สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 86 ยังเป็นลูกผู้ชายอยู่อีกหรือ
บทที่ 86 ยังเป็นลูกผู้ชายอยู่อีกหรือ
บทที่ 86 ยังเป็นลูกผู้ชายอยู่อีกหรือ
“ก็บ้านข้าไม่ได้มีเงิน!” แม่เฒ่าเจียงกล่าวพลางเท้าเอว ทำตัวไร้ยางอายจนถึงที่สุด
ชาวบ้านที่ต่างมุงดูอยู่ก็กระซิบกระซาบกัน
“ไม่มีเงินอย่างนั้นหรือ? สองวันก่อน ท่านโอ้อวดว่าลูกชายคนโตมีความสามารถ ได้ไปทำงานในเมืองไม่ใช่หรือ? หรือลูกชายคนโตของท่านไม่ได้ให้เงินเลี้ยงดูผู้เป็นแม่แม้แต่อีแปะเดียว”
“ลูกชายคนที่สามของท่าน เขากำลังจะเป็นใหญ่ในตระกูลหวังไม่ใช่หรือ? ท่านบอกว่าเขาเป็นเด็กรับใช้ทีนั่นนี่นา นายน้อยตระกูลหวังก็เอ็นดูเขามากกว่าผู้ใด เขาคงมีความรู้ล้นเหลือพอ ๆ กับเหล่าบัณทิตแล้วกระมัง”
“ท่านยังมีหลานสาวที่เป็นสาวใช้ของเศรษฐีด้วยไม่ใช่หรือ?”
ชาวบ้านต่างกระซิบกระซาบ บ้างก็เปิดโปงแม่เฒ่าเจียง ราวกับว่านางถูกมัดไว้กับเสาแห่งความอัปยศเสียอย่างนั้น
แม่เฒ่าเจียงมักจะคุยโวเกี่ยวกับลูกหลานของตน เยินยอพวกเขาจนแทบจะตั้งไว้บนหิ้งบูชา ชาวบ้านต่างแสดงความชื่นชมและเยินยอ ทว่าภายในใจพวกเขากลับเต็มไปด้วยความอิจฉา
ตอนนี้ลูกชายคนที่สองของนางป่วยหนัก แต่นางกลับเลือกจะกระทำเช่นนี้เพียงเพราะอยากระบายความแค้นใจ
“ข้า… ข้า…” สีหน้าของแม่เฒ่าเจียงในตอนนี้บิดเบี้ยวจนดูน่าเกลียดน่ากลัว “ข้าไม่มีเงิน ข้าจะไม่สนใจเขาหรอกนะ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นต่อเขา ความผิดทั้งหมดก็จะตกเป็นของพวกเจ้าที่ละเลย”
“มู่ต้าซาน อย่าแสร้งหมดสติ ลุกขึ้นมาพูดเดี๋ยวนี้!” มู่ซืออวี่ไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับแม่เฒ่าเจียง “หรือแท้จริงแล้วท่านเพียงแค่อยากก่อกวนแม่ของข้า? ท่านเป็นคนเดียวที่ขับไล่และไม่ต้องการแม่ของข้า แต่ตอนนี้กลับคุกเข่าอ้อนวอนนาง ยังมีความเป็นลูกผู้ชายอยู่อีกหรือ”
มู่ต้าซานถูกตำหนิ ไม่อาจโต้เถียง พอได้ยินผู้คนมากมายซุบซิบนินทาเรื่องของตน ก็รู้สึกราวกับถูกสายฟ้าผ่าลงมากลางใจ
เขาพยายามลุกขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความอับอาย
“ข้าไม่ได้ต้องการให้นางสนใจ”
“ว่าอย่างไรนะ?” แม่เฒ่าเจียงตะโกนลั่น “ไม่ต้องการให้นางสนใจอย่างนั้นหรือ? ลูกสารเลว เจ้าจะให้แม่เป็นหนี้หรืออย่างไร?”
