สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 864 เพียงแค่ถือไว้ก็จะหล่นแล้ว
บทที่ 864 เพียงแค่ถือไว้ก็จะหล่นแล้ว
“บังเอิญจริงเชียว!” เซี่ยชิงโจวกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
เพียงแต่รอยยิ้มนั้นกลับน่าเกลียดเสียยิ่งกว่าการร้องไห้
ตอนที่เขาอยู่ในหนานโจว หมิงจือเหยียนมักจะ ‘รังแก’ เขา
ในฐานะบุรุษนั้น แน่นอนว่าย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะตอบโต้กับแม่นางน้อยผู้หนึ่ง ดังนั้นยามเห็นนางเขาจึงพลันรู้สึกผวา อยากจะหลบลี้หนีห่าง
“ใต้เท้าเซี่ย ท่านทำลับ ๆ ล่อ ๆ เช่นนี้ ไม่กลัวโดนเห็นเป็นสายลับและถูกองครักษ์ลับในวังหลวงฆ่าเอาหรือ?” หมิงจือเหยียนวางล่วมยาลง
เซี่ยชิงโจวตอบ “เมื่อครู่นี้ข้าเห็นนกอยู่ตรงนี้ ข้าไม่เคยเห็นนกสีนี้มาก่อน มันแปลกตาเล็กน้อยจึงหยุดดูอยู่พักหนึ่ง จะกลายเป็นการทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ได้อย่างไร?”
“ไหนนกเล่า?”
“บินไปแล้ว”
หมิงจือเหยียนแค่นเสียงในลำคอหนึ่งที
นางยกล่วมยาขึ้นมาเตรียมจะเดินจากไป
เซี่ยชิงโจวเห็นนางกำลังจะเดินไปจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
อย่างไรก็ตาม หมิงจือเหยียนก้าวออกไปได้เพียงสองสามก้าวก็หันกลับมาอีกครั้ง
นางใช้สายตาเคลือบแคลงมองเซี่ยชิงโจวแล้วเอ่ยว่า “ท่านเป็นบุรุษกระมัง?”
เซี่ยชิงโจว “…”
“ดูเหมือนจะไม่ใช่”
“ผู้ใดบอกว่าข้าไม่ใช่?” เซี่ยชิงโจวเอ่ยด้วยความขัดเคือง “คิดจะเล่นลูกไม้อะไรอีก?”
“ท่านที่เป็นบุรุษ ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังถือล่วมยาที่หนักเพียงนี้อยู่? ท่านถือให้ข้าเถิด!” กล่าวเช่นนั้นแล้ว หมิงจือเหยียนก็ยัดล่วมยาใส่อ้อมแขนของเซี่ยชิงโจว
เซี่ยชิงโจวรีบคว้ามันไว้อย่างรวดเร็ว
ล่วมยาของหมิงจือเหยียนไม่เพียงมีตัวยาที่ใช้ในการรักษาเท่านั้น แต่ยังมีขวดบรรจุยาอีกมากมาย เท่าที่เขาทราบ ตัวยาบางชนิดเป็นตัวยาล้ำค่า สามารถช่วยชีวิตคนได้ แม้จะมีเงินก็ไม่อาจซื้อหามาได้
“พวกเราไม่ได้ไปทางเดียวกัน เหตุใดท่านจึงให้ข้าถือให้เล่า?”
“ท่านไม่ได้กำลังจะไปพระตำหนักฮองเฮาหรือ?”
เซี่ยชิงโจวไม่มีอะไรจะกล่าว
“พระวรกายของฮองเฮาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ค่อนข้างดีทีเดียว หมอหลวงเฝิงจากสำนักหมอหลวงเชี่ยวชาญการรักษาสตรี ระยะนี้ข้ายังได้เรียนรู้จากเขาหลายอย่าง” หมิงจือเหยียนพึมพำ “เหตุใดข้าต้องบอกเรื่องนี้กับท่านด้วย?”
