สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 858 ประกายแห่งชีวิต
บทที่ 858 ประกายแห่งชีวิต
บทที่ 858 ประกายแห่งชีวิต
ณ จวนผู้ตรวจการ
ผู้ตรวจการยกน้ำชาถวายด้วยท่าทีเคารพนบนอบ
“ฮองเฮามาถึงแล้ว กระหม่อมไม่ได้ออกไปรอต้อนรับ ขอฮองเฮาโปรดอภัยพ่ะย่ะค่ะ”
“เล่าสถานการณ์ตอนนี้ให้ข้าฟังเถอะ! ใต้เท้าเซี่ยอยู่ที่ใด?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยอย่างสุขุม
“ยามที่ใต้เท้าเซี่ยเพิ่งมา หนานโจวกำลังสับสนวุ่นวาย ผู้ประสบภัยทะเลาะวิวาทกัน ใต้เท้าเซี่ยต้องการปลอบประโลมชาวบ้าน นึกไม่ถึงว่าจะถูกผู้ประสบภัยทำร้ายจนบาดเจ็บ กระทั่งบัดนี้เขาก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา”
“ท่านหมอว่าอย่างไรบ้าง?”
“ท่านหมอกล่าวว่าศีรษะกระทบกระเทือน ไม่รู้ว่าจะฟื้นขึ้นมาเมื่อใด” อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ว่าจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย
ถ้อยคำนี้เขาไม่กล้ากล่าวออกไป
“ข้าพาหมอเทวดาท่านหนึ่งมาด้วย ท่านจัดเตรียมเจ้าหน้าที่พานางไปดูเถิด”
ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวจบ หมิงจือเหยียนก็ลุกขึ้นยืน
ผู้ตรวจการเรียกเจ้าหน้าที่มาผู้หนึ่ง สั่งให้เขาพาหมิงจือเหยียนไปยังห้องรับรองเพื่อตรวจอาการให้เซี่ยชิงโจว
“ใต้เท้าเซี่ยได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นเกิดอะไรกับซื่อจื่ออันกั๋วกง?”
“ซื่อจื่ออันกั๋วกงเจอโจรปล้นขณะผ่านอ่าวหมิงเยว่ ข้าวของต่าง ๆ ถูกชิงไปทั้งหมด” ผู้ตรวจการเอ่ย “พวกโจรมักจะออกอาละวาดในอ่าวหมิงเยว่เป็นพิเศษ ก่อนหน้ามักจะดักปล้นพ่อค้าที่เดินทางผ่านไปมา บัดนี้นึกไม่ถึงว่าจะกล้าดักปล้นคณะของทางการ แสดงให้เห็นว่าพวกมันอุกอาจเพียงใด ซื่อจื่ออันกั๋วกงได้รับบาดเจ็บสาหัส ผู้ติดตามของเขาจึงต้องพาเขาไปพักฟื้นแถวนั้น ข้าน้อยจึงไม่ได้เห็นเขาขอรับ”
“ได้ เรื่องของซื่อจื่ออันกั๋วกงมีคนจัดการแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ยามนี้เรามาเอ่ยถึงเรื่องความเสียหายที่เกิดกับราษฎรจากภัยธรรมชาติกันเถิด บ้านเรือนผู้คนเสียหายกี่มากน้อย มีคนตายมากเพียงใด มีคนบาดเจ็บมากเพียงใด พวกท่านจัดเตรียมที่ทางให้พวกเขาอย่างไร เสบียงที่ใต้เท้าเซี่ยนำมาก่อนหน้านี้แจกจ่ายให้กับพวกเขาแล้วหรือไม่?”
ผู้ตรวจการปาดเหงื่อเย็น ๆ แล้วรายงานตามความเป็นจริง
“ข้าเพิ่งมาที่นี่ พบเห็นคนมากมายนั่งนอนอยู่บนถนน คนเหล่านี้อยู่เช่นนี้มาตลอดหรือ?”
