หญิงถัวน่ายินดีชดใช้หนี้ของจวนให้ขอรับ”
“ผู้ใดให้นางชดใช้?” เริ่นหานคุนขมวดคิ้ว
“ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกตัวนางไปขอรับ ฮูหยินและคุณหนูทั้งหลายล้วนอยู่ที่นั่น พวกเขาคงช่วยกันโน้มน้าวนาง”
เริ่นหานคุนยิ้มเย็น “โง่เง่าเสียจริง! ผู้อื่นกล่าวอะไรก็เชื่อ ผู้อื่นให้นางจ่ายเงิน นางก็จ่ายแล้วจริง ๆ หนี้นี้เป็นตาเฒ่าที่หยิบยืมมา ยืมมาแล้วก็ใช้กันทั้งสกุล อย่างไรก็ไม่ควรให้ข้าซื่อจื่อผู้นี้ควักจ่ายกระมัง? เอาละ เจ้าไปเรียกนางมา บอกนางว่าข้าป่วย ต้องการการดูแลจากนาง!”
“ขอรับ”
เหล่าราษฎรพบว่าหมู่นี้มีบรรยากาศอึมครึมทั่วทั้งเมืองหลวง ผู้คนมากมายเข้าออกจวนใต้เท้าหลายคน รวมไปถึงร้านค้าของเก่า โรงรับจำนำ รวมไปถึงกิจการต่าง ๆ นับไม่ถ้วน
“หมู่นี้เกิดอะไรขึ้น? เมื่อวานข้าไปส่งสินค้าที่บ้านใต้เท้าหลิน ได้ยินฮูหยินหลินนั่งถอนหายใจเฮือก ๆ อยู่ที่นั่น อีกทั้งยังให้คุณหนูในจวนหลายคนนำเครื่องประดับที่ซื้อมาคืน มิหนำซ้ำยังนำเสื้อผ้าที่เพิ่งสั่งตัดไปขาย”
“ที่จวนใต้เท้าเจี่ยก็เช่นกัน หรือว่าเกิดเรื่องอะไรในราชสำนัก?”
“พวกท่านไม่รู้กระมัง? ข้าได้ยินว่าที่หนานโจวมีมังกรโลกพลิกกาย ผู้คนมากมายไร้บ้านเรือนอยู่อาศัย บ้างก็สูญเสียคนในครอบครัวไป น่าสงสารยิ่งนัก! ฮองเฮาและใต้เท้ากำลังรวบรวมเงินบริจาคเพื่อส่งไปบรรเทาทุกข์ที่หนานโจว โดยให้ราษฎรได้สร้างเรือนขึ้นมาใหม่ ทั้งยังจะจัดตั้งสถานสงเคราะห์เด็กและบ้านพักคนเฒ่าคนแก่ที่ไม่มีผู้ใดดูแลด้วย”
“อาณาจักรฮุ่ยมีสถานสงเคราะห์และสถานเลี้ยงเด็กใช่หรือไม่? เมื่อก่อนข้ายังเคยนึกอิจฉาราษฎรอาณาจักรฮุ่ย คิดว่าอย่างน้อยผู้เฒ่าและเด็กที่นั่นคงไม่ต้องอดอยาก อีกทั้งยังมีคนดูแล บัดนี้ดูเหมือนว่าที่นี่ก็มีความหวังที่จะพัฒนาเช่นนั้นแล้ว”
“พวกเราไม่อาจเทียบอาณาจักรฮุ่ย อาณาจักรฮุ่ยมีสกุลลู่ที่มีกิจการขนาดใหญ่หลายแห่ง พวกเราที่นี่พัฒนาไม่ทันที่นั่นหรอก”
“พระนางฮองเฮาก็เป็นคนสกุลลู่ นางอยู่ที่นี่ ไม่ช้าก็เร็วอาณาจักรเฟิ่งหลินเราจะต้องเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างแน่นอน รอดูเถิด ตอนนี้ยังมีศึกสงคราม อีกไม่กี่ปี อาณาจักรเฟิ่งหลินเราจะต้องไม่ด้อยไปกว่าอาณาจักรฮุ่ยเป็นแน่”
ลู่จื่ออวิ๋นเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับการรับบริจาคจากขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารในราชสำนักออกไป ราษฎรล้วนเต็มไปด้วยความชื่นชม กล่าวว่าพวกเขาเป็นขุนนางที่ยึดผลประโยชน์ของราษฎรมากที่สุดในประวัติศาสตร์
ขุนนางที่แทบสูญเงินจนสิ้นเนื้อประดาตัวเหล่านั้น เมื่อได้รับชื่อเสียงที่ดีงามก็รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
ในตอนนี้เอง ซื่อจื่ออันกั๋วกงก็เป็นฝ่ายเสนอตัวช่วยเหลือว่าจะนำข้าวของเหล่านี้ไปมอบให้หนานโจวเพื่อบรรเทาทุกข์
ลู่จื่ออวิ๋นตอบตกลง ทั้งยังจัดเตรียมขุนนางสองท่านให้ร่วมขบวนไปกับเขา
“ฮองเฮา ซื่อจื่ออันกั๋วกงมีชื่อเสียงเรื่องความเมตตากรุณาและคุณธรรมมาโดยตลอด หากเขานำข้าวของบรรเทาทุกข์ไปหนานโจวครั้งนี้ คงไม่มีปัญหาอะไร”
“จวนอันกั๋วกงก่อนหน้านี้ติดหนี้มากที่สุด” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “หากจวนอันกั๋วกงเป็นขุนนางที่เห็นแก่แว่นแคว้นอาณาประชาราษฎร์จริง ๆ เหตุใดต้องแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอดเหมือนขุนนางคนอื่น ๆ ด้วยเล่า?”
“พระนางฮองเฮาไม่เชื่อซื่อจื่ออันกั๋วกง เช่นนั้นเหตุใดจึงรับปากเล่าเพคะ?”
“หากเขาฉลาดพอย่อมไม่กล้าลงมือในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ เพราะเขารู้ว่าข้าให้ความสำคัญกับเรื่องบรรเทาทุกข์ครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง หากเขาโง่เง่า เช่นนั้นข้าก็แค่ตามน้ำไป ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธ”
[1] กาไหนน้ำไม่เดือดก็หยิบกานั้น หมายถึง เอาแต่เอ่ยทิ่มแทงจุดอ่อนผู้อื่น