“เพราะท่านไม่อยากเป็นหนี้ ก็เลยจะให้ถงซื่อเป็นหนี้แทนอย่างนั้นหรือ?” เฉินซื่อกล่าวขึ้นมา “ตอนนี้ป้าถงอาศัยอยู่กับลูกชาย นางกำลังมีชีวิตที่ดีแล้วแท้ ๆ เหตุใดท่านยังจะยัดเยียดนางอีก?”
“ฟังให้ดี!” มู่ซืออวี่กล่าวอย่างใจเย็น “ทุกคนต่างมีสายตาเฉียบคมและฉลาดเฉลียว การกระทำของท่านในครั้งนี้ แม้แต่ชาวบ้านก็ไม่อาจทนได้ ในฐานะคนนอก ข้าข้อกล่าวอีกเพียงสองสามคำ ลูกชายของท่านไม่ใช่เจ้านาย ไม่ใช่เด็กที่ดูแลตัวเองไม่ได้ แม้เขาไม่มีทักษะใดติดตัว แต่ก็เป็นคนขยันหมั่นเพียร เชื่อฟัง และทำงานช่วยเหลือท่านมาตลอดหลายปี เขายอมให้ท่านได้ทุกสิ่งโดยไม่มีเงื่อนไข แต่ท่านกลับปฏิบัติต่อเขาเช่นสุนัข คิดว่าเขาไม่มีความรู้สึกหรืออย่างไร?”
มู่ซืออวี่ผลักถงซื่อเข้าไปในบ้าน จากนั้นจึงตะโกนเรียกลู่ฉาวอวี่และลู่จื่ออวิ๋นให้เข้ามาแล้วปิดประตู
“วันนี้ข้าจะรอดูว่ามีผู้ใดบุกรุกหรือไม่ หากมีการบุกรุก ข้าจะแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที เรามีใบหย่าและเอกสารชัดเจน ชาวบ้านหลายคนที่เห็นเหตุการณ์ก็เป็นพยานได้ หากกล้าที่จะบุกรุกก็เข้ามา”
แม่เฒ่าเจียงไม่มีคนคอยหนุนหลัง ชาวบ้านมากมายที่มุงดูอยู่ต่างซุบซิบนินทาแล้วจ้องมองมายังนาง เมื่อเห็นเช่นนั้นนางจึงตะโกนต่อว่ามู่ต้าซานด้วยความไม่พอใจ “เจ้าหูหนวกหรือ? ไม่คิดจะพูดอะไรเลยรึ!”
มู่ต้าซานเจ็บปวดใจมาก แม่เฒ่าเจียงเดินเข้ามาทุบตีเขา ร่างกายของชายผู้ป่วยหนักโซเซล้มโครมลงอีกครา
“นี่! ท่านคงไม่ได้คิดจะทุบตีเขาจนตายใช่หรือไม่? แม้เขาจะเป็นลูกชายของท่าน แต่การสังหารชีวิตผู้อื่นก็อาจทำให้ถูกตัดหัว ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะโหดเหี้ยมน่ารังเกียจถึงเพียงนี้! เขาเป็นลูกในไส้ มาจากการตั้งครรภ์ของท่านมาตั้งหลายเดือนแท้ ๆ”
“นั่นสิ! นางยังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่? ต้าซานทำงานหนักเพื่อครอบครัวมาตลอดหลายปี แต่เขาไม่เคยพร่ำบ่น พอถูกบีบบังคับให้หย่าร้างกับภรรยา ลูก ๆ ก็เพิกเฉย ไม่สนใจชีวิตหรือความตายของเขาอีกต่อไป”
“ผู้เป็นแม่มีนิสัยเช่นนี้ได้อย่างไร? ต้าซานเกิดมาจากนางจริงหรือ?”