“บ้านของพวกเขาไม่เหลือแล้ว คนในครอบครัวก็ไม่อยู่ แต่ละคนราวกับซากศพเดินได้ อันที่จริงผู้ที่พระนางฮองเฮาเห็นล้วนเป็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถูกคนของเราเคลื่อนย้ายไปไว้ที่อื่นแล้ว”
“ท่านพาข้าไปดูหน่อยเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ลู่จื่ออวิ๋นติดตามผู้ตรวจการสวี่เดินดูรอบ ๆ หนานโจว เมื่อผู้ประสบภัยเหล่านั้นมองนางด้วยสายตาว่างเปล่า หัวใจของนางพลันเย็นเยียบ
ตอนนั้นยามเมืองฮู่เป่ยเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง ราษฎรต่างสับสนระคนหวาดกลัว ทว่าไม่นานพวกเขาก็มีกำลังใจเผชิญหน้ากับความยากลำบากด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง
ทว่าสองเหตุการณ์นี้มีความแตกต่างกัน
อย่างแรกคือสู้ตายเพื่อปกป้องบ้านเกิดเมืองนอน
อีกอย่างคือบ้านพังพินาศไปแล้ว คนในครอบครัวก็ไม่อยู่แล้ว ลำบากตรากตรำมาทั้งชีวิตกลับไม่เหลือสิ่งใดเลย ไม่รู้ว่าภายหน้าจะต้องก้าวต่อไปอย่างไร ชีวิตไร้ซึ่งความหวัง
ลู่จื่ออวิ๋นมองไปรอบ ๆ จึงเห็นแท่นยกสูงแห่งหนึ่ง
นางขึ้นไปยืนบนนั้น
“ฮองเฮา…” ติงเซียงรีบเข้าไปพยุง
ลู่จื่ออวิ๋นส่งสัญญาณมือให้ติงเซียง ไม่ให้อีกฝ่ายต้องเป็นกังวล เพราะนางยังมีสติดีอยู่
นางยืนอยู่บนแท่นยกสูงนั้น เอ่ยกับคนที่ไม่ต่างจากซากศพเดินได้เบื้องหน้า “ข้าเป็นฮองเฮาแห่งอาณาจักรเฟิ่งหลิน ข้านำสิ่งของบรรเทาทุกข์จำนวนมากมาที่นี่ในครั้งนี้ก็เพื่อช่วยพวกท่าน ทว่าเมื่อข้าเห็นพวกท่านแล้วก็รู้สึกผิดหวังมากจริง ๆ ครอบครัวของพวกท่านยังถูกกลบฝังอยู่ใต้ดิน พวกเขาตายแล้ว ทว่าพวกเขากลับตายตาไม่หลับ เพราะกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดพาพวกเขาออกมา พวกท่านคิดว่าพวกเขาตายไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องนำร่างพวกเขาออกมา ไม่สนใจพวกเขาไปเช่นนี้หรือ?”
เมื่อเอ่ยถึงครอบครัว ในที่สุดผู้ประสบภัยที่เดิมทีไร้ชีวิตชีวาก็ทนไม่ไหวร้องไห้ออกมา
“ท่านแม่…”
“ลูกสะใภ้… ลูกชาย… เหตุใดไม่พาข้าไปด้วยเล่า?!”
“มีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายเช่นนี้ ยังไม่สู้ฝังพวกเราไปพร้อม ๆ กัน สวรรค์ เหตุใดท่านไม่เปิดตาดูบ้าง? เหตุใดต้องเป็นพวกเราที่ทนทุกข์เล่า?!”
…
เสียงร้องห่มร้องไห้ดังขึ้นมาจากทุกทิศทาง
ลู่จื่ออวิ๋นยืนอยู่ตรงนั้น มองภาพตรงหน้าด้วยความหดหู่ใจ
“เจ้าเป็นฮองเฮา ปีศาจที่แผ่นศิลากล่าวถึงใช่หรือไม่?” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งร้องตะโกนขึ้น “เจ้าคิดว่าเรายังทุกข์ไม่พออีกหรือ เลยถ่อมาถึงที่นี่เพื่อทำร้ายพวกเรา!”
“ไม่อาจพูดจาเหลวไหลได้เป็นอันขาด!” ผู้ตรวจการสวี่ได้ยินก็ร้อนใจขึ้นมา “ถ้อยคำเหล่านั้นเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ พระนางฮองเฮาเป็นห่วงความปลอดภัยของทุกคนจึงมาที่นี่เพื่อควบคุมสถานการณ์โดยรวม เจ้าไม่เห็นความหวังดีของผู้อื่นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“พวกเราไม่รู้จักเห็นความหวังดีของผู้อื่นหรือ? อาณาจักรเฟิ่งหลินของเราอยู่ดี ๆ หากนางไม่ได้แต่งงานมาที่นี่ก็คงไม่เกิดเภทภัยเช่นนี้ขึ้น แผ่นศิลากล่าวชัดเจนว่าปีศาจออกอาละวาด ภัยพิบัติจะหล่นลงมาจากฟ้า ที่เอ่ยถึงนั่นเป็นนางชัด ๆ!”