“ท่านไม่ได้เย่อหยิ่งมาโดยตลอดหรือ? ท่านเป็นศิษย์หุบเขาเทพโอสถ ข้าคิดว่าพวกท่านหมอจากหุบเขาเทพโอสถจะดูแคลนท่านหมอจากข้างนอกเสียอีก นึกไม่ถึงว่าท่านจะยอมรับว่าตนด้อยกว่าผู้อื่น”
หมิงจือเหยียนหยุดฝีเท้าแล้วมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ “ตาข้างไหนของท่านเห็นว่าข้าดูถูกหมอข้างนอก? ท่านหัวหน้าหุบเขาของเรากล่าวว่า ใต้หล้าล้วนเต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ ทักษะการรักษาของหุบเขาเทพโอสถไม่ได้เหนือผู้อื่น ในฐานะหมอ พวกเราต้องหมั่นเพิ่มพูนความรู้แขนงต่าง ๆ อยู่เสมอ รักษาผู้ป่วยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกเราไม่ได้รู้เห็นทุกอย่าง ทว่าเพื่อรักษาโรคช่วยชีวิตคน เราจะต้องเรียนรู้ทักษะการรักษาใหม่ ๆ ต่อไป ตราบใดที่เป็นประโยชน์ต่อคนไข้ ถึงแม้จะเป็นขอทานข้างถนน หรือผู้เฒ่าอายุเก้าสิบปีก็ล้วนเป็นอาจารย์ของเราได้ทั้งนั้น”
“หัวหน้าหุบเขาของท่านเป็นผู้ที่ฉลาดอย่างแท้จริง”
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่ใช่หุบเขาเทพโอสถ”
“ท่านหมอเฝิงเป็นหมอด้านสตรีที่เก่งที่สุดในสำนักหมอหลวงจริง ๆ ว่ากันว่าแม้กระทั่งองค์หญิงใหญ่คนปัจจุบันก็ได้เขาทำคลอดออกมา จากนั้นยามเหล่าพระสนมในวังล้มป่วย หรือหากมีพระสนมคนใดตกพระโลหิต เขาก็จะเป็นคนคอยดูแล”
ทั้งสองก้าวเข้าไปในพระตำหนักของฮองเฮาทีละคน
ลู่จื่ออวิ๋นเห็นว่าหมิงจือเหยียนกลับมาแล้วจึงเอ่ยว่า “ได้ยินว่าเจ้าไปออกตรวจคนไข้ เหตุใดครานี้จึงกลับมาเร็วนัก?”
“คนไข้ก่อนหน้านี้อาการดีขึ้นแล้ว หม่อมฉันจึงกลับมาเพคะ เดิมทีตั้งใจว่าจะไปออกตรวจในชุมชนแออัด ทว่าวันนี้ฟ้ามืดแล้ว ไม่อยากทิ้งฮองเฮาไว้ในวังเพียงลำพังจึงกลับมาก่อน พรุ่งนี้เช้าตรู่ค่อยออกจากวัง ถึงตอนนั้นท่านหมอเฝิงคงกลับเข้ามาจากนอกวังแล้ว ถือว่าแลกเปลี่ยนเวรยามกับเขาเพคะ”
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็บังเอิญเหลือเกิน นึกไม่ถึงว่าจะเข้ามาในวังพร้อม ๆ กัน”
“พวกเราพบกันในวังเพคะ” หมิงจือเหยียนเอ่ย “หม่อมฉันยังมียาที่ต้องปรุงอยู่สองสามอย่าง ต้องไปที่ห้องยาก่อน ถึงเวลาอาหารเย็นค่อยเรียกหม่อมฉันนะเพคะ”
สิ้นคำ นางก็รับล่วมยาจากมือของเซี่ยชิงโจว
เซี่ยชิงโจวมองหมิงจือเหยียนจากไป จากนั้นจึงหาที่นั่งลง รับชาจากไป๋จื่อมาจิบ
“แม่นางหมิงผู้นี้ดุร้ายยิ่งนัก กระหม่อมรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งที่พบนาง ไม่รู้ว่ากระหม่อมเคยทำอะไรให้นางกันแน่?”
“ท่านนึกไม่ออกเลยหรือ?”
“ไม่มีนี่!”
“ต้องให้ข้าแนะนำอะไรสักอย่างหรือไม่?”
“รีบว่ามาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ก่อนอื่น ท่านเล่าเรื่องที่ท่านยื่นฎีกาให้ซื่อจื่ออันกั๋วกงเป็นรองเสนาบดีกรมพระคลังมาก่อน”
เซี่ยชิงโจวกล่าวว่า “ผู้ที่น่าสงสัยที่สุดในเหตุการณ์นี้ก็คือซื่อจื่ออันกั๋วกงผู้นั้น ถูกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“เป็นเช่นนั้นจริง”
“ตอนนั้นที่เขาเป็นฝ่ายเสนอตัวนำคณะ พวกเราก็สงสัยว่าเขามีจุดประสงค์อะไร สิ่งของไม่อยู่แล้ว มิหนำซ้ำเขายังได้รับบาดเจ็บสาหัส ดูเผิน ๆ เขาเองก็เป็นผู้เคราะห์ร้ายเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อเราตัดความเป็นไปได้ทั้งหมดออก สิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้ที่สุดคือสิ่งที่ชัดเจนที่สุด ทว่าเราไร้ซึ่งหลักฐานมาพิสูจน์เรื่องนี้ บางทีอีกฝ่ายอาจรู้สถานการณ์ของเราดี ดังนั้นจึงได้มั่นใจถึงเพียงนี้ ข้าเขียนฎีกาขอให้เขาเป็นรองเสนาบดีกรมพระคลังก็เท่ากับเอาถุงเงินไปไว้ในมือเขา หากเกิดอะไรขึ้นอีก ถึงแม้เขาจะมีร้อยปากให้พูดก็ไม่อาจพลิกลิ้นได้ แน่นอนว่านี่ก็เป็นการล่องูออกจากถ้ำเช่นกัน”
“ท่านเคยพบเริ่นหานคุนผู้นี้หรือไม่?”
“เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส กระหม่อมมีความสัมพันธ์ฉันสหายดื่มสุรากับเขา แน่นอนว่าควรไปเยี่ยมเขาบ้าง”
“ท่านไปเป็นสหายกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“กระหม่อมไม่ได้สนิทสนมกับผู้ใดบ้าง? ท่านลองถามดูได้ ในราชสำนักมีคนมากมายเพียงนี้ ขุนนางน้อยใหญ่ ผู้ใดบ้างที่กระหม่อมไม่รู้จัก? ผู้ใดบ้างที่้กระหม่อมไม่เคยดื่มสุราด้วย?”
ลู่จื่ออวิ๋นแย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า “ดื่มสุราบุปผาหรือ?”
เซี่ยชิงโจว “…”
เขาลูบจมูกตนเองแล้วกล่าวว่า “พระนางฮองเฮา กระหม่อมเป็นบุรุษที่ดี ท่านอย่าได้ใส่ร้ายป้ายสีความบริสุทธิ์ผุดผ่องของกระหม่อม”
“จือเหยียนบอกว่าครั้งแรกที่นางพบท่าน ท่านอยู่ที่หอโคมเขียวกำลังดื่มสุรากับชายหนุ่มเจ้าสำราญหลายคน ทั้งยังแย่งตัวนางไปจากชายหนุ่มเจ้าสำราญเหล่านั้น จากนั้น…”
“ช้าก่อน…” เซี่ยชิงโจวเอ่ยขัดจังหวะลู่จื่ออวิ๋น “กระหม่อมรู้แล้ว กระหม่อมจำได้แล้ว เมื่อไม่กี่เดือนก่อน กระหม่อมช่วยเหลือแม่นางผู้หนึ่งที่กำลังถูกผู้มั่งมีรุ่นสองหลายคนก่อกวน ตอนนั้นนางสวมชุดปกปิดแน่นหนา ทั้งยังสวมผ้าปิดหน้าเอาไว้ ทว่ายิ่งนางทำเช่นนี้ ผู้มั่งมีรุ่นสองยิ่งสนใจนางยิ่งกว่าเดิม แม่นางในหอโคมเขียวเหล่านั้น พวกเขาล้วนเคยเห็นหน้าค่าตามาหมดแล้ว แต่จู่ ๆ ก็มีคนลึกลับปรากฏตัวขึ้นมา พวกเขาย่อมอยากถอดผ้าปิดหน้านางออกเพื่อเชยชม”
“หากนางเป็นแม่นางผู้นั้น กระหม่อมช่วยนางไว้ นางก็ควรจะขอบคุณกระหม่อมไม่ใช่หรือ? เหตุใดนางถึงชอบดูแคลนกระหม่อม หาเรื่องกระหม่อมอยู่เรื่อยเล่า?”
“ปัญหาข้อนี้ถามได้ดี ท่านลองถามตนเองเถิด นึกดูว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น” เมื่อเห็นว่าท้ายที่สุดเซี่ยชิงโจวก็เข้าใจความขุ่นเคืองระหว่างทั้งสอง ลู่จื่ออวิ๋นจึงให้คำแนะนำเขา
เซี่ยชิงโจวส่ายหน้าเบา ๆ “วันนั้นกระหม่อมดื่มหนักไปเล็กน้อย กระหม่อมคิดจะหลอกล่อขุนนางที่ไปด้วยกันวันนั้น เพราะต้องการตรวจสอบคดีบางอย่าง เพื่อให้อีกฝ่ายเชื่อใจ กระหม่อมจึงดื่มไปไม่น้อย กระหม่อมเพียงจำเรื่องราวได้ราง ๆ แต่ตอนนั้นกระหม่อมเมาแล้ว เรื่องอื่นนึกได้ไม่ชัดเจนจริง ๆ หรือว่ากระหม่อมอาเจียนใส่นาง?”
หมิงจือเหยียนเป็นโรคเกลียดความสกปรก หากเขาทำเรื่องเช่นนั้นจริง ๆ ถูกนางปฏิบัติด้วยเช่นนี้ก็ไม่แปลกอะไร
“คราหน้ากระหม่อมจะขอโทษนาง”
ไป๋จื่อลดเสียงลงเอ่ยกับลู่จื่ออวิ๋น “ถึงแม้แม่นางหมิงจะไม่ได้กล่าวอย่างชัดเจน ทว่าหม่อมฉันสัมผัสได้จากคำพูดของนางว่าความบาดหมางระหว่างทั้งสองคงไม่ใช่ปัญหา ‘เล็กน้อย’ เพียงนี้นะเพคะ”