แม่เฒ่าเจียงไม่เคยรู้สึกลำบากใจเช่นนี้มาก่อน นางทำเรื่องไร้ยางอายมาตลอดหลายปี ผู้อื่นต้องทนทุกข์ทรมานจากการกระทำของนางเสมอ วันนี้นางจึงโดนฝูงชนตำหนิและด่าทอ
ไม่ว่านางจะไร้ยางอายถึงเพียงใดก็ยังรู้สึกตื่นตระหนก ความกลัวพลันปรากฏชัดบนใบหน้า
“ข้า… ข้าไม่ได้ตั้งใจ ลุงสาม โปรดช่วยข้าแบกเขากลับไปได้หรือไม่ ข้าจะไปเรียกหมอเดี๋ยวนี้” แม่เฒ่าเจียงเอ่ยอย่างขลาดกลัว
“จะเอาเขาไปไว้ที่ใด?” ชายที่ถูกเรียกว่า ‘ลุงสาม’ กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ครอบครัวของข้าไม่มีเงินจะจ่ายค่ารักษาให้เขาหรอก”
“ช่วยพาเขากลับไปที่บ้านของข้าก็ได้ ข้าจะไปตามท่านหมอจู”
“เห็นแก่ต้าซานหรอกนะ เช่นนั้นข้าจะช่วยพยุงเขากลับไป แม่ต้าซาน เจ้าช่างน่ารังเกียจจริง ๆ”
จากนั้นแม่เฒ่าเจียงก็ไปตามหมอ พอมู่ต้าซานถูกสองสามคนในบ้านพาตัวไป ฝูงชนที่เหลือก็ต่างแยกย้ายกัน
ถงซื่อที่อยู่ในบ้านกำลังตกอยู่ในภวังค์ นางเป็นกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของมู่ต้าซานอยู่บ้าง
“จิตใจไม่สงบลงบ้างเลยหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“ไม่ ไม่ใช่เช่นนั้น” ถงซื่อโบกมือ “น้องชายของเจ้าย้ำเตือนอยู่เสมอว่า ข้าต้องไม่ให้พวกเขาเข้ามา”
มู่ซืออวี่รู้ดีถึงนิสัยใจคอของถงซื่อ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่อีกฝ่ายจะตัดสินใจทำสิ่งนี้เพราะมู่เจิ้งหาน ดูแล้วคงรักลูกชายที่ดูแลมาโดยตลอดอยู่ไม่น้อย
“เช่นนั้นแล้วไปนั่งพักผ่อนที่บ้านของข้าก่อนดีหรือไม่? รอจนกว่าหานเอ๋อร์จะกลับมา”
“ไม่ดีกว่า ข้าจะไปจัดการกับวัชพืชที่สวนหลังบ้าน ข้าว่าจะปลูกผักน่ะ” ถงซื่อกล่าว “เจ้าจงไปทำการงานของเจ้าต่อเถอะ ไม่ต้องกังวลหรอก”
มู่ซืออวี่จากไปพร้อมกับลูกทั้งสอง
ลู่จื่ออวิ๋นในตอนนี้มีเพื่อนมากมาย นางจึงร้องขอผู้เป็นแม่ออกไปเล่นกับเพื่อน
ท่านหมอจูทำการรักษาและสั่งจ่ายยาให้กับมู่ต้าซาน จากนั้นจึงเรียกเก็บเงินจากแม่เฒ่าเจียงสองตำลึง
มู่ต้าซานนั่งอยู่ในลานบ้านด้วยความเจ็บปวดใจ ตบต้นขาของตนและร้องไห้อย่างขมขื่นเมื่อนึกถึงคำกล่าวของท่านหมอจูที่บอกว่า เขาจะต้องตายแน่หากไม่ได้กินยาอย่างต่อเนื่อง
“เอ้อร์หนิวพาข้าไปนั่งฟัง หลังจากท่านหมอจูจากไป แม่เฒ่าเจียงก็ต้มยา สบถคำด่าทอมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้มยาให้ปู่ของข้าเจ้าค่ะ”
มู่ซืออวี่ไม่ได้ห้ามให้ลู่จื่ออวิ๋นเรียกมู่ต้าซานว่า ‘ปู่’ ในความคิดเห็นของนาง ตัวตนที่แท้จริงไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เขาแค่ไม่กระทำสิ่งใดที่ส่งผลกระทบต่ออวิ๋นเอ๋อร์ก็พอ
“ดูเหมือนว่าเพื่อนของเจ้าจะชื่นชอบเจ้ามาก แล้วเจ้าเล่า ชื่นชอบพวกเขาหรือไม่?”