“ทหาร มาจับคนผู้นี้!” ผู้ตรวจการสวี่ตะโกนก้อง
ลู่จื่ออวิ๋นไม่ได้ห้ามปรามการจัดการของผู้ตรวจการสวี่
เจ้าหน้าที่ทางการสองคนเข้าควบคุมชายวัยกลางคนที่เปิดปากขึ้นมา
“ทุกคนเห็นแล้วกระมัง? นี่คือคนกำลังกินปูนร้อนท้อง!” ชายวัยกลางคนตะโกนขึ้นอีกครั้ง
ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยด้วยท่าทีนิ่งสุขุม “ข้าจะตรวจสอบเรื่องแผ่นศิลาให้กระจ่างอย่างแน่นอน หากข้ารู้ว่ามีผู้ใดกุเรื่องหลอกลวงขึ้น เช่นนั้นก็อย่าได้หวังว่าจะมีชีวิตที่ดี นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่สุดในยามนี้คือแก้ปัญหาให้ทุกคน นับตั้งแต่เกิดภัยธรรมชาติขึ้นก็ผ่านไปนานเพียงนี้แล้ว พวกท่านเคยคิดจะเก็บกวาดเศษซาก ฝังสิ่งที่จำเป็นต้องฝังหรือไม่ การถล่มบางพื้นที่ไม่ได้ร้ายแรงนัก บางทีของที่บ้านพวกท่านอาจไม่ได้เสียหายมาก”
“ข้ารู้ว่าพวกท่านสูญเสียผู้เป็นที่รักไป ภัยธรรมชาติเป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดจัดการได้ ผู้ตายได้จากไปแล้ว แต่คนที่ยังอยู่จมอยู่กับความเจ็บปวดเช่นนี้จะให้ผู้ตายพักผ่อนอย่างสงบได้อย่างไร? อีกประเดี๋ยวข้าจะให้คนของข้าจัดการทำความสะอาดที่นี่ หากพวกท่านไม่ต้องการสิ่งของตนเองแล้ว เช่นนั้นก็ลืมไปเถิด หากพวกท่านไม่อยากจดจำศพของผู้ที่พวกท่านรัก ข้าจะปล่อยให้พวกเขาถูกโยนไปไว้ในสุสานรวม ปล่อยให้พวกเขาตายอย่างไม่สงบ”
“หากพวกท่านยังต้องการนำศพของคนในครอบครัวกลับไปหาสุสานดี ๆ ให้พวกเขาได้พักผ่อนอย่างสงบ เช่นนั้นก็ต้องให้ความร่วมมือกับทหารของเรา ช่วยให้เราผ่านพ้นความยากลำบากนี้ไปด้วยกัน ของบรรเทาทุกข์มาถึงแล้ว เพียงแค่เราเก็บกวาดที่แห่งนี้ พวกเราก็ใช้ของเหล่านี้ให้ผ่านพ้นไปได้ พวกท่านไม่มีบ้าน พวกเราก็จะสร้างบ้านใหม่ไปด้วยกัน นอกจากนั้น ในเมื่อเกิดภัยพิบัติใหญ่หลวงเช่นนี้ขึ้นในหนานโจว ข้าขอประกาศไว้ ณ ที่นี้ว่า นับจากนี้ไปสามปีจะไม่มีการเก็บภาษีการเกษตรในหนานโจวอีก”
“ฮองเฮาทรงเมตตาต่อเรา พวกเราย่อมไม่นิ่งดูดาย” หญิงชราผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “เพียงแต่ข้าแก่มากแล้ว ตาเฒ่าไม่อยู่ ลูกชายกับลูกสะใภ้ข้าก็ไม่อยู่แล้ว ข้ายังจะหวังอะไรได้อีกเล่า?”
“ข้าจะสร้างสถานสงเคราะห์คนชราและสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งแรกในหนานโจวขึ้นมา ที่นั่นผู้เฒ่าที่ไม่มีลูกหลานจะได้รับการดูแล เด็กที่ไม่มีบิดามารดาก็จะได้รับการดูแลเช่นกัน ทว่าตอนนี้หนานโจวกำลังลำบาก พวกเราต้องร่วมแรงร่วมใจกันก้าวผ่านความยากลำบากไปด้วยกัน พวกท่านก็รู้ว่ายามนี้เกิดสงครามที่ชายแดน สงครามกลางเมืองของอาณาจักรเฟิ่งหลินเราเพิ่งผ่อนคลายลง ท้องพระคลังไม่ได้ร่ำรวยถึงเพียงนั้น ฉะนั้นทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจทำงาน”
“ดี พวกเราจะเชื่อฮองเฮา” มีคนเอ่ยขึ้นมา “มีชีวิตอยู่ก็ยังดีกว่าตายไป ตอนนี้พวกเราแม้อยากตายยังไม่กล้าตาย ในเมื่อพวกเราไม่กล้าตาย เช่นนั้นพวกเราก็มาอยู่เพื่อคนที่ตายไปเถอะ!”
ลู่จื่ออวิ๋นมองราษฎรที่อยู่ตรงหน้า
ในที่สุดสายตาว่างเปล่าเหล่านั้นก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา นางรู้ว่านั่นคือประกายของชีวิต ในที่สุดพวกเขาก็ก้าวออกมาเป็นก้าวแรก ยินดีจะปลดปล่อยตนเองและปลดปล่อยผู้อื่นแล้ว…