“ชอบมาก” ลู่จื่ออวิ๋นเงยหน้าขึ้น “เอ้อร์หนิวบอกว่าเนื้อทั้งหมดที่บ้านเป็นของน้องชายนาง นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ลิ้มรสเนื้อสัตว์ ท่านแม่ เอ้อร์หนิวน่าสงสารเหลือเกินเจ้าค่ะ”
“ลูกรัก เอ้อร์หนิวไม่ได้น่าสงสารสักหน่อย นางมีเจ้าเป็นสหายที่ดี อีกทั้งเจ้ายังยินดีจะแบ่งปันอาหารรสเลิศให้นาง แค่นี้นางก็มีความสุขมากแล้ว”
มู่ซืออวี่จดจำเด็กหญิงตัวเล็กนามว่าเอ้อร์หนิวได้ดี เด็กคนนี้มีผิวคล้ำและร่างกายซูบผอม แววตาใสซื่อบริสุทธิ์ เป็นเด็กที่ไม่กล้าสบตาผู้อื่น เพราะนั่นทำให้เจ้าตัวรู้สึกอับอายและด้อยค่า
ในตอนบ่าย ลู่อี้เดินทางกลับมาพร้อมถังในมือ เขายื่นถังใบนั้นให้กับมู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่หยิบขึ้นมาดู พบว่ามีปลาตัวเล็ก ๆ มากมายแหวกว่ายอยู่ในนั้น
“เจ้าได้ปลามาจากไหน?”
“บังเอิญได้พบชายชราคนหนึ่งในเมือง เห็นว่าเขาอายุมากแล้วก็เลยเหมามา เจ้าเอาไปทำกับข้าวเถอะ”
ลู่อี้เดินเข้าไปในห้องทันทีที่กล่าวจบ เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ สวมชุดที่มักใช้ในการล่าสัตว์ก่อนจะเดินออกมา
“จิตใจดีเช่นนี้กลายเป็นจอมมารร้ายได้อย่างไรกัน?”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?” ลู่อี้เอ่ยถามเมื่อได้ยินเสียงพึมพำของนาง
“ไม่มีอะไร” มู่ซืออวี่กล่าวพลางแย้มยิ้ม “วันนี้เจ้าเข้าไปทำสิ่งใดในเมืองหรือ? มีเรื่องอะไรหรือไม่?”
ลู่อี้เงียบไปครู่หนึ่ง
เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร มู่ซืออวี่ก็รับรู้ได้ทันทีว่าอาจเป็นเรื่องลำบากใจ และคงไม่ง่ายที่จะเล่า นางจึงกล่าวว่า “ข้าก็เพียงเอ่ยถาม หากเจ้าไม่สบายใจที่จะกล่าวก็ไม่จำเป็นต้องกล่าว”
“เอาไว้ค่อยพูดถึงเรื่องนี้หลังกินข้าว” ลู่อี้กล่าว “ข้าจะบอกเจ้าแน่ แต่ไม่ใช่ในตอนนี้”
มู่ซืออวี่ “…”
หลังจากกล่าวเรื่องไร้สาระมามากมาย เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าควรบอกนางอย่างตรงไปตรงมา
แต่สิ่งเหล่านี้ก็กวนใจมู่ซืออวี่ นางอยากรู้ว่าเขาจะพูดอะไร
เพราะนางเพียงถามคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบแท้ ๆ…